บทที่ 121 คันฉ่องแก้ว (1)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

บทที่ 121 คันฉ่องแก้ว (1)
สองมือปิดหน้า มองด้านนอกผ่านร่องนิ้ว

“ข้าจะนับถึงสิบนะ” หลิงหลิงยืนตะโกนข้างกองฟางในตอนกลางคืน

“ห้ามเอามือออก”

“ต้องเอามือปิดหน้าตลอด ห้ามโกง!”

“รีบหนีๆ ให้นางมาจับพวกเรา ฮ่าๆ!”

เด็กหลายคนวิ่งไปทั่ว ซ่อนในที่นาซึ่งตัดกองหญ้า กองฟางไว้เต็มอย่างรวดเร็ว

หลิงหลิงกลับไม่ทราบว่า ก่อนหน้านี้เด็กเหล่านี้ตกลงกันแล้วว่าจะแกล้งนาง ที่อุตส่าห์ตอบรับเล่นกับนาง ก็แค่เพื่อแกล้งนางเท่านั้น

ดึกขนาดนี้ผู้ใดยินยอมเล่นกับเด็กน้อยโง่งมที่ตาไม่ดีแต่กำเนิด

“หนึ่ง”

“สอง”

“สาม”

“สี่”

ในทุ่งฟางอันเงียบสงัด มีแค่เสียงนับเลขอันกระจ่างใสของเด็กสาวดังไม่ขาดสาย

พวกเด็กๆ ที่ซ่อนตัวก่อนหน้านี้ไม่ทราบหนีไปมุมใด ในทุ่งฟางอันกว้างใหญ่ เหลือแค่หลิงหลิงปิดหน้าหมอบอยู่บนกองฟางนับเลขเพียงคนเดียว

นางสวมเสื้อบางผืนหนึ่ง ลมกลางคืนพัดผ่านเย็นอยู่บ้าง แต่นางกลับดีใจ ที่แล้วมาไม่มีใครเล่นด้วย คิดไม่ถึงวันนี้เด็กๆ เหล่านั้นในที่สุดก็ยอมรับนางแล้ว

ถึงแม้จะให้นางเล่นเป็นผีไปจับคน แต่ขอแค่ให้มีคนเล่นด้วย นางเล่นเป็นผีก็ไม่เป็นไร

“เจ็ด…”

“แปด”

“เก้า”

“สิบ! ข้าจะจับคนแล้ว!”

หลิงหลิงสองมือปิดหน้า มองผ่านร่องแยกนิ้ว หมุนตัวมาอย่างกระตือรือร้น กวาดตามองรอบๆ

ผืนนาเงียบสงัด มีเสียงของนางคนเดียวสะท้อนไปมา

“ไหนดูซิ พวกเจ้าซ่อนอยู่ไหนเอ่ย” หลิงหลิงค่อยๆ เดินกะโผลกกะเผลก นางตาไม่ดีแต่กำเนิด ของที่อยู่ไกลๆ เห็นไม่ชัด มีแค่ความพร่ามัว

ตอนนี้ดึกแล้วมีแค่แสงจันทร์ขมุกขมัว นางปิดหน้า ได้แต่มองผ่านร่องนิ้ว เห็นไม่ชัดกว่าเดิม

เดินไปเดินมา นางมาถึงด้านหน้ากองฟางกองหนึ่ง

“ฮ่า เสี่ยวหยวน! เป็นเจ้าหรือไม่”

นางกระโดดเข้าไป มองดูหลังกองฟาง

หลังกองฟางไม่มีใคร

“อ้าว ไม่มีคน” หลิงหลิงเอ่ยเสียงดังอย่างผิดหวัง เดินไปยังกองฟางอีกกอง

อย่างลำบากยากเย็น นางเกือบหกล้ม ค่อยๆ มาถึงกองฟางกองที่สอง

“เฉินต้าหนิว! เป็นเจ้าหรือไม่!?” นางกระโดดไปถึงหลังกองฟางที่ใหญ่หน่อยอีกด้านหนึ่ง

ยังไม่มีใคร

นางตามหาไปเรื่อยๆ อย่างอดทนยิ่ง

ก่อนหน้านี้ไม่มีคนเล่นกับนาง สภาพบ้านนางก็ไม่ดี ชาติกำเนิดย่ำแย่ มักถูกดูแคลน ปกติไม่มีใครเล่นกับนาง ตอนนี้ในที่สุดก็มีคนเล่นด้วยแล้ว นางจึงดีใจมาก ดีใจมากจริงๆ

หลิงหลิงหาไปเรื่อยๆ ไม่ทราบหาอยู่นานเท่าไหร่

ฟ้าค่อยๆ มืดลงอีก

นางยังคงไม่เจอใคร

“พวกเจ้าอยู่ไหนกัน…” หลิงหลิงเหนื่อยแล้ว หยุดพักหอบหายใจ

ทันใดนั้น ในแสงจันทร์พร่ามัว อีกด้านหนึ่งของกองฟาง นางขณะเปิดหน้า ก็เห็นชายเสื้ออยู่ตรงนั้นผ่านร่องนิ้ว

ข้างกองฟางคล้ายมีคนซ่อนอยู่ด้านใน ชายเสื้อเหมือนกับเสื้อผ้าที่เด็กคนหนึ่งสวมใส่ คุ้นตายิ่ง

‘น่าจะเป็นอาจวิ้น!’ หลิงหลิงเดาในใจ เดินไปยังอีกด้านของกองฟาง

ฝีเท้านางเชื่องช้ายิ่ง เกือบสะดุดล้มหลายครั้ง พยายามไม่ส่งเสียง

จนกระทั่งเดินถึงข้างชายเสื้อผืนนั้น

หลิงหลิงสูดหายใจลึก

“จับได้แล้ว! อาจวิ้น!” นางเปิดกองหญ้าออก เผยให้เห็นคนที่ซ่อนอยู่ด้านใน

ด้านในกองหญ้า นางเห็นอย่างรางๆ ว่า เป็นเด็กผู้ชายที่หน้าขาวยิ่งคนหนึ่งยืนอยู่ด้านใน คล้ายกำลังยิ้มให้นาง

ควับ!

ต่งฉีลุกพรวดขึ้นจากเตียง เหงื่อแตกเต็มตัว มองภาพปลาหลี่ฮื้อหยอกกุ้งบนมุ้งที่ปลายเตียง

กุ้งสีดำกับปลาหลีฮื้อสีแดง มีสีสันสดใส ค่อนข้างเด่นชัด ต่อให้อยู่ในความมืดก็เห็นสีได้รางๆ

‘ฝันร้ายอีกแล้ว…’ ต่งฉีสูดหายใจลึกๆ ฝันนี้สมจริงเกินไป จนกระทั่งตอนนี้นางยังจิตใจเต้นรัว

เบือนหน้ามองไปด้านนอก นอกหน้าต่างแสงจันทร์ดุจผ้าโปร่ง จันทร์ดวงเล็กแขวนอยู่บนฟ้า

“คุณหนูใหญ่! คุณหนูใหญ่!”

เสียงฝีเท้าที่เร่งร้อนเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว ถัดจากนั้นเป็นเสียงตะโกนอย่างกระสับกระส่าย

“คุณหนูใหญ่ ไม่เป็นไรกระมัง!?”

เป็นชุ่ยผิง

ต่งฉีเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก ลงจากเตียงแล้วลุกไปเปิดประตู

ชุ่ยผิงเป็นเด็กหญิงรับใช้มัดจุกสองข้าง รีบเข้ามาประคองต่งฉี

“คุณหนูใหญ่ฝันร้ายอีกแล้วหรือ!?”

“อือ…ไม่เป็นไรๆ…” ต่งฉียิ้มฝาด “จริงด้วย ทูตของพรรควาฬแดงที่พวกเราเชิญไป มาถึงไหนแล้ว”

“ออกเดินทางจากแถวๆ เมืองเลียบคีรี ถึงที่นี่ใช้เวลาประมาณสองวัน น่าจะใกล้ถึงแล้วกระมัง” ชุ่ยผิงเห็นต่งฉีไม่เป็นไร ค่อยโล่งอก

“ใช่ น่าจะใกล้ถึงแล้ว…” ต่งฉีกำหมัดแน่น รู้สึกเหนื่อยล้า

บนภูเขาเขียวขจี ร่มไม้ริมทางแน่นขนัด

รถม้าแล่นบนเส้นทางภูเขาอย่างไม่เร็วไม่ช้า ลู่เซิ่งนั่งข้างหน้าต่างในตัวรถ รถโยกเยกไปมาพร้อมกับมุ่งไปด้านหน้า

ผู้ขับรถม้าคือสวีชุย ครั้งนี้เขาพามาแค่คนเดียว

ในฐานะยอดฝีมือของโถงอินทรีเหิน สวีชุยเป็นมือดีที่มีโอกาสเลื่อนจากระดับพลังปลอดโปร่ง เข้าสู่ระดับสำนึกปลอดโปร่งมากที่สุด ลู่เซิ่งคิดจะบ่มเพาะเขาเป็นคนสนิทของตัวเอง

ทั้งสองคนนำอาหารสำหรับม้ากับอาหารแห้งมามากพอ มุ่งหน้าไปยังพรรคชาอย่างไม่รีบร้อน

“สวีชุย อีกนานแค่ไหนจะถึงตำบลชาใส” ลู่เซิ่งหยิบขี้ผึ้งสุคนธ์ทองขวดหนึ่งออกมาจากในถุงข้างเอว ใช้นิ้วชี้ปาดก้อนเล็กๆ ส่งเข้าปาก

“เรียนใต้เท้า ข้ามภูเขาลูกข้างหน้าก็จะถึงแล้ว เมื่อไปถึงตำบลชาใส ก็เหมือนกับถึงพรรคชาแล้ว แถวๆ นี้ปลูกชาเพื่อดำรงชีพ ทุกที่เป็นภูเขาชา สมควรอยู่ไม่ไกลแล้ว” สวีชุยตอบอย่างเคารพ

ลู่เซิ่งพยักหน้า เก็บขี้ผึ้งสุคนธ์ทอง

ของสิ่งนี้บำรุงร่างกาย ทรงประสิทธิผลต่อวิชาแข็งกร้าวและวิชากำลังภายนอก เป็นยาบำรุงที่ดีเยี่ยมสำหรับรักษาสภาพในแต่ละวัน ตอนนี้เขาจะรับประทานครั้งละน้อยๆ เพื่อบำรุงร่างกาย

ถึงอย่างไรวิชาแข็งกร้าวของเขาก็น่าทึ่งเกินไป วิชาแข็งกร้าวที่สั่งสมมีมากเกินไป คิดจะรักษาความแข็งแกร่งของร่างกาย อาศัยแค่รับประทานข้าวยังไม่พอ ยังต้องใช้ยาจำพวกนี้คอยดูแลทุกวัน ไม่อย่างนั้นผ่านไปนานวัน อายุขัยจะลดลง กลายเป็นเพียงฝึกฝนแต่ไม่บำรุง

‘ดีที่สิ่งที่เราฝึกฝนมีวิชาหล่อเลี้ยงชีวิตเสริมส่งร่างกาย ไม่อย่างนั้นแค่บำรุงปรับปรุงสภาพร่างกาย ไม่อาจเรียบร้อยอย่างง่ายดายเช่นนี้’ ลู่เซิ่งกระจ่าง

สัมผัสปราณภายในที่โคจรอย่างต่อเนื่องในร่างกาย เขาหลับตา ค่อยๆ เคลื่อนปราณ จิตนึกถึงภาพโดยรวมในปราณขวดสมบัติ

‘ชีวิตคนมีสามสมบัติ แปลงปราณในสมบัติเป็นพลังกาย เพื่อบำรุงก่อนกำเนิด’ ภาพตรึกตรองเป็นภาพฟ้าครามอาทิตย์เจิดจ้า เพียงแต่มีลวดลายที่เหมือนสำลีในดวงอาทิตย์

ลู่เซิ่งหลับตาตรึกตรอง ปรับสภาพร่างกายให้อยู่ในสภาพพิเศษตอนฝึกฝนปราณขวดสมบัติอย่างรวดเร็ว

วิชาเก้าพิฆาตแดงฉานในร่างกายกีดกันปราณภายใน ในเส้นลมปราณทั้งหมดด้วยตัวเอง ในปราณขวดสมบัติมีเส้นลมปราณหลายเส้นที่ทับซ้อนกับวิชาเก้าพิฆาตแดงฉาน ดังนั้นให้กำเนิดปราณได้ยากลำบากสุดขีด

ลู่เซิ่งไม่นำพา คาดไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว

ปราณภายในของเขาบรรลุขีดจำกัดเส้นลมปราณในร่างกายมานานแล้ว ตอนนี้ก็แค่วิชาแข็งกร้าวเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพ ทำให้ร่างกายมีการถ่างเส้นลมปราณแบบเทียม นี่จึงก่อให้เกิดที่ว่าง ฝึกฝนปราณขวดสมบัติได้

หลังฝึกฝนไปพักหนึ่ง เขาก็ลืมตา ยิ้มหนักใจ

‘ยังคงไม่ได้…เส้นลมปราณตันเถียนเต็มมานาน ปราณขวดสมบัติไม่อาจสร้างปราณภายใน ถูกวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานสะกดไว้ ถ้าไม่คิดหาวิธี ก็ไม่อาจเพิ่มระดับพลังของปราณภายในได้อีก’

ลู่เซิ่งนั่งใคร่ครวญบนรถม้า ไม่ฝึกฝนวิชากำลังภายในธาตุหยิน ก็ไม่อาจปรับสมดุลหยินหยางในร่าง นี่เป็นภัยซ่อนเร้น แต่ตอนนี้ในร่างกายจุปราณภายในเต็มแล้ว…

‘ปราณภายใน เป็นพลังงานสารอาหารที่ร่างกายสร้างขึ้นและสั่งสมจากการโคจรด้วยเส้นลมปราณที่แตกต่าง เป็นพลังงานในกายที่เหลืออยู่ในแต่ละวัน สะสมกันกลายเป็นพลังงานทางธรรมชาติที่แตกต่าง

เช่นนั้นในเมื่อเป็นปราณ มีวิธีควบแน่นปราณภายในเพื่อเพิ่มความหนาแน่นหรือไม่ เหมือนอากาศเบาบางขนาดนี้ ยังถูกควบแน่นกลายเป็นของเหลวได้ในเงื่อนไขพิเศษ ขอแค่มีแรงดันกับอุณหภูมิที่ต่ำพอ

‘คิดเปลี่ยนปราณภายในเป็นของเหลว จำเป็นต้องทำให้เงื่อนไขอะไรสำเร็จ’ ลู่เซิ่งหลับตาตริตรอง

วิชาแข็งกร้าวเมื่อฝึกจนแข็งแกร่งเกินไป ทำให้ร่างกายพอโคจรวิชาจะกลายเป็นสภาพอีกแบบ เขาเรียกชื่อสภาพนี้ว่าหยางโชติช่วง สภาพหยางโชติช่วงคล้ายกับตีผิดชนพลาดจนทำให้ร่างกายสำเร็จเงื่อนไขควบแน่น

“จะควบแน่นอากาศเป็นของเหลว เงื่อนไขแรกที่ต้องทำให้สำเร็จคือการควบแน่นในระดับสูง คิดจะทำให้ปราณภายในเป็นรูปแบบของเหลวไหลเวียนในร่าง เห็นทีต้องทำให้ร่างกายเรามีความอดทนสูง ยึดถือเป็นภาชนะ เงื่อนไขนี้สมควรสำเร็จแล้ว จากนั้น ต้องมีวิธีควบแน่น”

ลู่เซิ่งยื่นมือออกมา กลางฝ่ามือปรากฏกลุ่มปราณภายในไร้รูปร่างที่ร้อนลวกสายหนึ่ง

เขาชูมือสูงขึ้นเล็กน้อย วางเสมอระดับสายตา มองผ่านปราณภายใน เห็นภาพด้านนอกที่บิดเบี้ยวเล็กน้อยได้อย่างชัดเจน

แสดงว่ามีอากาศธาตุที่โปร่งแสงบางชนิดหักเหเส้นแสง

‘ถ้าจะควบแน่น เราเลือกส่งถ่ายปราณภายในใส่กล่องโลหะได้…ไม่ ไม่ได้ โลหะก็โน้มนำปราณภายในได้เหมือนกัน เราต้องหาของที่ไม่อาจโน้มนำปราณภายใน ปัญหานี้ยุ่งยากยิ่ง’

ลู่เซิ่งถอนใจเงียบๆ เก็บปราณภายในของวิชาเก้าพิฆาตแดงฉานที่กลางฝ่ามือ

นอกหน้าต่างค่อยๆ เปลี่ยนจากป่าที่แทรกสวนชาเป็นภูเขาสีเขียวลูกเล็กสูงต่ำสลับกัน

บนภูเขาปลูกต้นชาสีเขียวชอุ่มผืนใหญ่ ต้นชาหลายต้นแก่ยิ่ง ยังไม่มีคนโค่น เปล่าเปลี่ยวอยู่บ้าง

รถม้าแล่นไปด้านหน้าต่อ ไม่ทันไรก็เข้าไปในตำบลเก่าแก่ที่มีแค่ถนนเจ็ดแปดเส้น

ถนนในตำบลปูแผ่นหินสีเทาที่แตกระแหง ร้านค้าส่วนใหญ่ปิดประตู ริมถนนมีกองไฟ กระถางไฟ เผากระดาษเงินเป็นระยะ

คนเดินถนนมีน้อยยิ่ง บางครั้งก็เห็นเงาร่างที่รีบร้อนสองสามสาย

“ที่นี่คือตำบลชาใสหรือ” ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว “แถวๆ นี้ไม่ใช่มีป้อมของทัพเฟยเหลียนตั้งอยู่หรอกหรือ ที่นี่อยู่ในอาณาเขตคุ้มครอง เหตุใดอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวปานนี้”

สวีชุยส่ายหน้า “ข้าน้อยก็ไม่ทราบ ไปหน่วยหลักพรรคชาก่อนเถอะ ที่นี่ไม่มีสาขาพรรควาฬแดงของพวกเรามานานแล้ว คิดจะหาคนทำความเข้าใจสถานการณ์ ต้องตามหาพรรคชาที่เป็นงูเจ้าถิ่น”

ลู่เซิ่งหยิบจดหมายขอความช่วยเหลือที่พรรคชามอบให้พรรควาฬแดงออกมา ที่ปิดอยู่ด้านบนเป็นตราประทับของต่งเชิงผิงประมุขพรรค แต่ว่าตัวหนังสือบนจดหมายกลับงดงามประณีตยิ่ง

“จดหมายให้คนที่ชื่อต่งฉีส่งมา ตามข้อมูล ต่งฉีสมควรเป็นบุตรีคนเดียวของประมุขพรรครุ่นปัจจุบันของพรรคชา ใช้ชื่อนางส่งจดหมายขอความช่วยเหลือ คงจะต้องมีแผนการแน่ พวกเราไปตามสถานที่ก็พอ สถานที่คือโรงงานชาเลิศบนถนนสายที่หกทางตะวันออก”

“ขอรับ” สวีชุยขานรับ ขับรถม้าพลางนับป้ายถนนบนสิ่งก่อสร้างข้างทาง

เดินทางไม่นาน ทั้งสองคนเลี้ยวผ่านถนนสองสาย ก็เห็นชายฉกรรจ์ร่างผอมมัดผ้าโพกหัวสีขาวมาต้อนรับ

“ขอบังอาจถาม เป็นท่านทูตจากพรรควาฬแดงใช่หรือไม่” ชายฉกรรจ์หน้าเหลี่ยมคนหนึ่งถามด้วยความนอบน้อม

“พวกท่านคือ?” สวีชุยถาม

“พวกเราเป็นคนที่คุณหนูใหญ่ต่งฉีส่งมาต้อนรับ ขอเชิญท่านทูตมาทางนี้” ชายฉกรรจ์ต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

……………………………………….