ตอนที่ 141 คลอดลูกชาย และเข้าเมืองมหาวิทยาลัยอีกครั้ง

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 141 คลอดลูกชาย และเข้าเมืองมหาวิทยาลัยอีกครั้ง

ซูตานหงคลอดลูกอย่างปลอดภัย เธอเข้าห้องคลอดไปราวเก้าโมงเช้า ไม่ถึงเที่ยงวันดีก็คลอดลูกออกมา

ซึ่งเธอได้ให้กำเนิดเด็กชายจ้ำม้ำคนหนึ่ง

คุณแม่จี้กับคุณแม่ซูที่ทราบข่าวแล้วได้มาถึงในตอนนั้นเอง พวกนางต่างเอ็นดูเด็กน้อย ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ไม่สำคัญ ขอเพียงแค่สองแม่ลูกปลอดภัยก็พอ

หากแต่ใครจะคิดว่าพวกเขาจะมีลูกชายเยอะขนาดนี้กัน?

คุณแม่จี้ปลาบปลื้มที่เห็นเจ้าหลานชายตัวโต ก่อนหันไปส่งยิ้มให้คุณแม่ซู “ตานหงนี่โชคดีจริง ๆ !”

คุณแม่ซูเองก็รู้สึกยินดีเป็นที่สุด นางยิ้มตอบ “เป็นเพราะว่าเจี้ยนอวิ๋นเก่งด้วยต่างหากล่ะ”

ตอนนี้ทั้งแม่ยายและแม่สามีต่างก็อยู่ในห้วงแห่งความสุข

หลังจัดการทุกอย่างเรียบร้อย เด็กน้อยก็ถูกอุ้มมานอนข้างแม่ เพราะว่านี่เป็นท้องที่สองของซูตานหง การคลอดจึงเป็นไปอย่างราบรื่นและยังพอมีเรี่ยวแรงอยู่

แต่เมื่อเธอได้เห็นหน้าแดงเรื่อของลูกชายที่นอนอยู่ข้าง ๆ ก็สงบใจลงและผล็อยหลับไปในท้ายที่สุด

เธอหลับยาวไปจนห้าโมงเย็นก่อนจะตื่นขึ้นมาด้วยความหิว แต่เพราะมีทั้งแม่สามีและแม่ตนเองเตรียมอาหารให้ เธอถึงไม่ต้องหิ้วท้องรอนาน

แม้ว่าตอนนี้เธอจะกินได้แค่อาหารอ่อน ๆ อย่างโจ๊กก็ตาม

ครั้งนี้เธอเริ่มให้นมลูกเร็ว พอดีกับที่เจ้าลูกชายคนรองรีบกินนมแม่

เทียบกับเหรินเหรินแล้ว ลูกคนนี้แรงเยอะกว่ามาก เขาดูดนมจนเจ็บ ยังดีที่เขาไม่มีฟัน แต่จะเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อย ๆ หรือเปล่านะ?

เธอจึงตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะเลิกให้นมจากเต้าให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้!

ส่วนเจ้าตัวต้นเหตุยังไม่รู้ประสาเพราะหิวมาก คนเป็นแม่จึงได้แต่จำทน

จี้เจี้ยนอวิ๋นไปจ่ายเงินค่าทำคลอดถึง 400 หยวน ในขณะที่เรื่องที่ซูตานหงคลอดลูกคนที่สองแพร่สะพัดออกไป

ทั้งหมดนี้ก็เพื่อลูกคนที่สองของพวกเขา

พวกเขาคิดชื่อลูกเอาไว้แล้ว หากเป็นผู้ชายจะตั้งว่าจี้ฉี ถ้าเป็นผู้หญิงก็ให้ชื่อจี้ซิน

ลูกชายคนนี้จึงมีชื่อว่าจี้ฉี

ลูกชายของซูตานหงคนนี้ได้คลอดในโรงพยาบาล หลังจากอยู่ได้เพียง 3 วัน จี้เจี้ยนอวิ๋นก็ห่อตัวเขาอย่างแน่นหนาและพากลับมาดูแลที่บ้าน

ตอนนี้คุณแม่จี้กำลังยุ่งอยู่กับสวนสตรอเบอรี่และแตงโม อีกทั้งยังมีเหรินเหรินกับเยียนเอ๋อร์ที่ต้องดูแล เขาจึงขอให้แม่ยายมาช่วย

“แม่คอยอยู่ช่วยตานหงถึงแค่ช่วงที่พักฟื้นจนเป็นปกติดีก็ได้นะครับ หลังจากนั้นแม่ค่อยกลับ” เขาเอ่ย

คุณแม่ซูไม่ได้มีงานต้องทำมากอยู่แล้ว ไก่ที่บ้านก็มีสะใภ้ใหญ่ซูคอยดูแลให้ นางรับปากกับหล่อนไว้ว่าถ้าดูแลได้ดี ไม่แอบเอาไปกิน ต่อไปนางก็จะไม่แบ่งเงินค่าแรงไปอีก

ฝ่ายสะใภ้ใหญ่ซูได้ยินอย่างนั้นก็ดีใจมาก หล่อนตบปากรับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะ เพราะเข้าทางกับสิ่งที่หล่อนต้องการในเวลานี้

สะใภ้ใหญ่ซูถึงกับลูบอกอย่างรู้สึกโล่งใจ อีกทั้งยังบอกให้ลูกชายเอาสมุดการบ้านมาจดบันทึกจำนวนไข่ที่ออกและกินทุกวัน ก่อนจะแบ่งที่เหลือให้น้องชายคนรองเอาไปขาย

เห็นอีกฝ่ายว่าเช่นนั้นก็ชวนให้นางนึกแปลกใจ “ถ้าเธอมั่นใจขนาดนั้นก็ขอฝากดูแลบ้านสักพักแล้วกัน แต่ถ้าทำอะไรไม่ถูกใจฉันก็อย่าหวังจะได้ตามที่ตกลงกันไว้เลย ฉันจะไม่ให้โอกาสเธออีกแล้ว”

“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ฉันเองก็เป็นแม่ลูกสามนะคะ จะไม่เข้าใจเรื่องอย่างนี้ได้ยังไง? แม่ไปดูแลน้องสามีเถอะค่ะ ในอนาคตหล่อนจะได้เป็นที่พึ่งให้คุณแม่ได้”

“ซูตานหงเป็นลูกในไส้แท้ ๆ ฉันก็ต้องไปดูแลอยู่แล้วสิ จะไปหวังพึ่งพาอะไรหล่อนกัน” นางว่าขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์

“เข้าใจแล้วค่ะคุณแม่ รีบไปเถอะนะคะ” หล่อนรีบบอก

คุณแม่ซูมาถึงบ้านของเหล่าจี้ นอกจากบ้านหลังนี้แล้ว สมบัติที่เหลือของพวกเขาก็ยกให้ครอบครัวของซูตานหงหมด

เมื่อเห็นคุณแม่ซูมาถึง จี้เจี้ยนอวิ๋นก็เบาใจลง

ตอนนี้เรื่องในบ้านก็เข้าที่เข้าทางขึ้นมาก คุณแม่จี้ช่วยเลี้ยงเหรินเหรินกับเยียนเอ๋อร์ให้ ส่วนคุณแม่ซูก็คอยอยู่ดูแลซูตานหง เขาถึงไปทำอย่างอื่นได้อย่างหมดห่วง

ไก่บนเขาที่เลี้ยงมาตั้งแต่ฤดูหนาวปีก่อนโตได้ที่แล้ว ตอนนี้มีอยู่กว่า 500 ตัว แม้ว่าร้านของซูจิ้นตั๋งที่อยู่ในเมืองจะขายดี แต่วัน ๆ หนึ่งก็มีไก่ขายเพียง 4-5 ตัว ไข่ก็มีแค่ 2-3 ตะกร้าเท่านั้น

ส่วนร้านของเหล่าฉินที่ดูท่าจะไปได้สวยก็ไม่ได้มีของมากนัก ทุก 3 วันถึงจะมีไก่ขายไม่กี่สิบตัว

ไก่กว่า 500 ตัวพวกนี้โตมาจากลูกเจี๊ยบ ถือเป็นแหล่งทำเงินได้มาก และน่าเอามาเลี้ยงเพิ่ม ขอแค่ทำให้สะอาดและหมั่นรักษาสุขอนามัยด้วยการใช้น้ำยาฆ่าเชื้อจากโรงพยาบาลก็พอ

จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงตั้งใจจะขนไก่ไปขายที่เมืองมหาวิทยาลัย เพราะคนทางนั้นต่างก็ซื้อไก่เป็นประจำ แม้ว่าพวกมันจะกินข้าว มันหวาน และถั่วอัลฟัลฟาเป็นหลักก็ตาม

อีกทั้งคุณแม่จี้ยังตั้งใจปลูกผักไว้ข้างเล้าไก่เพื่อเร่งโต โดยเมื่อผักพวกนั้นโตเต็มที่ก็จะถูกตัดแล้วโยนเข้าไปรวมกับอาหารอื่น ๆ ให้ไก่กิน

วันนี้จี้เจี้ยนอวิ๋นจึงจัดสรรงานที่บ้าน และพาพ่อของตนขนไก่ไปขายด้วยกันที่เมืองมหาวิทยาลัยในเช้าวันรุ่งขึ้น

ด้วยความที่ไม่ได้ไปขายของในเมืองมานานแล้ว คุณพ่อจี้จึงกังวลเล็กน้อยเพราะไม่แน่ใจว่าเอาไปขายมากเกินไปหรือไม่?

ครั้งนี้พวกเขาขนไก่ไปกว่า 4-5 สุ่ม สุ่มละประมาณ 15 ตัว รวมทั้งหมดแล้วราว ๆ 60 ถึง 70 ตัว

ไก่จำนวนมากขนาดนี้คงขายได้ไม่ง่ายนัก

คุณพ่อจี้จึงเสนอขึ้น “ถ้าขายไม่ออกก็ลดราคาเอาแล้วกัน”

“พ่อครับ ไม่ต้องห่วงหรอก ไก่ของเราคุณภาพดี ขายถูก ๆ ไม่ได้หรอกครับ ถ้าทำอย่างนั้นคนในเมืองก็จะคิดว่าของเราไม่ดีน่ะสิ ไก่ของเราทั้งเนื้อแน่นและหอมอยู่แล้วไม่ใช่เหรอครับ?” จี้เจี้ยนอวิ๋นยกยิ้ม

อีกฝ่ายไม่ได้ตอบอะไร

เมื่อพวกเขาไปถึงตลาด คุณพ่อจี้ถึงเห็นว่ามีลุงป้าน้าอาในเมืองมหาวิทยาลัยที่รอซื้อของอยู่

โดยเฉพาะบางรายที่ลูกชายของเขาคุ้นเคยด้วย

“พ่อหนุ่ม ทำไมป่านนี้ถึงเพิ่งมาล่ะ? รู้ไหมว่าเรารอซื้อของจากเธอนานแล้วนะ” ชายสูงวัยเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม

“ใช่แล้ว ฉันกินเนื้อแกะกับไข่ที่ซื้อไปปีที่แล้วซะเรียบเลยล่ะ” ลูกค้าอีกรายกล่าว

“อย่าว่าแต่เนื้อกับไข่เลย น้ำผึ้งก็ของดีนะ ฉันกินวันละสองช้อนทุกวันเลย แล้ววันนี้พอจะมีน้ำผึ้งขายบ้างมั้ยล่ะจ๊ะ?” หญิงชราคนหนึ่งถามขึ้น

“…”

ช่างเป็นบรรยากาศที่ครึกครื้นจริง ๆ

เมื่อเห็นจี้เจี้ยนอวิ๋น บรรดาลูกค้าก็ปรี่เข้ามาหาทันที เห็นได้ชัดว่าต้องการซื้อของจากเขา

“วันนี้มีแต่ไก่มาขายครับ ถ้าไม่เชื่อในสินค้าของผม อยากจะรู้ว่าคุ้มค่าหรือเปล่าก็ลองซื้อไปตุ๋นกินดูนะครับ” เขาบอกพลางส่งยิ้ม

“จะไม่เชื่อได้ยังไงล่ะ ไก่พวกนี้เป็นของดีทั้งนั้น เนื้อก็หอมน่ากิน ปีที่แล้วซื้อไปแค่ 2 ตัว หลานก็กินจนหมด ไม่เหลือให้ฉันกินบ้าง เลยต้องไปหาซื้อกับเจ้าอื่นเอา” หญิงสูงวัยตอบ

“เนื้อไก่พวกนี้อร่อยจริง ๆ”

“แล้วตอนนี้ขายราคาเท่าไหร่แล้วล่ะ?”

“…”

……………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ได้ลูกชายอีกคนแล้ว เชื้อคนเป็นพ่อมันแรงก็อย่างนี้ล่ะค่ะ ดูท่าลูกชายคนนี้จะแข็งแรงดีนะคะ ทำคุณแม่เจ็บขนาดนี้ได้

ต้องขออภัยที่มาช้านะคะ น้องคอมเล่นงานผู้แปลซะอ่วมเลยค่ะ นี่เลยแก้ปัญหาด้วยการใช้คอมของที่บ้านทำแล้ว ปกติใช้คอมส่วนตัวทำน่ะค่ะ

ไหหม่า(海馬)