ภาคที่ 2 บทที่ 127 อาจจะ

มู่หนานจือ

เจียงเซี่ยนรู้ตัวว่าตนเองสายตาไม่ได้เฉียบแหลมเทียบเท่าไทฮองไทเฮา

แทนที่นางจะลงมือเองโดยไม่รู้อะไรเลย สู้เลือกสักคนจากที่ไทฮองไทเฮาเลือกไว้ให้ดีกว่า

ไม่แน่จ้าวเซี่ยวก็อาจจะเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเช่นกัน

นางนึกถึงความเคร่งขรึมที่เหมือนกับไร้ชีวิตชีวาของจ้าวเซี่ยวในชาติก่อนกับความอารมณ์ขันและช่างพูดที่เจอที่ห้องอุ่นตะวันออกของวังฉือหนิงเมื่อครู่…นี่ก็เป็นคนหนึ่งที่นางไม่เข้าใจเช่นกัน

หลี่เชียนดูเหมือนเป็นเพื่อนได้กับทุกคน ทว่าความจริงแล้วหัวใจของเขากลับถูกเปลือกที่แข็งมากห่ออยู่ชั้นหนึ่ง ซึ่งเจ้าไม่มีทางเปิดออกได้

จ้าวเซี่ยวดูเหมือนคอยรักษาระยะห่างกับทุกคน แต่ความจริงแล้ว?

เจียงเซี่ยนก้มหน้ายิ้มเยาะ

พอเห็นอากาศปลอดโปร่งที่หาได้ยาก นางจึงย้ายกล้วยไม้หลายกระถางที่นางเลี้ยงออกมารับแสงแดด

ฉิงเค่อช่วยจัดกระถางอยู่ข้างๆ ส่วนไป่เจี๋ยสั่งให้เหล่านางในที่ดูแลรับใช้ตากผ้าห่มในลานกว้าง

เจียงเซี่ยนถามฉิงเค่อ “วันมงคลของท่านหญิงชิงฮุ่ยยังไม่ได้กำหนดหรือ?”

“ยังเจ้าค่ะ” ฉิงเค่อเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไทเฮาตรัสว่าวันที่สิบเดือนเก้าเป็นวันที่ดี แต่ฮูหยินเป่ยติ้งโหวบอกว่าเดือนเก้ารีบร้อนเกินไป ไม่ทันได้ซื้อเครื่องเรือนให้เรียบร้อยด้วยซ้ำ ต้องเลื่อนไปเดือนสามปีหน้า ไทเฮาไม่เห็นด้วย จึงขอให้คนของสำนักหอดูดาวหลวงดูวัน สุดท้ายได้วันที่ยี่สิบสองเดือนสิบ วันที่หกเดือนสิบเอ็ด และวันที่สิบสี่เดือนสิบสอง ก็แล้วแต่ว่าสองตระกูลจะเลือกอย่างไรแล้ว!”

เจียงเซี่ยนพยักหน้า พลางคิดว่าชาติก่อนนางก็แต่งงานวันที่สิบเดือนสาม แสดงว่าในสายตาของสำนักหอดูดาวหลวง วันที่สิบเดือนสามเป็นวันที่ดี

นางตัดสินใจย้ายสนรับแขกที่วางอยู่ในตำหนักหลักออกมาตากแดดด้วย

ขันทีที่ดูแลดอกไม้และต้นไม้ใจเต้นตุบๆ ตลอด

ถึงแม้วันนี้อากาศจะปลอดโปร่ง แต่อากาศก็ไม่ได้อุ่นไปกว่าหลายวันก่อน ดอกไม้และต้นไม้ถูกท่านหญิงย้ายไปย้ายมาเดี๋ยวเข้าเดี๋ยวออกแบบนี้ หากไม่ระวังก็จะตายหมดเกลี้ยง ทว่านานๆ ทีท่านหญิงจะสนใจต้นไม้แบบนี้ ใครจะกล้าไปขัดนางเล่า?

เหล่าขันทีกระอักอยู่ในใจ พลางคิดว่าต้องคิดหาทางเตรียมสนรับแขกที่คล้ายกับในตำหนักของเจียงเซี่ยนสำรองไว้สักต้น

หากต้นที่อยู่ในตำหนักของเจียงเซี่ยนตายไป ก็ยังมีต้นนี้แทน

เจียงเซี่ยนเพียงแค่ชอบชมดอกไม้ใบหญ้าเท่านั้น ส่วนการเพาะเลี้ยงนั้นเป็นหน้าที่ของขันทีและนางกำนัลในวัง ไม่เกี่ยวกับนาง

นางรดน้ำให้สนรับแขกต้นนั้น ยังรู้ว่าน่าจะห้ามรดมากเกินไป จึงแค่ทำให้ดินในกระถางชื้นก็วางกาน้ำแล้ว

ขันทีซาบซึ้งใจจนน้ำตาแทบจะไหลออกมา

มีนางในเดินมาอย่างรวดเร็ว และบอกว่าขันทีหลิวจากท้องพระคลังขอพบ

หลี่เชียนอาจจะมีเรื่องอะไรให้เขามาบอกนาง

เจียงเซี่ยนคิดพลางรับผ้าร้อนที่นางในยื่นให้มาเช็ดมือ แล้วไปที่ตำหนักหลัก

หลิวชิงหมิงยังคงเหมือนเดิม เขาคารวะนางอย่างนอบน้อม และเอ่ยว่า “หลายวันก่อนข้าออกจากวังไปเดินเล่นที่ร้านขายของโบราณ เห็นกล่องทรงสี่เหลี่ยมแกะสลักลงรักสีแดง บนกล่องแกะสลักเป็นรูปหมู่มวลบุปผาและวิหค เล็กจิ๋วและประณีต คิดว่าท่านหญิงต้องชอบแน่ จึงตั้งใจนำมามอบให้ท่านหญิงโดยเฉพาะขอรับ”

เจียงเซี่ยนรับกล่องไว้ และคุยกับเขาอย่างเกรงใจไม่กี่คำ ก็ยกชาขึ้นดื่มและส่งแขก

หลิวชิงหมิงถอยออกไปอย่างคล่องแคล่ว

เจียงเซี่ยนจำเป็นต้องยอมรับว่าหลี่เชียนมีความสามารถในการรู้จักใช้คนมากทีเดียว หลิวชิงหมิงผู้นี้ลืมตาอยู่กลับพูดโกหกกับนางได้อย่างไม่กลัวแม้แต่นิดเดียว และทำเสียเหมือนจริง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น เพียงแค่เรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นคนที่มีความสามารถโดดเด่นแล้ว

นางเปิดกล่อง ข้างในว่างเปล่า

เจียงเซี่ยนคิดแล้วก็ยกกล่องขึ้นกลางอากาศและเคาะทุกด้าน

มีเสียงสะท้อนดังออกมาจากก้นกล่อง

นางใช้ปลายกรรไกรงัดก้นกล่อง มีจดหมายฉบับหนึ่งวางอยู่ข้างใน

เจียงเซี่ยนยิ้มออกมา รู้สึกสนุกมากเหมือนเจอสมบัติ

หลี่เชียนเขียนจดหมายมาหานาง บอกว่าสองสามวันนี้ยุ่งอยู่กับการเข้าสังคมกับบิดาของเขาตลอด จึงไม่มีเวลามาเยี่ยมนาง เขาถามนางว่าช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง? และยังบอกนางว่า พวกเขากำหนดเดินทางออกจากเมืองหลวงวันที่สิบเดือนสี่ เขาอยากเจอเจียงเซี่ยนสักครั้งก่อนไปจากเมืองหลวง ขอบคุณที่นางสนับสนุนและเมตตาเขามาตลอดครึ่งปีนี้

เจียงเซี่ยนคิดว่าระหว่างทั้งสองคนไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้ว จึงตอบจดหมายเขาไปว่านางราบรื่นดีทุกอย่าง และนางออกจากวังลำบาก คงจะไม่ไปพบเขาแล้ว ให้เขาดูแลตนเองให้ดีตลอดทาง ไว้ถึงซานซีและจัดหาที่พักเรียบร้อยแล้ว อย่าลืมเขียนจดหมายแจ้งนางสักหน่อยว่าปลอดภัย แล้วก็เอ่ยถึงหยางเหวินอิงในจดหมาย บอกว่าเคยได้ยินคนพูดถึงคนๆ นี้ว่ากล้าหาญมากและเชี่ยวชาญการรบ เพียงแต่ไม่รู้ว่าคนๆ นี้หน้าตาเป็นอย่างไร เขาไปซานซีแล้วก็ลองสืบหาคนๆ นี้หน่อย หากใช้งานได้ก็เข้าไปหา ถ้าใช้งานไม่ได้ก็ถือว่านางไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้…

เพียงแค่ไม่กี่เรื่อง นางเขียนเสร็จแล้วถึงพบว่าตนเองเขียนไปสี่ห้าหน้า

เจียงเซี่ยนอ่านลายมือของตนเองเงียบๆ และตัดสินใจว่าอย่างไรก็ควรเจียดเวลามาฝึกเขียนหนังสือสักหน่อย

ถึงอย่างไรการเขียนจดหมายก็ให้คนอื่นเขียนแทนไม่ได้กระมัง?

แม้ว่าชาติก่อนคนที่เขียนแทนนางจะเป็นเมิ่งฟางหลิงก็ตาม

เจียงเซี่ยนปิดจดหมาย และใส่จดหมายเข้าไปในกล่องที่แกะสลักลงรักสีแดงนั้น แล้วให้ฉิงเค่อนำไปให้หลิวชิงหมิง “บอกว่ากล่องนี้ข้าชอบมาก ให้เขาซื้อแบบเดียวกันกลับมาให้ข้าอีกใบ”

เพราะในวังไม่ว่าจะเป็นขันทีหรือนางใน ออกจากตำหนักของตนเองก็ต้องไปด้วยกันสองคน ฉิงเค่อจึงเรียกนางในคนหนึ่งไปท้องพระคลังเป็นเพื่อน

นางในจากห้องอุ่นตะวันออกของวังฉือหนิงมาเชิญเจียงเซี่ยน บอกว่าไทฮองไทเฮาเชิญนางไปพบ

เจียงเซี่ยนเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งตัวใหม่ แล้วไปห้องอุ่นตะวันออก

ในห้องอุ่นตะวันตกนอกจากไทฮองไทเฮากับไทฮองไท่เฟยแล้วยังมีฮูหยินอันลู่โหวด้วย

ฮูหยินอันลู่โหวเห็นเจียงเซี่ยนก็พลันคิดออกในทันใด นางยิ้มพลางเอ่ยกับไทฮองไทเฮาว่า “เจียหนานของพวกเรารูปร่างหน้าตาเปลี่ยนไปมากจริงๆ ยิ่งโตก็ยิ่งงดงาม! หลังปีใหม่นี่ข้าว่าเหมือนจะสูงขึ้นอีกหน่อยแล้ว”

“ใช่แล้ว” ไทฮองไทเฮายิ้มพลางจับมือของเจียงเซี่ยนและเอ่ยว่า “ยังดีที่ปีที่แล้วตอนที่ตัดเสื้อผ้าสำหรับฤดูใบไม้ผลิให้คนเผื่อขนาดไว้หน่อย ไม่งั้นชุดนี้ยังไม่ได้ใส่ก็คงจะเล็กไปและต้องตัดใหม่แล้ว”

เจียงเซี่ยนนั้นรูปร่างแบบหญิงสาวทางเหนือ ล่าสุดก็สูงเท่าหูของเจียงลวี่แล้ว ในหมู่ผู้หญิงก็ถือว่ารูปร่างสูง มีช่วงหนึ่งจ้าวอี้ยังกังวลว่านางจะสูงต่อไปจนสูงกว่าเขา และจะดูไม่เข้ากันเป็นอย่างมากเวลาทั้งสองคนไปบวงสรวงสวรรค์ที่หอสักการะฟ้าหรือทำการเกษตรที่หอสักการะดิน

ทว่าตอนนี้ดีแล้ว ไม่ว่านางแต่งงานกับใครก็รูปร่างผอมสูงทั้งนั้น ต่อให้เป็นเติ้งเฉิงลู่ที่ไม่เคยยืดตัวตรงต่อหน้านางเลยก็สูงพอๆ กับเจียงลวี่เช่นกัน

พวกไทฮองไทเฮาคุยแต่เรื่องความเปลี่ยนแปลงของเจียงเซี่ยนอยู่ตรงนั้นนานมาก ฮูหยินอันลู่โหวถึงหาจังหวะเอ่ยถึงจุดประสงค์ที่ตนเองมาได้ “…บุตรสาวของหม่อมฉันถูกหม่อมฉันกับบิดาของนางตามใจจนเคยตัว และไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น บิดาของนางก็บอกว่าไม่ได้หวังว่านางจะได้แต่งเข้าตระกูลที่มั่งคั่งและมีอำนาจ และช่วยเหลือพี่ชายของนางได้เช่นกัน ขอเพียงนางได้แต่งงานกับสามีที่เป็นคนเรียบร้อย พวกเราก็ขอบคุณฟ้าดินแล้ว ตระกูลเจียงกับตระกูลหวังต่างรู้จักคนที่มาจากตระกูลทหารไม่น้อย หม่อมฉันจึงอยากขอให้ฮูหยินเจิ้นกั๋วกงกับฮูหยินชินเอินป๋อช่วยเป็นแม่สื่อให้กับบุตรสาวของพวกเราเพคะ”

เรื่องแบบนี้สามารถบอกป้าสะใภ้ใหญ่ได้โดยตรงเลย ทำไมยังต้องให้ไทฮองไทเฮาไปบอกแทน?

เจียงเซี่ยนแปลกใจมาก

ไทฮองไทเฮากับไทฮองไท่เฟยก็คิดไม่ถึงเช่นกัน ตอนแรกพวกนางต่างก็ทำหน้างุนงงเล็กน้อย จนกระทั่งฮูหยินอันลู่โหวเอ่ยออกมาอย่างอ้อมๆ ว่าขอเพียงฝ่ายชายเป็นผู้บัญชาการหรือผู้ช่วยระดับสี่หรือระดับห้าที่สืบทอดตำแหน่งมาหลายรุ่นก็ได้ ทั้งสองคนถึงเข้าใจทันที

เห็นได้ชัดว่าฮูหยินอันลู่โหวกำลังบอกพวกนางว่า ตระกูลของพวกเขาไม่คิดจะให้ลูกสาวเข้าร่วมการคัดเลือกเพื่อแต่งตั้งฮองเฮา ทว่าคิดแต่จะสู่ขอเจียงเซี่ยนให้แก่ลูกชายเท่านั้น

——————–