ตอนที่ 217 สุราทิพย์ลงท้องยามกลุ้ม

พันธกานต์ปราณอัคคี

กู้หลีตัวแข็งทื่อทันที ขาที่ยกขึ้นมาถึงกับลืมวางลงไป

 

 

ภาพลวงตา ต้องเป็นภาพลวงตาแน่ๆ

 

 

“อาจารย์” เสียงเรียกดังขึ้นกว่าเดิมลอยมา ทำลายการปลอบใจตนเองของกู้หลีเสียกระจุย

 

 

กู้หลีโยนกระบี่บินออกมาอย่างไม่รู้ตัว ยกเท้าก็จะก้าวขึ้นไป กลับจู่ๆ รู้สึกว่าไม่เหมาะอีก จึงเก็บขากลับมาทั้งเช่นนั้น

 

 

มั่วชิงเฉินที่อยู่ข้างหลังเห็นการกระทำทั้งหมดนี้ของกู้หลีจนหมด ในใจเจ็บแปลบ นี่เขาทำอะไร ชั่วชีวิตนี้กะจะไม่พบตนแล้วหรืออย่างไร?

 

 

ความรักที่ตนมีต่อเขา ทำให้เขาทนไม่ได้ถึงเพียงนี้หรือ?

 

 

นึกถึงที่เขาหลบหน้าไม่พบตนมาหลายวัน และยังท่าทางที่เมื่อได้ยินเสียงตนก็แทบจะวิ่งหนีทันทีนั่นอีก ในที่สุดมั่วชิงเฉินก็รู้สึกน้อยใจขึ้นมา ยืนหลุบตาอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน

 

 

กู้หลีไม่ได้ยินความเคลื่อนไหวด้านหลัง เกร็งร่างกายที่แข็งทื่อพลางค่อยๆ หันหน้ามา

 

 

สิ่งที่มองเห็นคือเด็กสาวผอมบางยืนอยู่บนพื้นหญ้าอย่างสงบ เงาไผ่ที่เป็นระเบียบที่อยู่ข้างๆสะท้อนอยู่บนชุดเขียวหลวมโคร่งของนาง ลมพัดมา เงาไผ่แกว่งเอยแกว่งตามชุดเขียว แกว่งจนเขาเหม่อลอยไปชั่วขณะ

 

 

“ชิงเฉิน เจ้ากลับมาแล้ว” เห็นมั่วชิงเฉินไม่พูด กู้หลีถามเสียงเบา

 

 

มั่วชิงเฉินหน้าก้มเล็กน้อยไม่แม้แต่จะมองกู้หลีสักปราด เอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้าค่ะ อาจารย์เพิ่งกลับมาสินะ ก่อนหน้านี้ชิงเฉินหมักสุราทิพย์ใหม่ไว้สองชนิด บัดนี้น่าจะมีกลิ่นสุราบ้างแล้ว กว่าอาจารย์จะกลับมาได้ จะได้ลองลิ้มลองพอดี” พูดพลางก้าวเท้าเร็วๆ เดินไปที่เรือนไม้ไผ่แห่งหนึ่ง ที่นั่นเป็นสถานที่ที่นางใช้หมักสุราโดยเฉพาะ           

 

 

ชุดเขียวหลวมโคร่งยิ่งทำให้นางดูผ่ายผอม ตามการก้าวเท้าอย่างรวดเร็ว ขอบกระโปรงพลิ้วไหว ยามที่เดินสวนผ่านไปกวาดผ่านชุดเทาของกู้หลี พาให้ชุดเทาของเขาก็พลิ้วไหวตามไปด้วย

 

 

เหลียงเฉินเหม่ยจิ่งสองคนประสานตากันปราดหนึ่ง แล้วรีบหาเหตุผลหลบไป ถือโอกาสลากพวกอสูรเสือพายุทะลุฟ้าสามตัวที่ไม่เต็มใจไปด้วย

 

 

ไม่นานนัก ก็เห็นมั่วชิงเฉินอุ้มไหสุราสองใบเดินเข้ามา วางไว้บนโต๊ะหิน ใช้มือตบเปิดออกไหหนึ่ง กลิ่นหอมสุราจางๆ สายหนึ่งก็ลอยออกมา

 

 

สายตาของกู้หลีจึงตกไปอยู่ที่มือมั่วชิงเฉิน

 

 

เห็นเพียงนางโบกมือเปล่าทีหนึ่งจอกหยกขายาวสีมรกตสองใบก็ปรากฏขึ้น จากนั้นถือไหสุราขึ้นค่อยๆ รินสุราลงในจอกหยกสีมรกต

 

 

สุราเป็นสีขาวนวล แฝงด้วยสีชมพูเข้มรางๆ ใส่อยู่ในจอกหยกสีมรกตแล้วดูมีเสน่ห์อย่างคาดไม่ถึง คลื่นสุรากระเพื่อมแผ่วเบาพาความวิเวกวังเวงออกมาสายหนึ่ง

 

 

มั่วชิงเฉินดันจอกหยกขาสูงใบหนึ่งเข้าไป เอ่ยนิ่งเรียบว่า “อาจารย์ เชิญลิ้มลองเจ้าค่ะ”

 

 

สายตากระจ่างใสของกู้หลีกวาดผ่านใบหน้ามั่วชิงเฉิน สาวน้องท่าทางไม่สะทกสะท้าน สงบนิ่งอ่อนโยน

 

 

กู้หลีหลุบตาลง นิ้วมือเรียวยาวหนีบขาจอกไว้ จิบเบาๆ อึกหนึ่ง

 

 

ไอสุราจางๆ มาพร้อมกลิ่นหอมเหมยรางๆ บางเบาดุจแสงจันทร์แท้ๆ เมื่อลงท้องกลับให้หวนระลึกถึงรสชาติไม่รู้จบ ปราณวิญญาณเย็นๆ เป็นสายๆ กระจายออกรอบทิศ อวัยวะภายในสบายอย่างไม่มีสิ่งได้เทียมได้ในทันที

 

 

“นี่คือสุราอันใด?” กู้หลียกตาถามว่า

 

 

มั่วชิงเฉินเม้มมุมปาก เอ่ยอย่างสงบว่า “น้ำค้างลั่วเหวย หมักจากกลีบดอกเหมยแดงพันปีและน้ำค้างบนเกสร อาจารย์รู้สึกเป็นเช่นไรเจ้าคะ?”

 

 

กู้หลีพยักหน้าว่า “สีใสรสจาง กลับแฝงด้วยกลิ่นหอมอบอวลในปาก หวนระลึกรสชาติได้ไม่รู้จบ นับว่าเป็นยอดสุรา”

 

 

“เช่นนั้นอาจารย์ก็ดื่มมากๆ หน่อย” มั่วชิงเฉินพูดพลางรินให้เขาจนเต็มอีก จากนั้นตนเองยกจอกหยกขาสูงอีกใบหนึ่งขึ้นมา ดื่มจนเกลี้ยง

 

 

ไม่นานนัก น้ำค้างลั่วเหวยไหหนึ่งก็เหลือเพียงครึ่งเดียว มั่วชิงเฉินกลับไม่พูดสักคำตั้งแต่ต้นจนจบ

 

 

กู้หลีเผยอปาก คิดจะพูดอะไร กลับถูกมั่วชิงเฉินขัดขึ้น

 

 

“อาจารย์ ท่านลองชิมอันนี้อีกเจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินพูดพลางเปิดผนึกของสุราอีกไหหนึ่ง กลิ่นหอมสุราเข้มข้นสายหนึ่งพุ่งเข้าจมูก

 

 

ต่อจากนั้นบนโต๊ะหินก็ปรากฏจอกหยกขาวใบเล็กขึ้นสองใบ มั่วชิงเฉินเอียงไหสุราในมือ สุราเลิศรสสีทองเหมือนอำพันก็ไหลเข้าจอกหยกขาวใบเล็กอย่างช้าๆ

 

 

“อาจารย์” มั่วชิงเฉินสองมือยกจอกเล็กใบหนึ่งส่งไปให้กู้หลี กู้หลีรับมาดื่มจนเกลี้ยง

 

 

น้ำสุราเข้มข้นเหมือนวุ้น ไหลผ่านปลายลิ้นทีละนิดๆ ไหลตามคอหอยค่อยๆ ลงท้อง ทิ้งรสขมฝาดไว้เป็นสายๆ

 

 

สุราลงท้องปราณวิญญาณก็กระจายออก กลับร้อนแต่ไม่แสบ สบายอย่าบอกใคร รอผ่านไปชั่วครู่ รสขมฝาดที่ปลายลิ้นค่อยๆ เปลี่ยนเป็นรสหวาน รสขมฝาดและรสหวานผสานกัน กลับยิ่งทำให้รสชาติของสุรายิ่งเข้มข้นอัศจรรย์ อย่างช้าๆ รสหวานนั้นก็ท่วมผ่านทุกอย่าง อัศจรรย์อย่างบอกไม่ถูก

 

 

“สุราดี!” กู้หลีชมว่า สุราเช่นนี้ถูกปากเขากว่าอย่างไม่ต้องสงสัย

 

 

มั่วชิงเฉินก็ไม่พูด จอกสุราโล่งแล้วก็รินใหม่จนเต็ม ดื่มจอกแล้วจอกเล่า ไม่นานนักสองแก้มก็แดงเรื่อขึ้นมา

 

 

ในที่สุดกู้หลีก็ทำสีหน้าจริงจัง มองนางนิ่งๆ ว่า “ชิงเฉิน เจ้าโกรธหรือ?”

 

 

มั่วชิงเฉินสีหน้าราบเรียบว่า “ไม่เจ้าค่ะ” พูดพลางหยิบจอกสุราดื่มอีกจอกหนึ่ง

 

 

กู้หลีกดแขนเสื้อของมั่วชิงเฉินไว้ว่า “ชิงเฉิน เจ้าโกรธอาจารย์ใช่หรือไม่? หากในใจกลัดกลุ้ม อย่าดื่มสุราจะดีกว่า”

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มอย่างบอกไม่ถูกว่า “ชิงเฉินจะกล้าโกรธอาจารย์ได้อย่างไร และมีคุณสมบัติอะไรที่จะโกรธอาจารย์อีก?” พูดพลางดื่มอีกจอกหนึ่ง ดวงตาเป็นประกายมองกู้หลี “อาจารย์ไม่เคยดื่มสุรายามที่ในใจกลัดกลุ้มหรือเจ้าคะ?”

 

 

พูดจนกู้หลีไม่รู้จะพูดอะไรอีก ได้เพียงขมวดคิ้วแน่นขึ้นเรื่อยๆ มองนางดื่มจอกแล้วจอกเล่าอย่างเงียบๆ

 

 

เด็กผู้หญิงในอดีตในที่สุดก็เติบใหญ่แล้ว นาง ไยนางถึงมีความคิดเช่นนั้นขึ้นมาได้นะ?

 

 

ความคิดนั้นแวบขึ้นมา กู้หลีเบือนหน้าไปทันที ไม่สบตากับดวงตาที่ยิ่งนานยิ่งเป็นประกายของมั่วชิงเฉินอีก

 

 

อาศัยความเมาอาละวาดมั่วชิงเฉินทำไม่ได้ รู้สึกว่าตนเองเริ่มเมากริ่ม จึงดันไหสุราไป แล้วหัวเราะหึๆ ว่า “อาจารย์ ไม่คิดว่าสุรานี่จะเมาง่ายถึงเพียงนี้ ชิงเฉินดื่มอีกไม่ได้แล้ว ท่านจัดการเถอะ” พูดจบลุกขึ้น ยังไม่ลืมอุ้มน้ำค้างลั่วเหมยที่เหลือไหนั้น เดินไปที่เรือนอย่างเอ้อระเหย

 

 

เดินไปถึงที่แห่งหนึ่งพอดีมีก้อนหินอยู่ก้อนหนึ่ง เป็นก้อนหินที่อสูรเสือพายุทะลุฟ้าใช้ขัดฟันยามไม่มีอะไรทำ ทั้งเงาทั้งลื่น เดิมทีมั่วชิงเฉินก็ไปโถงแสดงยุทธ์ตีติดกันหลายยก ทั้งเหนื่อยทั้งง่วง ยามนี้ดื่มสุราทิพย์สองชนิดติดกันอีก สุราลงท้องยามกลุ้มยิ่งเมาง่าย ใต้เท้าก็ลอยขึ้นมา เหยียบถูกก้อนหินร่างกายก็บินตรงไปข้างหน้าทันที

 

 

“ชิงเฉิน” กู้หลีขยับตัวพยุงมั่วชิงเฉินไว้ทันทีแล้วถอนใจเสียงเบา ฐานะของทั้งสองคนเช่นนี้จะเกิดความคิดอื่นขึ้นได้อย่างไรกัน หากเป็นสตรีอื่นหลบไปให้พ้นก็หมดเรื่องแล้ว ทว่านางกลับเป็นศิษย์ของตน

 

 

“อาจารย์ ท่าทางข้าจะดื่มมากไปแล้วจริงๆ” มั่วชิงเฉินมือหนึ่งอุ้มไหสุรามือหนึ่งดึงเสื้อกู้หลีไว้ แล้วแหงนหน้ายิ้ม รอยยิ้มหมดจด กลับปิดความรู้สึกในดวงตาไม่มิด

 

 

กู้หลีเหมือนถูกฟ้าผ่ารีบเบือนสายตาออก พยุงมั่วชิงเฉินเข้าเรือน “ชิงเฉิน เจ้าพักผ่อนดีๆ อย่าคิดมากเปลืองสมองอีก” พูดจบก็หันหลังจะออกไป

 

 

กลับได้ยินมั่วชิงเฉินข้างหลังพึมพำว่า “อาจารย์ ท่านอย่าหลบข้าอีกเลย หาก หากไม่อยากเห็นชิงเฉินจริงๆ ชิงเฉินพรุ่งนี้ก็ลงเขาไป…”

 

 

กู้หลีหันหลังโดยพลัน ไม่ทันได้สนใจอย่างอื่นอีกแล้วว่า “ชิงเฉิน เจ้าอย่าคิดมาก เจ้ากลับสำนักยังไม่ครบปี ไม่ใช่เวลาออกไปข้างนอก”

 

 

ยิ่งกว่านั้น นางล่วงเกินนิกายเหอฮวนจนไม่เหลือชิ้นดี ปกติอยู่ในสำนักก็ช่างเถอะ หากออกไปพบเจอเข้า ลำพังตัวคนเดียวยากจะเลี่ยงไม่ให้เสียเปรียบได้ รอผ่านไปสักสองปีเรื่องซาลงแล้วคงจะปลอดภัยหน่อย

 

 

มั่วชิงเฉินกลับหัวเราะว่า “อาจารย์หลับข้าอยู่ใช่หรือไม่ แม้แต่เขาป่าไผ่ก็ไม่ยอมกลับแล้ว”

 

 

กู้หลีชะงัก ระยะนี้เขาไม่อยู่เขาป่าไผ่ ที่จริงคือออกไปตามหาหัวใจผลึกแก้ว เพื่อเสื้อวิเศษตัวนั้น แน่นอนก็มีเจตนาหลบหน้าเช่นกัน อยากให้ลูกศิษย์สงบใจสักหน่อย ด้วยนิสัยเฉลียวฉลาดปรุโปร่งเช่นนางไม่แน่อาจคิดตกก็ได้ใครจะไปรู้

 

 

เดิมทีไม่อยากบอกเรื่องนี้แก่นาง ทว่าเห็นนางเป็นเช่นนี้ ปกติภายนอกไม่แสดงออกกลับอัดอั้นอยู่ในใจ หากเกิดจิตมารขึ้นจะเป็นปัญหา จึงว่า “วันนั้นเอาหนังปลาของอสูรทะเลชั้นห้าจากที่เจ้านี่ไปชิ้นหนึ่งมิใช่หรือ ศิษย์พี่ที่เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธท่านนั้นบอกหากเพิ่มของบางสิ่งเข้าไปพลังการป้องกันจะดียิ่งขึ้น ข้าจึงออกไปตามหาของสิ่งหนึ่ง ถึงทำให้เสียเวลา”

 

 

มั่วชิงเฉินฟังแล้วความกลัดกลุ้มในใจก็กวาดหายไปครึ่งใหญ่ กลับยังคงถามว่า “เช่นนั้นอาจารย์มิใช่ไม่อยากพบข้า?”

 

 

กู้หลีส่ายศีรษะ กลับรู้สึกประหลาดเล็กน้อยอีก

 

 

มั่วชิงเฉินแอบยิ้มอยู่ในใจ ถามอีกว่า “เช่นนั้นต่อไปอาจารย์ก็ไม่ออกไปแล้วหรือเจ้าคะ?”

 

 

กู้หลีชะงักทีหนึ่งถึงว่า “หากไม่มีธุระย่อมไม่ออกไป”

 

 

“เช่นนั้นอาจารย์มีธุระออกไปจะไม่ไปโดยไม่บอกกล่าวอีก?” มั่วชิงเฉินถามต่อ

 

 

กู้หลีหลุดปากว่า “ไม่เป็น” พูดจบกลับชะงักงัน เช่นนี้แล้วไยดูเหมือนตนเองต่างหากที่เป็นศิษย์ จะออกไปทั้งทียังต้องบอกกล่าวอีก

 

 

ไม่รู้ศิษย์พี่คนอื่นก็เป็นเช่นนี้เหมือนกันหรือไม่? คิดถึงตรงนี้ก็อดสับสนขึ้นมาไม่ได้

 

 

ในยามนี้เอง ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจแล้วว่าปีนั้นสายตาของอาจารย์หลิวซางเจินจวินที่มองเขา กระทั่งบัดนี้ บางทีอาจารย์ยังใช้แววตาเช่นนั้นมองเขาและศิษย์พี่ใหญ่อยู่ คิดว่าก็คงรู้สึกว่าศิษย์ยุ่งยากและรับมือยากเช่นกัน ยังดันปล่อยมือไม่ได้อีก

 

 

เลี้ยงบุตรถึงรู้บุญคุณบุพการี ในใจกู้หลีมีความคิดเช่นนี้ขึ้นอย่างประหลาด แล้วนึกถึงศิษย์ของตนอีก กลับยิ่งรู้สึกกระอักกระอ่วนเหลวไหล อีกทั้งยังมีความทำอะไรไม่ถูกนอกจากความกระอักกระอ่วนอีก

 

 

ศิษย์ของศิษย์พี่คนอื่นหากมีความคิดเช่นนี้ พวกเขาควรปฏิบัติตนเช่นไร?

 

 

ไม่รู้เพราะเหตุใด ในใจกู้หลีรู้สึกรางๆ ว่าปฏิกิริยาของศิษย์พี่คนอื่นเมื่อเจอเรื่องประเภทนี้ต้องไม่มีทางทำอะไรไม่ถูกเป็นแน่ คิดถึงตรงนี้จู่ๆ ใจก็ไม่กล้าคิดลึกลงไปกว่านี้อีก

 

 

ใครจะรู้ว่าเรื่องที่ยิ่งทำให้เขาทำตัวไม่ถูกมาแล้ว แล้วก็ได้ยินมั่วชิงเฉินถามอย่างเอ้อระเหยว่า “เช่นนั้นเสื้อวิเศษของชิงเฉินหลอมเสร็จหรือยังเจ้าคะ?”

 

 

“อาจารย์…” เห็นจู่ๆ กู้หลีก็ชะงักงัน หน้าค่อยๆ แดงขึ้น มั่วชิงเฉินสงสัยขึ้นมา

 

 

“ชิงเฉิน วันนี้เจ้าดื่มสุราไปไม่น้อย วันหลังค่อยว่ากันดีกว่า วันหลังค่อยว่ากันเถอะ” กู้หลีพูดอย่างยากลำบาก แล้วก็จะเดินออกไป

 

 

“อาจารย์ สิ่งที่ท่านพูดก่อนหน้านี้ล้วนปลอบใจข้า ที่จริงท่านหลบชิงเฉินอยู่ตลอดใช่หรือไม่เจ้าคะ?” มั่วชิงเฉินน้ำเสียงเคืองขึ้นมา ในใจกลับแอบหัวเราะ ไม่ใช่นางเจตนาหยอกเขานะ แต่การแสดงออกของอาจารย์ช่างตลกเหลือเกินจริงๆ”

 

 

“ไม่ใช่ ชิงเฉินเจ้าอย่างคิดเหลวไหล…”

 

 

กู้หลีพูดไม่ทันจบก็ถูกมั่วชิงเฉินพูดแทรก “เช่นนั้นเสื้อวิเศษของชิงเฉินละเจ้าคะ?”

 

 

เงาสีขาวแวบผ่านของสิ่งหนึ่งโยนมาที่นาง จากนั้นก็เห็นกู้หลีพุ่งออกประตูไปเหมือนลมพายุ

 

 

มั่วชิงเฉินถูกสิ่งที่คาดไม่ถึงนี้ทำจนชะงักงัน ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงก้มหน้าลง ใบหน้ากลายเป็นหินทันที

 

 

พักใหญ่ๆ นางถึงลูบหน้าผากว่า “ทีนี้ดีแล้ว เกรงว่าชีวิตนี้ทั้งชีวิตอาจารย์ก็ไม่คิดจะเจอตนแล้ว”

 

 

เกินความคาดหมายของมั่วชิงเฉิน ไม่คิดว่าวันที่สองกู้หลีจะไม่ได้วิ่งหนี ยังทำอาหารเช้ารอนางมากิน เพียงแต่ทุกครั้งที่สายตานางมองไป สีหน้าก็จะกระอักกระอ่วน โคนหูก็ค่อยๆ แดงขึ้น ไม่มีท่าทางใจเย็นในยามปกติ

 

 

มั่วชิงเฉินแอบหัวเราะอยู่ในใจ ท่าทางเพราะเมื่อวานถูกตนบังคับให้รับปากว่าต่อไปถ้าไม่มีธุระจะไม่ออกไป เขาเป็นคนรักษาคำพูดมาตลอด

 

 

เพียงแต่มองดูท่าทางของกู้หลีแล้วสุดท้ายก็ทำใจไม่ได้ จึงลุกขึ้นว่า “อาจารย์ ชิงเฉินไปโถงแสดงยุทธ์ก่อนแล้วเจ้าค่ะ”