เล่ม 2 เล่มที่ 2 ตอนที่ 32 ผู้ใดที่ส่งเจ้ามาเป็นจารชน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

หลังจากดื่มน้ำแกงไก่ หวีผมล้างหน้าเรียบร้อยแล้ว แม่นมฮวากับลวี่หลีก็ไปพบเยี่ยโยวเหยาเป็นเพื่อนซูจิ่นซี

        พอถึงหน้าประตู ทั้งสามคนถูกทหารอารักขาขัดขวางไว้

        “พระชายาพ่ะย่ะค่ะ ตำหนักฝูอวิ๋นยินยอมให้ท่านเข้าไปเพียงผู้เดียว ผู้อื่นกรุณารออยู่นอกตำหนัก! ”

        แม่นมฮวาเป็นหญิงชราที่รับใช้เยี่ยโยวเหยามานาน นางเข้าใจกฎของเยี่ยโยวเหยาโดยทันที จึงสมัครใจเดินถอยออกมาอีกด้านพลางยิ้มแป้นมองไปที่ซูจิ่นซี

        “พระชายาเพคะ ท่านเข้าไปเถิดเพคะ! ข้าน้อยกับลวี่หลีจะรออยู่ด้านนอกนี้ หากพระชายาประสงค์สิ่งใด ขอเพียงท่านรับสั่งเท่านั้นก็พอเพคะ! ”

        รอยยิ้มของแม่นมฮวา มองอย่างไรก็ล้วนรู้สึกว่ามัวเมาอยู่ในตัณหาราคะ ซูจิ่นซีขี้เกียจเกินกว่าจะใส่ใจกับความหมายที่ลึกซึ้งนั้น นางทำเพียงพยักหน้า หันหลังกลับและสูดหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งครั้ง ก้าวเท้าช้าๆ ขึ้นบันไดตำหนักฝูอวิ๋นไป

        พอนางเข้าไป ประตูตำหนักที่มีน้ำหนักมากด้านหลังนางก็ถูกปิดลง

        ความรู้สึกกดดันที่คุ้นเคยบังเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ประกอบกับความจริงที่ว่าตำหนักฝูอวิ๋นขนาดใหญ่แห่งนี้ไม่มีผู้ใดคอยอยู่ปรนนิบัติเลย แรงกดดันที่เงียบงันนั้นจึงยิ่งรุนแรงขึ้น

        ซูจิ่นซีสูดหายใจเข้าลึกๆ นางเดินเข้าไปในม่านมุกระย้า ทีละก้าวๆ

        ค่ำคืนที่แสนวังเวง แสงเทียนในตำหนักฝูอวิ๋นสว่างไสว การประดับประดาเพชรนิลจินดาเครื่องทองต่างๆ ส่องแสงสว่างแพรวพราว ร่ำรวยมีเกียรติและวิจิตรตระการตา

        นี่เป็นครั้งที่สองที่ซูจิ่นซีมาเยือนตำหนักฝูอวิ๋น ทว่าเป็นครั้งแรกที่นางมองการตกแต่งภายในตำหนักฝูอวิ๋นเช่นนี้อย่างเต็มตา

        เยี่ยโยวเหยานี่ หรูหราฟู่ฟ่า ชีวิตที่ผ่านไปในแต่ละวัน ความจริงก็ไม่เลวทีเดียว !

        ไม่แปลกใจที่นางได้ยินมาว่าฮ่องเต้ไม่อยากจะพบเยี่ยโยวเหยาสักเท่าใด

        อย่างอื่นก็ไม่พูดแล้วกัน ซูจิ่นซีอ้างอิงพระราชวังของฮ่องเต้องค์ต่างๆ ที่นางเคยเยี่ยมชมในยุคปัจจุบัน กล้ารับประกันได้เลยว่าตำหนักฝูอวิ๋นนี้หรูหรากว่าพระราชวังของฮ่องเต้อย่างแน่นอน

        ท่านอ๋องที่ร่ำรวยและหรูหราเช่นนี้ ควบคู่กับกองกำลังทหารที่เข้มแข็ง อำนาจทางการเมืองของราชสำนักและประชาชนสามารถโน้มเอียงไปตามสถานการณ์ ไม่เท่ากับว่าเป็นราชสีห์ที่อยู่ข้างบัลลังก์ของฮ่องเต้หรืออย่างไร!

        ฮ่องเต้ไว้ใจเขาสิถึงจะแปลก

        “ท่านอ๋อง! ”

        ซูจิ่นซีตะโกนเรียก ทว่าไม่มีผู้ใดตอบกลับมา

        “ท่านอ๋อง นี่หม่อมฉันเอง ซูจิ่นซีเพคะ! ”

        ก็ยังไม่มีคนตอบกลับ

        หรือว่าเยี่ยโยวเหยาจะไม่อยู่?

        นางสงบสติลง แล้วเดินดูรอบตำหนักใหญ่โตนี้ แท้จริงแล้วไม่มีแม้แต่เงาของผู้ใด ยิ่งไม่ต้องถามถึงเยี่ยโยวเหยาเลย

        ไม่ถูกสิ!

        ถ้าเยี่ยโยวเหยาไม่อยู่ ทหารอารักขาด้านนอกก็ไม่มีทางที่จะให้นางเข้ามาได้!

        “ท่านอ๋อง… ท่านอ๋องเพคะ…”

        ซูจิ่นซีตะโกนเรียกอีกสองครั้ง นางมั่นใจว่าไม่มีผู้ใดขานรับ และไม่มีแม้แต่เงาของเยี่ยโยวเหยาเช่นกัน แม้ว่าความกดดันภายในใจจะค่อยๆ หายไป ทว่าไม่ทราบด้วยเหตุอันใดบางอย่างภายในจิตใจจึงรู้สึกถึงความว่างเปล่าบางอย่าง

        นางคิดว่าบางทีเยี่ยโยวเหยาอาจไม่ได้อยู่ในตำหนักฝูอวิ๋นจริงๆ มิเช่นนั้นนางตะโกนมาเป็นเวลานานแล้วจะไม่มีผู้ใดตอบรับได้อย่างไร!

        คิดได้ดังนั้นจึงจะออกไปถามทหารอารักขาว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่

        ทันทีที่ซูจิ่นซีหันหลังกลับ นึกไม่ถึงว่าจะถูกเงาของร่างซึ่งดำทมิฬราวกับหยกนิลที่อยู่ด้านหลังของนางทำให้สะดุ้งตกใจ

        “ท่านอ๋อง ท่านทำหม่อมฉันตกใจจะตายอยู่แล้วเพคะ มาอยู่ข้างหลังหม่อมฉันตั้งแต่เมื่อใดกันเพคะ หม่อมฉันตะโกนเรียกท่านตั้งนาน ท่านก็ไม่ยอมตอบกลับมา”

        ในทรวงอกของซูจิ่นซีปกคลุมไปด้วยจังหวะของการตกใจ “ตึกตึกตึก”

        เยี่ยโยวเหยาราวกับคนที่ไม่รู้สึกรู้สาต่อสิ่งใด ไม่สนใจปฏิกิริยาของซูจิ่นซีโดยสิ้นเชิง เขาหันหลังและเอียงตัวนอนลงบนเตียงที่มีลวดลายงดงาม

        เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เริ่มเสียเถิด! ”

        “ระ… เริ่ม? ”

        เมื่อมองไปยังคอเสื้อสีดำที่เปิดออกของเยี่ยโยวเหยา กล้ามเนื้อที่สมบูรณ์แบบของเขาคล้ายราวกับจะปรากฏและหายไปอย่างเลือนลางไม่ชัดเจน รวมไปถึงอิริยาบถเอนกายที่แสดงออกมาอย่างเย้ายวนใจนั้น แก้มของซูจิ่นซีก็แดงสุกปลั่งขึ้นในทันที

        “ท่าน… ท่านอ๋อง… เช่น… เช่นนี้ไม่ดีแน่เพคะ? เมื่อกลางวันหม่อมฉันได้บอกท่านอย่างชัดเจนแล้วนะเพคะว่าความคิดเรื่องชายหญิงของหม่อมชั้นนั้นเปิดกว้าง หากท่านดึงดันต้องการก็ย่อมได้เพคะ ทว่าภายในใจหม่อมฉันไม่อาจตามใจท่านด้วยความเต็มใจ”

        ดวงตาที่ล้ำลึกของเยี่ยโยวเหยาหรี่ลงและขมวดคิ้วแน่น “ก็แค่ถอนพิษไม่ใช่หรือ พูดอันใดไร้สาระให้มากความ? ”

        “ฮะ? ท่านอ๋อง ที่แท้ท่านเรียกหม่อมฉันมาเพื่อถอนพิษให้ท่านเช่นนั้นหรือ? ”

        ซูจิ่นซีอ้าปากกว้างด้วยความตกใจ

        “หืม? เจ้าคิดว่าอันใด? ”

        “ไม่…ไม่มี! ไม่มีอย่างแน่นอนเพคะ! ”

        ซูจิ่นซีรีบโบกมือ พยายามซ่อนความคิดสกปรกของนางเอาไว้ อันที่จริงแทบอยากจะหาซอกแล้วรีบมุดเข้าไปเสียให้ได้

        ขายหน้ายิ่งนัก ขายหน้าไปจนถึงบรรพบุรุษแล้วนั่น คาดไม่ถึงว่านางจะคิดไม่ซื่อเสียแล้ว

        ทั้งหมดนี้ล้วนถูกแม่นมฮวาล่อลวงเข้าแล้ว

        “นั่นปะไร ยังไม่รีบเริ่มอีก! ”

        เยี่ยโยวเหยาเหมือนจะหมดความอดทนเสียแล้ว

        “เพคะ! ”

        ซูจิ่นซีตอบรับแล้วเข้าไปใกล้เยี่ยโยวเหยา

        ก่อนที่จะไปหนานย่วน ซูจิ่นซีได้แลกเปลี่ยนข้อตกลงกับเยี่ยโยวเหยาไว้ นางสัญญากับเยี่ยโยวเหยาไว้แล้ว

        หากเยี่ยโยวเหยากลับมาในคืนนั้นและไปที่หนานย่วนเป็นเพื่อนนางได้ นางสัญญาว่าจะกำจัดพิษทั้งหมดในร่างกายของเยี่ยโยวเหยาให้

        “ท่านอ๋อง กรุณายื่นมือของท่านออกมาหน่อยเพคะ! ”

        เยี่ยโยวเหยายื่นมือขวาออกมา

        ซูจิ่นซีนั่งชันเข่าถัดจากเตียงลวดลายงดงามของเยี่ยโยวเหยา แกล้งทำเป็นตรวจชีพจร ทว่าความเป็นจริงนางแอบเปิดระบบถอนพิษเพื่อวิเคราะห์สารพิษในร่างกายของเยี่ยโยวเหยา ท่าทางจริงจังตั้งใจ ภาพที่ปรากฏดูงดงามและเข้ากันได้อย่างดี

        หลังจากที่ระบบถอนพิษเลื่อนขั้นยกระดับประสิทธิภาพสูงขึ้น ทำให้เพียงเวลาไม่นานซูจิ่นซีก็สามารถวิเคราะห์สารพิษส่วนใหญ่บนร่างกายของเยี่ยโยวเหยาแล้วบันทึกลงบนกระดาษกว่าครึ่งแผ่นได้

        “ซูจิ่นซี สกุลซูศึกษาการแพทย์มาหลายชั่วอายุคนยังไม่มีผู้ใดสามารถถอนพิษได้ เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่? ”

        เยี่ยโยวเหยาบีบคอของซูจิ่นซีแล้วถามอย่างเย็นชา

        ซูจิ่นซีที่กำลังวิเคราะห์สารพิษในร่างกายของเยี่ยโยวเหยาอย่างจริงจัง หมกมุ่นอยู่กับงานของนางอย่างสมบูรณ์ ไม่ได้ให้ความสนใจต่ออันตรายรอบกายและคำพูดซักถามเกี่ยวกับข้อสงสัยของเยี่ยโยวเหยา ยิ่งกว่านั้นคือนางเกลียดผู้ที่มารบกวนในเวลาที่นางกำลังทำงานของตนเอง ซูจิ่นซีพลิกฝ่ามือหนึ่งครั้งจากนั้นจึงปัดมือของเยี่ยโยวเหยาที่กำลังบีบคอของนางทิ้งอย่างจริงจัง

        “สงบคำแล้วเงียบหน่อยเพคะ! ”

        ในฐานะที่เป็นเสด็จอาของเหล่าพสกนิกรแห่งแคว้นจงหนิง ไม่เคยมีผู้ใดกล้าพูดกับเขาเช่นนี้มาก่อน ยิ่งไม่มีผู้ใดกล้ากระทำกับเขาเหมือนเมื่อครู่นี้ด้วยซ้ำ สตรีนางนี้คิดจะก่อกบฏหรืออย่างไร? กล้ายิ่งนัก!

        เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้ว รัศมีอันตรายรอบๆ ตัวยิ่งเพิ่มสูงขึ้น  ยิ่งไปกว่านั้นยังมีร่องรอยของความโกรธเกรี้ยวที่กำลังค่อยๆ เพิ่มขึ้น

        เพียงแต่ว่าซูจิ่นซีไม่รู้ว่านางกระทำสิ่งใดลงไป สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นนิสัยจากการทำงานที่นางอบรมและฝึกฝนมาหลายปี เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ป่วยที่ไม่เชื่อฟังหรือพูดจาไร้สาระมากเรื่อง นางก็จะทำเช่นนี้เสมอ

        อย่างไรก็ตาม เมื่อเยี่ยโยวเหยาได้มองซูจิ่นซีที่จริงจังตั้งใจเช่นนี้แล้ว รัศมีความอันตรายและความโกรธเกรี้ยวในร่างกายของเขาก็ค่อยๆ สงบลง ในเวลาต่อมา คาดไม่ถึงว่าเยี่ยโยวเหยาจะมองดูซูจิ่นซีด้วยความเคลิบเคลิ้มเล็กน้อย

        หลังจากนั้นครู่ใหญ่ ซูจิ่นซีก็ได้เงยหน้าขึ้นมาด้วยความเบิกบานใจ

        “ในที่สุดก็วิเคราะห์พิษทั้งหมดออกมาได้แล้ว ท่านอ๋อง ในร่างกายของท่านเหตุใดจึงมีพิษมากมายเพียงนี้เล่าเพคะ? ท่านรับพิษมาได้อย่างไร? ได้รับพิษมากมายเช่นนี้ คาดไม่ถึงว่าท่านจะยังมีชีวิตรอดได้อยู่ ช่างเป็นเรื่องปาฏิหาริย์เสียจริง”

        ทว่านางพบว่า ท่านอ๋องผู้เย็นชาที่อยู่ด้านหน้าของตนเหมือนจะมีบางอย่างผิดปกติไป ราวกับว่าเขากำลังใจลอยคิดอะไรบางอย่าง เพียงแต่นางก็ไม่ได้สนใจ แท้จริงแล้วบัดนี้เยี่ยโยวเหยากำลังมองนางด้วยความเคลิบเคลิ้ม

        “ท่านอ๋อง ท่านคิดอะไรอยู่เพคะ? ”

        มือเรียวบางและสวยงามของซูจิ่นซีกวัดแกว่งอยู่เบื้องหน้าเยี่ยโยวเหยา

        เยี่ยโยวเหยากลับมารู้สึกตัวทันที รีบปกปิดความไม่ปกติในดวงตาอย่างรวดเร็ว แล้วจึงขมวดคิ้วมองไปทางซูจิ่นซี

        รอยแย้มยิ้มจากริมฝีปากของซูจิ่นซี คิ้วของนางโค้งเรียว ช่างเป็นรอยยิ้มที่หวานละมุนมากเหลือเกิน

        “ท่านอ๋อง ท่านคิดสิ่งใดจึงใจลอยได้ถึงเพียงนี้เพคะ? พิษในร่างกายท่านทั้งหมดหม่อมฉันวินิจฉัยออกมาได้หมดทุกอย่างแล้ว ท่านได้รับพิษทั้งหมดสามสิบหกชนิด ทว่าท่านรอดปลอดภัยมาได้จนถึงตอนนี้ ไม่ง่ายเลยจริงๆ เพคะ! ”

        ทันทีที่ซูจิ่นซีเอ่ยคำพูดจบลง คิดไม่ถึงว่าเยี่ยโยวเหยาจะบีบลำคอของนางอีกครั้ง

        รังสีอันตรายที่ค่อยๆ จางลงเมื่อครู่กลับมาท่วมท้นทั่วร่างของนางอีกครั้ง

        “ซูจิ่นซี พูด เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่? ผู้ใดส่งเจ้าเข้ามาเป็นจารชนอยู่ข้างกายข้า? ”