แม้แต่ชื่อโรงเตี๊ยมที่เป็นมรดกตกทอดยังไม่ต้องการเลย นับประสาอะไรกับการเปลี่ยนสถานที่เล่า
ผู้ดูแลร้านรีบตอบรับ
“… ท่านปู่บุญธรรมบอกแล้วว่าวันนั้นจะมาสนับสนุน ตระกูลโต้วของพวกเราจะกลายเป็นร้านอาหารที่มีชื่อเสียงแห่งเมืองหลวงแล้ว” ท่านชายโต้วชียิ้มกล่าว
เสียงหัวเราะของเขาถูกขัดจังหวะโดยการสอบถามจากบ่าวนอกร้าน
“มีอะไร” ท่านชายโต้วชีถามอย่างไม่พอใจ
บ่าวเข้ามาอย่างประหม่าและเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง
“คงสงสัยว่าเนื้อที่เราใช้ไม่สด…” ผู้ดูแลร้านกระซิบ
ท่านชายโต้วชีเบิกตาจ้องมอง
“ช่วงนี้พวกเจ้าใช้เนื้อไม่สดใช่หรือไม่” เขาเอ่ยถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ปริมาณมากเกินไป หาซื้อไม่ทัน จึงใช้เป็นครั้งคราว” เขากล่าวด้วยความเขินอาย “แต่ทว่า พอลวกแล้วก็แยกไม่ออก…”
ท่านชายโต้วชีจ้องมองเขา
“ระวังด้วย อย่าทำให้เสียเรื่อง” เขากล่าว
ผู้ดูแลร้านรับคำเสียงยาว
“แล้วให้พ่อครัวไปหรือไม่ขอรับ” บ่าวผู้นั้นเอ่ยถาม
“ไป ให้เขาไป พวกเราก็ไป แต่จะพูดอะไร พวกเราไม่ใช่คนตัดสินใจ” ท่านชายโต้วชียิ้มอย่างเมินเฉย
บ่าวได้สติกลับมาทันที
“ใช่ขอรับ ใช่ขอรับ ท่านชายฉลาดปราดเปรื่องมากขอรับ” เขากล่าวชื่นชมอย่างต่อเนื่อง
การได้รับคำชมจากบ่าวตัวเล็กๆ มิใช่เรื่องที่น่าภาคภูมิใจเท่าไรนัก
“ไสหัวออกไป ไอ้โง่” ท่านชายโต้วชีเอ็ด
คนโง่เขลาที่ไสหัวออกไปกลับมาพร้อมพ่อครัวอย่างรวดเร็ว และนำเนื้อสัตว์กับมีดมาถึงห้องที่เฉิงเจียวเหนียงนั่งอยู่
พ่อครัวไม่พอใจอย่างมากพลางเดินเข้าไปแสดงความเคารพอย่างไม่เต็มใจ
“นายหญิงขอรับ ทั้งหมดนี้เป็นเนื้อกระต่ายสดใหม่ที่ข้าเพิ่งหั่นเสร็จจากห้องครัว” เขากล่าวพลางทำแก้มบวมป่อง “ท่านลองดูสิขอรับ ของสดใหม่ทั้งนั้น”
เรียกมาเพื่อสิ่งนี้นี่เอง ช่างเป็นคนเลือกทานเสียจริงๆ
ท่านชายโจวหกซึ่งยืนมองอยู่ด้านนอกประตูละสายตาแล้วกำลังจะหันหลังกลับ
บ่าวที่อยู่ในห้องก็ถอนหายใจ ท่านชายโจวหกจึงเหลือบมองอีกครั้งและห้ามใจไม่ได้ที่จะอยู่ต่อ
หญิงสาวผู้นี้จะทำอะไรอีก
“นายหญิงเล่นไม่ได้นะขอรับ” พ่อครัวตะโกนอย่างรีบร้อนพลางมองไปที่แม่นางตัวเล็กซึ่งกำลังถือมีดกับเนื้อกระต่ายอยู่ตรงหน้า
เฉิงเจียวเหนียงชำเลืองมองเขา
“ดูให้ดี” นางกล่าว “ข้าจะทำเพียงครั้งเดียว”
ดูหรือ ให้ดูอะไร
นอกจากสาวใช้ อีกสามคนที่เหลือต่างงงงวย
เฉิงเจียวเหนียงถือมีดหั่น
ทั้งบ่าวและพ่อครัวต่างร้องออกมา
“นายหญิง…” บ่าวทำตัวไม่ถูกเล็กน้อยและอยากจะเกลี้ยกล่อม แต่จู่ๆ พ่อครัวกลับนิ่งเงียบโดยไม่พูด
เมื่อท่านชายโจวหกนึกอะไรบางอย่างออก สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยและก้าวไปข้างหน้าอย่างลืมตัว
เนื่องด้วยการเคลื่อนไหวของเฉิงเจียวเหนียงเช่นนี้ ชิ้นเนื้อกระต่ายจึงถูกวางซ้อนกันบนจานโดยมีขนาดที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งทำให้เกิดความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดกับกองเนื้อกระต่ายจานก่อนที่จัดวางอย่างกระจัดกระจาย
“ฝีมือหั่น…ยอดเยี่ยมยิ่งนัก” พ่อครัวกล่าวพึมพำราวกับเขาคิดอะไรบางอย่างออกแต่ก็เหมือนจะไม่เข้าใจ จึงเงยหน้าขึ้นมองเฉิงเจียวเหนียง ร่างที่อ้วนท้วมของเขาก็ค่อยๆ สั่นสะท้าน
หรือว่าจะเป็น…
“อะไรนะ” ท่านชายโต้วชีซึ่งกำลังยกกาเหล้านั่งอยู่ก็ลุกขึ้นทันทีแล้วเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
“ใช่แล้วๆ แม่นางผู้นั้นไม่ได้ถามอะไรเลย เพียงหยิบมีดหั่นเนื้อกระต่าย” บ่าวผู้นั้นกล่าว
“นี่หมายความว่าอย่างไรกัน” ท่านชายโต้วชีงงงวยและหัวเราะอีกครั้ง “มีคนชอบทำอาหารกินเองมาที่ร้านด้วยหรือ แล้วจะมาร้านอาหารทำไม”
ผู้ดูแลร้านกำลังใจจดใจจ่ออยู่ด้านข้างและทันใดนั้นก็เปล่งเสียงออกมา
“เป็นนายหญิงท่านหนึ่งอย่างนั้นหรือ” เขาตะโกนถาม
บ่าวผู้นั้นถึงกับตกใจ
“ใช่” เขาพยักหน้าต่อเนื่องพลางกล่าวเสริมว่า “มาพร้อมกับสาวใช้คนหนึ่ง…”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ ก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงตบมือจากผู้ดูแลร้าน
“ไอ้หยา หรือว่านายหญิงจะมาแล้ว! ” เขาตะโกนแล้วหันหลังวิ่งออกไป
ไม่ทันได้บอกกล่าวท่านชายโต้วชี บ่าวและท่านชายโต้วชีก็ต่างประหลาดใจยิ่งนัก
นายหญิงท่านใดมา
ระหว่างที่ผู้ดูแลร้านเดินมา เฉิงเจียวเหนียงก็เริ่มทำน้ำจิ้มแล้ว
ผู้คนภายในห้องยังคงนิ่งเงียบ มีเพียงเสียงซุปเดือดดังอยู่ในเตาถ่าน
เฉิงเจียวเหนียงตักน้ำมัน เกลือ ซีอิ๋ว น้ำส้มสายชูและน้ำมันงาออกมาในสัดส่วนไม่เท่ากันแล้วผสมลงไปทีละอย่าง จากนั้นเฉิงเจียวเหนียงก็หยุดไปชั่วขณะ สายตากวาดมองไปข้างหน้า
“ขาดงา” นางกล่าว
พ่อครัวจ้องมองทุกการเคลื่อนไหวของเฉิงเจียวเหนียงโดยไม่กระพริบตา แต่เมื่อได้ยินคำพูดนั้นราวกับว่าได้สติกลับคืนมา
“งา งา! “ เขาตะโกนด้วยเสียงสั่น “ไปเอางามาเร็ว”
ถึงจะพบว่าไม่มีบ่าวอยู่ในห้องมานานแล้ว ผ่านไปชั่วครู่ ก็มีคนเริ่มตะโกนอยู่ตรงประตู
“ไปเอามาเร็ว! ” ผู้ดูแลร้านเตะไปที่บ่าวคนนั้น
บ่าวคลานหนีอย่างรวดเร็ว
ผู้ดูแลร้านสะบัดเสื้อ แล้วเข้าประตูคุกเข่าหมอบกราบ
“คารวะนายหญิงขอรับ” เขาพูดด้วยเสียงสั่นเครือ
ท่านชายโต้วชีเดินเข้ามาเช่นกัน พอเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย
รู้จักกันมาก่อนหรือ
“ท่านชายชี ท่านนี้คือนางฟ้าผ่านมาขอรับ” ผู้ดูแลร้านหันหลังกลับมาแนะนำ
โต้วชีเป็นคนตั้งชื่อว่านางฟ้าผ่านมา เพราะได้ยินผู้ดูแลร้านเล่าว่าคนที่กินรสชาตินี้คือคนที่ผ่านมา แน่นอนว่าหากตั้งชื่อว่าคนผ่านมาจะน่าเกลียดไป จึงเกิดความคิดตั้งชื่อดีที่คุ้นหูและโดดเด่นขึ้นมาอย่างฉับไว
ท่านชายโต้วชีก็รู้ว่าคนที่เดินผ่านมาเป็นผู้หญิง แต่ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอตัวจริงรวดเร็วเช่นนี้
ผู้มาเยือนมาเพื่อวัตถุประสงค์ใดกัน อยากได้เงินหรือ
ท่านชายโต้วชีสีหน้าดูแปลกไปชั่วขณะ แต่เขาก็รีบกลั้นมันเอาไว้ แล้วคุกเข่าแสดงความเคารพ
“คือนายหญิงนางฟ้านี่เอง” เขายิ้มกล่าวด้วยความตื่นเต้น “ค้นหาท่านมานานหลายทาง ขอบคุณที่ท่านมาอุดหนุนอีกครั้งขอรับ”
เฉิงเจียวเหนียงมิได้ใส่ใจกับคำพูดของเขาทั้งสอง ขณะเดียวกันบ่าวนำงามาให้แล้ว สาวใช้ก็ยื่นมือรับ
เฉิงเจียวเหนียงหยิบออกมาเล็กน้อยแล้วโรยลงในชาม
บัดนี้ พ่อครัวตกใจจนหยุดชะงัก เนื้อตัวสั่นมากขึ้นเรื่อยๆ และดวงตาดูสับสนราวกับว่ามีความกังวลอยู่มาก
“ดู” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
เสียงดังฟังชัดเช่นนี้ ทำให้พ่อครัวมีสมาธิขึ้นมา
“ข้าจะทำเพียงครั้งเดียว” เฉิงเจียวเหนียงกล่าวอีกครั้ง
ในที่สุดรอบนี้พ่อครัวก็เข้าใจอย่างถ่องแท้ เขาอุทานโดยไม่ทันจะพูดอะไรออกมาก็รีบหมอบกราบอย่างไม่ลังเล
“ขอบคุณนายหญิงมากขอรับ ขอบคุณนายหญิงสำหรับคำแนะนำขอรับ ขอบคุณนายหญิงสำหรับคำแนะนำขอรับ” เขาพูดซ้ำไปซ้ำมา
ผู้ดูแลร้านตกตะลึงเช่นเดียวกันและปิติยินดีอย่างมากทันที
ท่านชายโต้วชีก็เข้าใจโดยปริยายและมีความประหลาดใจปรากฏขึ้นในดวงตา แต่ก็โล่งใจทันที แล้วเรียกบ่าวข้างๆ มากระซิบข้างหูสองสามประโยค จากนั้นบ่าวผู้ติดตามก็หันหลังก้าวออกไป
ความคิดของพวกเขาเปลี่ยนไป แต่เฉิงเจียวเหนียงยังคงเพิกเฉยเช่นเดิม วางน้ำจิ้มที่ปรุงเสร็จแล้วลงแล้วหยิบตะเกียบขึ้นมา
สาวใช้นำผักที่หั่นเสร็จแล้วลงหม้อ คนไปมาหลายรอบ แล้วค่อยคีบเนื้อกระต่ายลงหม้อหนึ่งชิ้น
เฉิงเจียวเหนียงก็ทำแบบเดียวกัน นายและบ่าวทั้งสองลิ้มรสอาหารอย่างช้าๆ ท่ามกลางไอน้ำที่เดือดและสายตาหลายคู่ที่จับจ้อง
เฉิงเจียวเหนียงเป็นคนเลือกกิน แต่เมื่อนางกินแล้ว ก็จะไม่สิ้นเปลือง
จนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดิน หลังจากกินเนื้อชิ้นสุดท้ายจนหมดแล้ว นายและบ่าวทั้งสองถึงจะวางชามและตะเกียบลง จากนั้นก็มองหน้าคนทั้งสามที่อยู่ในห้องซึ่งยังคงจ้องมองพวกนางอย่างไม่ละสายตาอยู่
“อ่อ ข้าลืมบอกไป” เฉิงเจียวเหนียงพูดหลังจากคิดอะไรบางอย่างออก “ไม่ต้องตั้งใจมองขณะที่ข้ากินหรอก”
ล้อเล่นอะไรเนี่ย ทำไมไม่บอกตั้งแต่แรก…
ผู้ดูแลร้านถอนหายใจ ท่านชายโต้วชีก็โล่งใจ ทั้งสองอดไม่ได้ที่จะนวดตาที่เมื่อยล้า
พ่อครัวหมอบกราบขอบคุณด้วยความตื้นตันอีกครั้ง
วันนั้นเห็นเพียงเศษก้นหม้อที่หลงเหลืออยู่ ไม่เห็นขั้นตอนการปรุงกับตา วันนี้ เห็นแล้วถึงรู้ว่าแตกต่างจากสิ่งที่ตนคาดเดาไว้อย่างมาก และพิถีพิถันกว่ามากเช่นกัน เนื้อหั่นอย่างไร ใส่ผักเวลาใด ซึ่งเพียงแค่ใส่งาในน้ำจิ้มก็เพียงพอแล้วสำหรับการกำหนดรสชาติของอาหาร
“ขอบคุณนายหญิงสำหรับคำแนะนำมากขอรับ ขอบคุณนายหญิงสำหรับคำแนะนำมากขอรับ” เขาทำได้เพียงพูดคำเหล่านี้ซ้ำๆ “ข้าน้อยเข้าใจแล้วขอรับ ข้าน้อยเข้าใจแล้วขอรับ”
“เข้าใจแล้วก็ไสหัวออกไปฝึกฝน อย่าทำให้นายหญิงต้องผิดหวัง” ท่านชายโต้วชีตะโกน
พ่อครัวก้มศีรษะด้วยความตื่นตระหนกแล้วถอยออกไป
ผู้ดูแลร้านได้พาบ่าวทั้งหลายออกไปทำความสะอาดโต๊ะอาหารด้วยตัวเองและยกน้ำชาด้วยตัวเองเช่นกัน
ระหว่างที่ทุกคนถอยออกไปแล้ว ประตูก็ใกล้จะถูกปิด แต่เมื่อบ่าวมองไปที่ท่านชายโจวหกซึ่งยังคงยืนอยู่ข้างประตูนั้นก็ลังเลอยู่ชั่วครู่
ท่านชายโจวหกยกเท้าก้าวเข้ามา มิได้นั่งในตำแหน่งหลัก แต่กลับนั่งลงข้างๆ เฉิงเจียวเหนียง
โต้วชีและบ่าวแอบสบตากันพลางโบกมือ ประตูจึงถูกดึงขึ้น
“นายหญิงนี่คือเจ้านายของพวกเราขอรับ” ผู้ดูแลร้านแนะนำ
ท่านชายโต้วชีแสดงความเคารพ
“ข้าน้อยโต้วชี ขอคารวะนายหญิงขอรับ” เขากล่าว
เฉิงเจียวเหนียงมองไปที่เขาและแสดงความเคารพเพียงครึ่งเดียวโดยไม่พูด
“นายหญิงฉลาดปราดเปรื่องถึงทานอาหารด้วยวิธีนี้ ร้านเล็กๆ ของข้าแห่งนี้ช่างโชคดียิ่งนักขอรับ” โต้วชียิ้มกล่าวพลางยื่นมือออกไปผลักกล่องไม้ขนาดเล็กที่บ่าวผู้ติดตามถือไว้
“น้ำใจเล็กน้อย หวังว่านายหญิงจะไม่รังเกียจนะขอรับ” เขากล่าว
เฉิงเจียวเหนียงเพียงชำเลืองมองและยื่นถ้วยน้ำชาในมือให้แก่สาวใช้ สาวใช้รับแล้วก็เปลี่ยนเป็นน้ำเปล่า ระหว่างยื่นกันไปมา นายและบ่าวทั้งสองต่างมิได้พูดคุยกัน
“อีกอย่างเรือนนางฟ้าแห่งนี้ นายหญิงมาได้ตลอดเวลา ให้คิดเสียว่าเป็นร้านของตัวเอง อย่าได้เกรงใจนะขอรับ” โต้วชียิ้มกล่าวพลันหันหน้าไปมองผู้ดูแลร้าน “จำไว้แล้วก็ไปบอกบ่าวทั้งหลายด้วย เบิกตาให้กว้าง ร้านใหม่ก็เช่นเดียวกัน”
เฉิงเจียวเหนียงเงยหน้ามองไปที่เขา
“ร้านใหม่หรือ” นางเอ่ยถาม
แววตาของโต้วชีเป็นประกาย
“ใช่ขอรับ ใต้เท่าหลิว ราชเลขานุการหลิวแห่งหอสมุดหลวงบอกกล่าวอยู่หลายครั้งว่า ที่ตั้งของร้านแห่งนี้อยู่บริเวณนอกเมืองซึ่งห่างไกลจากตัวเมืองมากเกินไป เดินทางมาทานแต่ละครั้งไม่สะดวก และบังเอิญเจอโรงเตี๊ยมที่เหมาะสมรอการเปลี่ยนมืออยู่ จึงตกลงรับไว้ เรือนนางฟ้าของเราก็จะย้ายไปตั้งที่เมืองหลวงขอรับ” เขายิ้มกล่าว “นายหญิงที่พำนักอยู่ในเมืองหลวง ก็จะเดินทางสะดวกขึ้นด้วยขอรับ”
ขณะที่เขาพูด ดูเหมือนว่าเขาจะมองไปที่ท่านชายโจวหกโดยมิได้ตั้งใจและแฝงความภาคภูมิใจไว้เล็กน้อย
บ่าวผู้ติดตามมองมาพร้อมกับกระซิบว่ารถม้าของชายหนุ่มและหญิงสาวทั้งสองเป็นของตระกูลโจวขุนนางหลางเจี้ยงจากจวนกุยเต๋อโหวแห่งเมืองหลวง
ทหารยศขั้นผู้น้อยเช่นนี้มิได้มีอำนาจอะไรมากมายในเมืองหลวง ยิ่งไปกว่านั้น หากอยู่ต่อหน้าใต้เท้าแห่งราชเลขานุการหอสมุดหลวงแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
“ไม่เป็นไร ความสุขนี้อยู่ที่ได้ลงมือทำเอง” เฉิงเจียวเหนียงกล่าวพร้อมกับนั่งหลังตรง
นี่กำลังจะลุกขึ้นยืนหรือ
การสนทนายังมิได้เริ่มใช่หรือไม่
โต้วชีและผู้ดูแลร้านต่างตกตะลึง พลันเห็นสาวใช้ช่วยพยุงเฉิงเจียวเหนียงลุกขึ้นยืนจริงๆ
“นายหญิงขอรับ” โต้วชีก็ลุกขึ้นอย่างรีบร้อนพร้อมกับชี้ไปที่กล่องไม้ที่พื้น “เห็นว่าน้อยไปหรือขอรับ”
เขากล่าวไป ยิ้มไป แล้วยกมือขึ้น
“ใครก็ได้เอามาเพิ่มอีก…” เขากล่าวพร้อมกับกวักมือเรียก
“ไม่ต้อง” เฉิงเจียวเหนียงขัดจังหวะเขา “นี่ไม่ใช่อาหารที่ข้าคิดขึ้นเอง ข้าเรียนมาเช่นกัน จะแลกเปลี่ยนเป็นเงินได้อย่างไร”
โต้วชีตะลึง
“มันไม่ใช่เรื่องของเงิน แต่เป็นสินน้ำใจ สินน้ำใจ นายหญิงได้โปรดรับสินน้ำใจนี้ไว้ด้วย” เขากล่าวด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความจริงใจ “ยิ่งไปกว่านั้น นายหญิงชั่วครู่ยังสอนวิธีการปรุงอาหารแก่พวกเราด้วยตัวของท่านเอง”
“หากพูดถึงเรื่องเมื่อชั่วครู่ ยิ่งไม่ใช่เพื่อเงิน” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
โต้วชีและผู้ดูแลร้านต่างชะงัก
“แล้วเพราะเหตุผลใดหรือขอรับ” ผู้ดูแลร้านเอ่ยถามทันที
สายตาของเฉิงเจียวเหนียงมองไปที่โต๊ะอันว่างเปล่าแล้วส่ายหัว
“อาหารที่พวกเจ้าทำ มันเลวร้ายจนเหลือทนเสียจริงๆ ” นางกล่าว
…………………………………………………….