“ได้ยินว่าคราวนี้ก็ตระกูลชูลส์ซื้อที่ดินข้างๆ อีกแล้วใช่มั้ยคะ”

“ไม่รู้ว่ากว้านซื้อไปกี่ผืนแล้วนะคะเนี่ย”

“ตระกูลชูลส์เองก็ได้ใบบุญของตระกูลลอมบาร์เดีย ถึงได้เจริญรุ่งเรืองขึ้นแบบนั้นใช่มั้ยล่ะคะ”

คำพูดนั้นตั้งใจจะหยอกเย้าให้ฟีเรนเทียอารมณ์ดี

ถึงแม้เธอจะยังไม่ได้เปิดตัวในสังคมอย่างเป็นทางการ แต่พวกหญิงสาวชนชั้นสูงต่างก็ไม่ยอมออกห่างข้างกายเธอกันเลย

“วันนี้เจ้าชายลำดับที่สองเองก็ได้รับการยอมรับจากฝ่าบาทแล้ว องค์จักรพรรดินีคงจะอารมณ์เสียไปพักใหญ่เลยนะคะ”

“จะแค่อารมณ์เสียเฉยๆ เหรอคะ คงจะไม่มีงานเลี้ยงในวังไปพักใหญ่เลยละค่ะ น่าเสียดายจัง”

“เจ้าชายลำดับที่หนึ่งจะทำยังไงนะคะ คงต้องห้ามไม่ให้ลูกชายโผล่หน้าไปลานล่าสัตว์สักระยะแล้วละค่ะเนี่ย”

“ใช่ค่ะ เกิดไปทำให้เจ้าชายลำดับที่หนึ่งอารมณ์เสียขึ้นมา…”

นี่คือสังคมชั้นสูงที่เธอเคยแต่ได้ยินคนเขาพูดถึงกันอย่างนั้นเหรอ

แม้แต่เรื่องราวของจักรพรรดินีที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ยังพูดกันได้อย่างไม่ลังเล

ดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติเสียด้วย ผู้คนรอบด้านถึงได้เริ่มพูดความเห็นของตัวเองกันทีละประโยคสองประโยค ส่วนผู้คนที่รายล้อมอยู่รอบตัวเธอต่างก็สนทนากันไม่หยุด

ตอนแรกก็คิดว่าดีอยู่หรอกที่ได้ฟังข่าวซุบซิบในแวดวงชั้นสูง แต่ฟังเยอะๆ เข้าตอนนี้เริ่มรู้สึกปวดหูแล้วน่ะสิ

เรื่องที่จักรพรรดินีกับอาสทาน่าเป็นพวกนิสัยเลวทราม เป็นเรื่องที่เธอเองก็รู้ดีอยู่แล้วด้วย

“คุณหนูฟีเรนเทีย ลอมบาร์เดีย”

เสียงใหม่เสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นตัดบทสนทนา

เขาคือผู้ดูแลประจำพระราชวัง

“เชิญคุณหนูที่ชั้นบนครับ”

ไม่ว่าจะงานเลี้ยงงานไหนก็มักจะมีกลุ่ม ‘วงใน’ ที่มักจะแยกตัวไปรวมกลุ่มกันในที่แห่งหนึ่ง เพื่อพูดคุยสนทนากันเฉพาะกลุ่มทั้งนั้น

ปกติแล้วเจ้าภาพงานเลี้ยงจะเรียกตัวคนกลุ่มหนึ่งไปยังสถานที่ที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวกว่าโถงงานเลี้ยง ชอบสนทนากันอย่างเงียบๆ สำหรับงานวันนี้ดูเหมือนจะเป็นชั้นบนสินะ

ฟีเรนเทียลุกขึ้นจากที่นั่งในขณะที่รับสายตาอิจฉาจากเหล่าคุณหนูรอบตัว

“ขอบคุณสำหรับการต้อนรับอย่างอบอุ่นในวันนี้นะคะ ครั้งหน้าหากข้าเปิดตัวในสังคมอย่างเป็นทางการ ก็ขอฝากตัวด้วยนะคะ”

“แหม ได้แน่นอนค่ะ มันแน่นอนอยู่แล้ว…”

“ก่อนจะถึงตอนนั้นก็มาร่วมงานเลี้ยงบ้างเป็นครั้งคราวสิคะ!”

“เป็นเกียรติของพวกเราต่างหากค่ะที่ได้ชมชุดเดรสงดงามของคุณหนู”

เธอหันหลังให้กับผู้คนที่แย่งกันพูดพร้อมกับรอยยิ้มแสนหวาน ก่อนจะปลีกตัวเดินตามผู้ดูแลประจำพระราชวังออกไป

ผู้ดูแลพาเธอขึ้นมายังห้องชั้นสองตามที่เธอคาดการณ์เอาไว้ ก่อนจะเอ่ยพูดอย่างนอบน้อม

“กรุณารอสักครู่นะครับ”

ฟีเรนเทียถูกทิ้งเอาไว้อยู่บนทางเดินกับอัศวินสองนายที่ยืนเฝ้าประตูอยู่

และในตอนนั้นเองก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้

เธอหันหลังกลับไปมองเพื่อดูว่าอีกฝ่ายคือใคร

อา หมอนี่โผล่มาที่นี่ทำไมเนี่ย

“เฮ้”

เจ้าของเสียงไร้มารยาทคืออาสทาน่านั่นเอง

เด็กนี่ตอนนี้อายุสิบสี่ปีแล้ว เขาโตขึ้นมากจนดูใกล้เคียงกับภาพลักษณ์อันธพาลในความทรงจำของเธอ

เด็กหนุ่มห้อยดาบสำหรับใช้ป้องกันตัวไว้ที่เอว จงใจแสดงออกให้คนอื่นรู้อย่างชัดเจนว่าเจ้าตัวเรียนฟันดาบ แต่สภาพเขากลับเหมือนพวกดีแต่ท่า ชอบทำตัวกร่างไปทั่วซอยมากกว่า

เธอแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ยืนรอให้ประตูเปิดออก

“เฮ้ ยายเลือดผสม”

คงจะกลัวคนไม่รู้ว่าเป็นแฝดวิญญาณกับเบเลซักสินะ

คำศัพท์ที่ไม่ได้ยินมาเสียนานทำให้สีหน้าของเธอบิดเบี้ยวไม่น่ามอง

“อะไรกัน เห็นว่ามารดาเจ้าเป็นคนเร่ร่อนชั้นต่ำ แต่เรียก ‘ยายเลือดผสม’ แล้วกลับหัวเสียสุดๆ ท่าทางจะเป็นเรื่องจริงสินะ ยายเลือดผสม?”

ฟีเรนเทียยังคงมองตรงไปข้างหน้า เมินเฉยหมอนี่

“ไม่รู้จักเกรงกลัวเจ้าชายบ้างเลยหรือไง!”

อาสทาน่าคว้าไหล่ของเธอ หมุนตัวเธอกลับมามองเขาอย่างแรงจนไหล่เธอเจ็บไปหมด

พวกอัศวินเองก็ผงะเมื่อเห็นพฤติกรรมรุนแรงของเจ้าชาย แต่กลับไม่มีใครเข้ามายุ่ง พวกเขาเพียงแค่จับตามองพวกเราด้วยใบหน้าตึงเครียดเท่านั้น

“ปล่อยไหล่หม่อมฉันด้วยเพคะเจ้าชาย”

“หึ”

พอเห็นเธอต่อต้านเสียงเย็นชา อาสทาน่าก็เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์น่ารังเกียจ ก่อนจะเอ่ยขึ้น

“แต่ยังไงก็รู้จักเรียนที่จะใช้คำราชาศัพท์บ้างแล้วสินะ”

ท่าทางจะพูดถึงเรื่องเมื่อสมัยตอนที่เธอเหยียบแล้วจงใจเตะหมวกของเขาไปไกลอยู่ละมั้ง

“เวลาผ่านไปนานมากแล้ว เพราะฉะนั้นก็ปล่อยวางได้แล้วกระมังเพคะ”

“ไม่ ข้าไม่ถูกใจแววตาหยิ่งยโสของเจ้า แล้วจะทำไม ยายเลือดผสม? ที่นี่คือพระราชวังแล้วเจ้าจะทำอะไรได้”

อาสทาน่าบีบไหล่เธอแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเธอยิ่งรู้สึกปวดมากขึ้น นัยน์ตาของเขากำลังสื่อแบบนั้น

เธอปัดมือของอาสทาน่าอย่างแรงจนเกิดเสียงดังเพียะ

“นี่เจ้า! เป็นแค่นังเลือดผสมชั้นต่ำกล้าดียังไง!”

คำนั้นหลุดออกมาจากปากอีกแล้วนะ

เลือดผสม

‘ใครเขาหลบก้อนอึเพราะหวาดกลัวกันล่ะ เขาหลบเพราะมันสกปรกต่างหาก’ เธอตั้งใจจะหลบเลี่ยงไม่พาตัวเองเข้าไปพัวพันกับอาสทาน่าด้วยความคิดเช่นนั้นแล้วแท้ๆ

รู้สึกได้ว่าความอดทนของเธอถึงขีดจำกัดแล้วจริงๆ

และ แควก

เพราะเด็กนี่ดึงชุดของเธออย่างแรง ทำให้ผ้าไหมที่ลอรีลทุ่มเทแรงกายช่วยเย็บตกแต่งให้ฉีกขาดออกจากชุดเดรสของเธอ

แกตายแน่!

เธอถลึงตาจ้องอาสทาน่าเขม็งก้าวถอยหลังทั้งๆ ที่ยังถูกคว้าเสื้อเอาไว้แบบนั้น

โดยที่อาสทาน่ายังคงจับชุดของเธอแน่นไม่ยอมปล่อย

“โอ๊ะ?”

อาสทาน่าตกตะลึงทั้งๆ ที่ยังมีสีหน้าโง่เขลา

สายเกินไปแล้ว เจ้าโง่

เธอกระแทกหลังของตัวเองด้วยแรงทั้งหมดที่มีเข้ากับประตูที่ถูกปิดไว้ด้วยสภาพที่อาสทาน่าดึงชุดของเธออยู่แบบนั้น

โครม!

เสียงสนั่นดังขึ้นพร้อมกับประตูที่เคยถูกปิดได้ถูกเปิดออก เธอกับอาสทาน่าต่างก็กระเด็นเข้าไปข้างในห้อง

“เทีย!”

ได้ยินเสียงตกใจของท่านพ่อดังขึ้นจากข้างหลัง

และ ครืด เสียงเก้าอี้หลายตัวเสียดสีเข้ากับพื้นห้อง

มองจากอาสทาน่าที่ใบหน้าแดงก่ำเพราะเพิ่งประเมินเหตุการณ์ตอนนี้ออกแล้ว ช่วยทำให้เธอเข้าใจถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นด้านหลังของเธอออกได้อย่างชัดเจน

เอาละ งั้นก็มีพยานเรียบร้อย

ฟีเรนเทียปัดมือของอาสทาน่าที่ยังจับไหล่เธอไว้ออก ทำให้เขากระเด็นถอยหลังไปเหมือนถูกผลัก

“นะ…นังนี่…!”

อาสทาน่าตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่างด้วยความโมโห แต่เธอชิงพูดขึ้นก่อน

“จำคำที่ปู่พูดให้ดี แค่เตะด้วยเท้าเสีย”

เธอเป็นหลานสาวนิสัยดีผู้เชื่อฟังคำสั่งของท่านปู่

เธอสาวเท้าก้าวเข้าไป เตะเข้าที่หน้าแข้งของอาสทาน่าด้วยแรงทั้งหมดที่มี

“อ๊าก!”

อาสทาน่ากำลังสับสนจนไม่ทันได้หลบเท้าของเธอ เขายกมือขึ้นกุมหน้าแข้งของตัวเอง ไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อ

“อะ เจ้าชาย!”

อัศวินนายหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าประตูตกใจรีบเข้ามาช่วยพยุง

แต่อาสทาน่ากลับสบถสาปส่ง ผลักอัศวินคนนั้นออกอย่างแรง ชักดาบออกมา

ชิ้ง

เสียงน่าขนลุกดังขึ้น พร้อมกับดาบที่ถูกชักออกมาชี้มาที่เธอ

“ข้าจะฆ่าเจ้า!”

อาสทาน่าตะโกนเสียงดัง นัยน์ตาของเขาแดงก่ำแสดงให้เห็นว่าขาดสติไปแล้วโดยสมบูรณ์

แต่หมอนี่ก็ต้องหยุดชะงักไม่อาจก้าวเข้ามาใกล้เธอได้แม้แต่ก้าวเดียว

เคร้ง

เพราะจู่ๆ ก็มีดาบอีกเล่มโผล่ขึ้นมาขวางเขาเอาไว้อย่างแม่นยำ

“หากไม่อยากโดนฟัน ก็วางดาบนั่นลงซะ”

เป็นเฟเรสนั่นเอง