บทที่ 143 ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นคืนสนอง

ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง

ปลายนิ้วของนางยังมีบาดแผลอยู่บาดแผลหนึ่ง เป็นปลายนิ้วที่ถูกสายพิณที่ขาดทำให้บาดเจ็บ

จู๋กุ้ยเหรินตื่นตระหนกเล็กน้อย นางถลึงตาใส่หลินชิงเวย “ท่านคิดจะทำอันใด?”

“เจ้าว่าข้าคิดจะทำอันใดเล่า?” หลินชิงเวยยกยิ้มมุมปาก ทางหนึ่งมองนางด้วยหางตา อีกทางหนึ่งส่งยิ้มชั่วร้ายให้กับนาง “ข้ารู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง เมื่อเจ้าควบคุมให้หนอนกลืนกินวิญญาณชอนไชเข้าไปในร่างกายของตนเองจะให้ผลลัพธ์อย่างไร นี่เป็นหนอนกลืนกินวิญญาณที่เติบโตแล้วตัวหนึ่ง คงจะไม่เสียเวลาอยู่ในร่างกายของเจ้านานนักก็ตรงเข้าไปชอนไชเข้าสู่สมองของเจ้ากระมัง”

จู๋กุ้ยเหรินได้ยินเช่นนั้นสีหน้าเผือดขาวทันที ในฐานะที่นางเป็นแม่มดหนอนกู่ อีกทั้งหนอนกลืนกินวิญญาณยังมีพลังจิตของนางอยู่ด้วย หากมันชอนไชเข้าไปในร่างกายของนางผลลัพธ์นั้นร้ายแรงจนไม่อาจคาดเดาได้

จู๋กุ้ยเหรินดิ้นรนต่อสู้อย่างหนัก จนใจที่หลินชิงเวยดูแล้วเหมือนร่างเล็กแบบบาง ทว่าเรี่ยวแรงที่มีกลับมหาศาลจนน่าตกใจส่งผลให้นางดิ้นอย่างไรก็ดิ้นไม่หลุด

รอยยิ้มของหลินชิงเวยกดลึกขึ้นอีก นางหันไปเลิกคิ้วให้กับหนอนกลืนกินวิญญาณตัวนั้น “เจ้าดูสิ มันดูเหมือนจะชอบร่างกายของผู้เป็นนายมากทีเดียว กำลังเลื้อยมาตามกลิ่นหอมที่มันได้กลิ่น”

“หลินเจาอี๋!” ท่าทีไม่สะทกสะท้านต่อคำปรามาสของจู๋กุ้ยเหรินพลันอันตรธานไปสิ้น กลายเป็นคร่ำครวญขึ้นมา “ข้าไม่มีความแค้นอันใดต่อเจ้า เจ้ากล้าทำกับข้าเช่นนี้!”

หลินชิงเวยกล่าวอย่างเห็นขัน “จู๋กุ้ยเหริน คำพูดนี้มีเพียงเจ้าที่ยังกล้าเอ่ยออกมา เรื่องบางเรื่องหากทำไปแล้วก็คือทำไปแล้ว หลังจากที่เจ้าทำไปแล้วเพิ่งจะมาบอกกับผู้อื่นว่าที่จริงเจ้าไม่อยากทำ ยังรู้จักละอายหรือไม่? เจ้ามิใช่เห็นข้า เห็นซินหรูเป็นเพียงเครื่องมือที่เจ้าใช้ประโยชน์ได้เพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ของเจ้าหรอกหรือ? ยามนี้ซินหรูยังนอนอยู่บนเตียง เจ้าว่าความแค้นของนางข้าควรจะชำระอย่างไรดี?”

ปลายนิ้วของจู๋กุ้ยเหรินคันยุบยิบ นางเบิกตาโตอย่างเกรงกลัวว่าหนอนกลืนกลินวิญญาณจะชอนไชเข้ามาในร่างกายของนาง นางพูดอย่างคลุ้มคลั่งว่า “คิดไม่ถึงว่าดูเจ้าอายุยังน้อย ทว่ากับมีวิธีการโหดเหี้ยมทารุณเช่นนี้! ข้าควรจะสังหารเจ้าตั้งแต่แรก เพื่อตัดไฟตั้งแต่ต้นลม!”

หลินชิงเวยยิ้มอย่างเย็นชา “ไม่เคยมีใครบอกเจ้าหรือว่าอย่าได้ใช้อายุมาวัดสติปัญญาของคนๆ หนึ่ง” พูดแล้วก็ผลักมือของนางแล้วปล่อย ส่วนตัวเองกลับไปยืนอยู่ข้างกายเซียวเยี่ยน

หลินชิงเวยพูดกับเซียวเยี่ยน “พลังจิตของตนเองควบคุมหนอนกลืนกินวิญญาณมากินตัวเอง ท่านว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร นางจะเสียสติหรือไม่?”

เซียวเยี่ยนก้มหน้าลงมองนาง เห็นนางมีท่าทีสาสมใจจึงตอบไม่ได้ไปชั่วขณะ สตรีผู้นี้ช่างเป็นคนโหดเหี้ยมจริงๆ

หลินชิงเวยตวัดผมหน้าม้าบนหน้าผากของตนเองอย่างเป็นธรรมชาติ ภายใต้ผมหน้าม้าก็คือดวงตาที่ทอประกายประดุจอัญมณีคู่หนึ่ง นางพูดขึ้นว่า “เสด็จอา แม้ท่านจะคิดว่าข้างดงามก็ไม่ต้องมองข้าเช่นนี้กระมัง?”

“เปิ่นหวางไม่เคยพูดว่าเจ้างดงามมาก่อน”

หลินชิงเวยประหลาดใจอย่างที่สุด “ข้าไม่งามหรือ? ข้ารู้สึกว่าตัวข้าเองงดงามนี่นา”

ท่านประโยคหนึ่งข้าประโยคหนึ่ง หนอนกลืนกินวิญญาณที่ชอนไชเข้าไปในร่างกายของจู๋กุ้ยเหรินก็เกิดปฏิกิริยาอย่างรวดเร็ว จู๋กุ้ยเหรินยกมือขึ้นประคองศีรษะของตนเองด้วยท่าทางเจ็บปวดแสนสาหัส นางปวดศีรษะราวกับศีรษะกำลังจะแตกร้าว เหมือนมีมือข้างหนึ่งกำลังเปิดกะโหลกศีรษะของนางทั้งๆ ที่นางยังมีชีวิตอยู่ จู๋กุ้ยเหรินกัดฟันร้องออกมา จากนั้นเดินล้มลุกคลุกคลานชนสิ่งของภายในห้องในภาวะใกล้จะคลุ้มคลั่ง นางพลิกคว่ำเครื่องเรือนภายในห้องทั้งหมด กระทั่งพิณที่นางรักที่สุดก็ถูกนางยกขึ้นมาทุ่มจนหักเป็นสองท่อน

เลือดสดๆ ไหลออกจากโพรงจมูกของจู๋กุ้ยเหริน นางทุบศีรษะของตนเองไปพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เสียงดังเหลือเกิน! เสียงดังเหลือเกิน! ข้าให้พวกเจ้าไปสังหารฮ่องเต้สุนัขและเซ่อเจิ้งอ๋อง! ยังไม่รีบไปอีก! อ๊า…” ยามนี้เหมือนนางได้สติกลับมาอีกครั้ง ดวงตาสีเลือดทั้งคู่ของนางจ้องเซียวเยี่ยนและหลินชิงเวยเขม็ง นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ข้าไม่มีวันปล่อยพวกเจ้า ต่อให้ข้าตายไปก็ไม่มีวันปล่อยพวกเจ้า หากข้าตายเซี่ยนอ๋องก็ต้องตายเช่นกัน ฮ่าๆๆ…อวิ๋นหนานของข้าจะกำราบต้าเซี่ย ผู้คนล้มตายทุกหย่อมหญ้า ดวงวิญญาณกลายเป็นเถ้าธุลี…” นางยังคิดจะก้าวขึ้นมาข้างหน้าอีก นางเคียดแค้นชิงชังตนเองเหลือเกินที่มิอาจฉีกทึ้งคนทั้งสองที่คอยดูชมอยู่ข้างๆ ให้แหลกคามือ แต่นางเจ็บปวดทุกข์ทรมานเสียจนกระตุกไปทั้งร่าง กระทั่งการเคลื่อนไหวก็ยังทำได้อย่างยากลำบาก

ไม่ว่าจู๋กุ้ยเหรินจะพ่นวาจาอาฆาตแค้นอย่างไร ทว่าสำหรับคนที่กำลังจะตายจึงไม่จำเป็นต้องไปถือสาหาความกับนางมากนัก ดังนั้นเซียวเยี่ยนและหลินชิงเวยเพียงมองนางนิ่งๆ ทำเหมือนไม่ได้ยิน ในเรื่องนี้คนทั้งสองกลับเข้ากันได้อย่างดีเยี่ยม

จู๋กุ้ยเหรินร้องไปร้องไป ราวกับตนเองก็ยังรู้สึกว่าไร้ความหมายเสียงจึงค่อยๆ เบาลงๆ กระทั่งสุดท้ายเสียงนั้นก็เงียบหายไป ดวงตากลมโตคู่นั้นยังคงเบิกกว้าง อย่างไรก็ไม่ยอมหลับตา มันเต็มไปด้วยความอาฆาต เลือดที่ไหลออกจากทวารทั้งเจ็ดเริ่มจับตัวเป็นก้อน สภาพการตายของนางน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก

พวกเขารออยู่นานมาก กระทั่งหนอนกลืนกินวิญญาณตัวสุดท้ายเลื้อยออกมาจากโพรงจมูกของจู๋กุ้ยเหริน เมื่อปราศจากการควบคุมของผู้เป็นนายราวกับมันก็คงจะมีชีวิตต่อไปได้อีกไม่นาน เพียงแต่หลินชิงเวยก้าวเข้าไปเหยียบมันให้ตายเสียก่อน

เมื่อเดินออกไปจากห้องหลินชิงเวยถามขึ้นว่า “ศพสองศพนี้จะจัดการอย่างไร? หากใช้ไฟเผาย่อมต้องเป็นที่สนใจของผู้คน หากฝังย่อมมีสภาพเหมือนศพของจ้าวเฟยและปี้หลิง ดูเหมือนไม่ค่อยเหมาะสมนัก”

เซียวเยี่ยนครุ่นคิด เขามองหน้านางและเอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นเจ้าคิดจะทำอย่างไร”

หลินชิงเวยพูดขึ้นว่า “ไม่สู้ให้ฝูงงูของข้าได้กินอิ่มอีกสักมื้อเป็นไร”

ฝูงงูปรากฏตัวขึ้นในทิงจู๋เซวียน ข้างในเต็มไปด้วยเสียงกลืนกินของงูที่ดังไปทั่ว กินนกพิราบ กินหนอนกลืนกินวิญญาณอะไรก็ช่างเถิด ยามนี้มันถึงกับกำลังกินเนื้อมนุษย์ ภาพเหตุการณ์นี้มันคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือดเกินไปไม่ไปดูยังจะเป็นการดีที่สุด

คนทั้งสองไม่ได้หันกลับไปด้วยซ้ำ

จู๋กุ้ยเหรินใช้ชีวิตอยู่ในวังอย่างเรียบง่ายและไม่ได้โอ้อวดตน ในยามปกติผู้คนในวังแทบจะไม่เคยพบเห็นเงาร่างของนาง ทิงจู๋เซวียนแห่งนี้ยังคงต้องเก็บรักษาเอาไว้ หากมีความจำเป็นยังต้องหาสตรีที่มีรูปร่างหน้าตาใกล้เคียงกับจู๋กุ้ยเหรินมาปลอมกายเพื่อสวมรอย

“เสด็จอา ข้าเป็นคนสังหารหลี่เหลียงเอง ท่านคิดว่าข้าร้ายกาจมากใช่หรือไม่?” ระหว่างทางกลับไปหลินชิงเวยถามขึ้นมาอย่างกะทันหันขณะหรี่ตามองไปยังทางข้างหน้า

ท่าทีของนางเบิกบานใจยิ่ง

เซียวเยี่ยนพูดเรียบๆ “เขาสมควรตายนานแล้ว”

หลินชิงเวยหัวเราะขึ้นมา รอยยิ้มอ่อนหวานนั้นพลันแปรเปลี่ยนเป็นความไร้เดียงสาน่าเอ็นดู นางพูดขึ้นว่า “เสด็จอาดีเหลือเกิน ยังมีอีกเมื่อสักครู่จู๋กุ้ยเหรินพูดว่า นายตายแล้วเซี่ยนอ๋องก็ต้องตายด้วย ท่านเชื่อหรือไม่?”

“ไม่เชื่อ”

หลินชิงเวยพูดสิ่งที่ทำให้คนตกตะลึง “แต่ข้าเชื่อ” สีหน้าของเซียวเยี่ยนชะงักงัน นางพูดต่ออีกว่า “หากเซี่ยนอ๋องตายลงอย่างกะทันหัน ฝ่าบาทจะต้องยินดีมากเป็นแน่”

ชั่วอึดใจหนึ่งเซียวเยี่ยนตอบกลับมาเสียงต่ำ “เซี่ยนอ๋องยังตายไม่ได้ชั่วคราว”

แววตาของหลินชิงเวยปรากฏให้เห็นความเอาจริงเอาจัง แต่ยังคงพูดจาหยอกเย้า “ดูท่าแล้วคงหมดหวัง เฮ้อ ที่จริงข้าปรารถนาอย่างยิ่งให้คนผู้นั้นลาจากโลกไปนี้ตลอดกาล แต่ยามนี้ดูแล้วเขาดูเหมือนจะยังมีประโยชน์ต่อเซ่อเจิ้งอ๋องอยู่บ้าง”

ส่วนเรื่องที่จะมีประโยชน์อันใดนั้นเซียวเยี่ยนไม่พูด หลินชิงเวยก็กระจ่างแจ้งดีโดยไม่จำเป็นต้องกล่าวออกมา

หาไม่แล้วด้วยอุปนิสัยของเซียวเยี่ยนคงจัดการจัดการเซียวอี้นานแล้ว นี่กลับปล่อยให้เขาใช้ชีวิตอยู่อย่างยโสโอหังเช่นนี้มาเป็นเวลาหลายปี

วันหน้าเมื่อเซียวจิ่นสามารถบริหารราชการแผ่นดินด้วยตัวเอง เซียวเยี่ยนจะคืนอำนาจทั้งหมดให้กับเขา หาไม่แล้วเซียวเยี่ยนประคับประคองช่วยเหลือเซียวจิ่นมาถึงบัดนี้ ปกป้องคุ้มครองเขาจนถึงบัดนี้เพื่ออะไร? หากเซี่ยนอ๋องมาตายในเวลานี้ เซ่อเจิ้งอ๋องเป็นใหญ่เพียงผู้เดียวในราชสำนักย่อมไม่ส่งผลดีต่อเซ่อเจิ้งอ๋อง ฮ่องเต้และเซ่อเจิ้งอ๋องไม่มีศัตรูคนเดียวกัน ยิ่งทำให้ฮ่องเต้เกิดความระแวงต่อเซ่อเจิ้งอ๋องทำให้เกิดช่องว่างระหว่างคนทั้งสองมากขึ้น