กัวอวี่ชิงพูดขึ้น “น้องมู่ ก่อนหน้านี้เหตุที่เจ้าฝึกฝนกำลังภายในไม่ได้ ไม่ใช่เพราะลมปราณของเจ้ามีปัญหา และก็ไม่ใช่เพราะปัญหาของวิชาด้วยเช่นกัน แต่ปัญหาอยู่ที่คุณสมบัติกายของเจ้าต่างหาก”
“คุณสมบัติกายของข้า?”
“ใช่แล้ว ร่างกายของเจ้าแข็งแกร่งเกินไป ความแข็งแกร่งของร่างกาย ความสมบูรณ์ของลมปราณ เรียกได้ว่าแข็งแกร่งไร้เทียมทาน ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน จุดนี้เจ้าเองก็รู้ดี” กัวอวี่ชิงมองหลี่มู่ สายตายังคงเต็มไปด้วยความตกใจและสงสัยใคร่รู้
หลี่มู่พยักหน้า
กัวอวี่ชิงพูดต่อ “หากใช้คำอธิบายที่ค่อนข้างเกินจริงก็คือ พลังในฟ้าดินทั่วไปถึงแม้จะทำให้ร่างกายของเจ้าแข็งแกร่งได้ แต่ไม่อาจกลายเป็นกำลังภายในและเพิ่มพลังให้กับเจ้าได้ เพราะพลังกายเนื้อแต่เดิมของเจ้าก็ล้ำหน้ากำลังภายในที่มาจากพลังวิญญาณในฟ้าดินทั่วไปมากนัก พูดง่ายๆ ก็คือไม่คู่ควรกับเจ้านั่นเอง”
หลี่มู่ได้ยินแล้วตัวลอย
คำอธิบายนี้ช่างชวนให้คนจิตใจเบิกบานยิ่งนัก
แต่ว่าหลี่มู่ก็ยอมรับ เนื้อความที่กัวอวี่ชิงพูดมาลึกซึ้งแต่เข้าใจได้ง่าย อีกทั้งน่าเชื่อถือมาก
“มีวิธีแก้หรือไม่?” เขาถาม
กัวอวี่ชิงหัวเราะเสียงดัง กล่าวว่า “จากพื้นฐานของการวินิจฉัยก่อนหน้านี้ มีอยู่สองวิธีด้วยกัน หนึ่งคือลองลดคุณสมบัติกายและพลังของเจ้าลง ให้ร่างของเจ้าเข้ากับพลังเดิมในฟ้าดิน แต่เห็นได้ชัดว่าได้ไม่คุ้มเสีย อีกวิธีหนึ่งคือจะต้องหาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ หาพลังวิญญาณที่บริสุทธิ์จริงๆ และสามารถเข้ากับเจ้าได้ หากฝึกฝนในที่เช่นนี้จะช่วยให้เจ้าเกิดสัมผัสลมปราณ ควบคุมกำลังภายในได้…เทียบกันแล้ววิธีนี้พอจะเป็นไปได้อยู่”
หลี่มู่พยักหน้า
นี่ก็เป็นลู่ทางหนึ่งได้จริงๆ
“ข้าเห็นจอมยุทธ์ขั้นรวมจิตบางคนมีหมอกแสงสีต่างกันเกิดขึ้นยามสำแดงเคล็ดวิชา มีพลังธาตุลมไฟหรือสายฟ้าต่างๆ ผสมอยู่ด้วย นี่เป็นเพราะเหตุใด? กำลังภายในก็มีแบ่งห้าธาตุอย่างนั้นรึ?”
หลี่มู่ถามขึ้นอีก
“สาเหตุหลักอยู่ที่ธาตุของวิชาที่ฝึก บนแผ่นดินใหญ่เสินโจว จอมยุทธ์มีเป็นพันเป็นหมื่น เคล็ดวิชาก็มีมากมายสารพัด กลยุทธ์การต่อสู้และวิชากำลังภายในมากมายล้วนมีเงื่อนไขการฝึกฝนเฉพาะ มีบางวิชาที่สะสมพลังแห่งไฟเป็นหลัก แต่เมื่อฝึกฝนอยู่ในภูเขาไฟหรือหินหนืดกลับได้ผลไม่คุ้มค่า และก็มีบางวิชาที่ฝึกฝนพลังเหมันต์ ต้องอยู่บนยอดภูเขาหิมะสูง”
กัวอวี่ชิงพูดอย่างมีลำดับขั้นตอน
“วิชาที่ต่างกันล้วนมีเงื่อนไขด้านคุณสมบัติกายและพรสวรรค์ต่อจอมยุทธ์?” หลี่มู่ถามอีกครั้ง
ในนิยายกำลังภายในต่างๆ บนโลกก็เอ่ยถึงทฤษฎีธาตุของร่างกาย บางคนเกิดมาเป็นธาตุเหมันต์ ดังนั้นฝึกฝนวิชาพวกน้ำหรือน้ำแข็งก็เสมือนปลาได้น้ำ และก็มีบางคนเกิดมาเป็นธาตุประเภทร่างไฟศักดิ์สิทธิ์ ก็จะสามารถฝึกฝนวิชาเปลวไฟได้สำเร็จอย่างรวดเร็ว
แต่ว่ากัวอวี่ชิงส่ายหน้า ตอบว่า “จอมยุทธ์ถือกำเนิดมาไม่มีอะไรแตกต่างกัน จึงสามารถเลือกวิชาที่ตนสนใจได้ โดยปกติแล้วในด้านนี้ไม่มีเงื่อนไขอะไรเป็นพิเศษ เงื่อนไขเพียงข้อเดียวคือเลือกวิชาธาตุใดแล้วก็จะต้องตั้งมั่นไม่เปลี่ยนแปลง ต่อให้เปลี่ยนวิชาก็ไม่อาจเลือกวิชาที่ข่มธาตุกำลังภายในหลัก มิฉะนั้นจะธาตุไฟเข้าแทรกได้ง่ายดายยิ่ง”
หลี่มู่คล้ายครุ่นคิดบางอย่าง
เห็นทีบนโลกใบนี้ การเลือกเคล็ดวิชาฝึกฝนจะไม่มีข้อจำกัดคุณสมบัติกายอะไรพวกนี้
ดูจากการถามตอบ เห็นได้ชัดว่ากัวอวี่ชิงเป็นผู้รอบรู้วิชาต่อสู้ ทฤษฎีการยุทธ์และความรู้ต่างๆ ก็อธิบายออกมาได้ทันที ไม่มีอะไรที่เขาไม่รู้ สามารถไขข้อข้องใจของหลี่มู่ได้ทุกข้อ
ปัญหายากมากมายที่รบกวนอยู่ในใจของเขามานาน คำพูดของกัวอวี่ชิงก็ทำให้เข้าใจกระจ่างแจ้ง ความหมายลึกซึ้งแต่ใช้คำพูดเรียบง่าย ฟังคำอธิบายของอีกฝ่ายแล้วล้วนทำให้หลี่มู่รู้สึกว่าแตกฉาน กระจ่างแจ้งในทันที
หลี่มู่ดีใจเป็นที่สุด
เขาหยุดถามไม่ได้ จึงถามคำถามแล้วคำถามเล่าไม่หยุด
กัวอวี่ชิงก็ไม่หวงวิชา ตอบทุกอย่าง ถ่ายทอดความรู้ไขข้อข้องใจให้หลี่มู่
หนึ่งคนถามหนึ่งคนตอบดำเนินไปเช่นนี้หลายชั่วยาม
กัวอวี่ชิงถามขึ้นว่า “น้องมู่ เจ้ามาจากสำนักใดกันแน่? อาจารย์ของเจ้าถ่ายทอดพลังแข็งแกร่งให้ แต่ทฤษฎีพื้นฐานของวิถียุทธ์ทั้งหลายกลับไม่ถ่ายทอดให้เจ้า?”
จากคำถามพวกนี้ เขามองออกแล้วว่าหลี่มู่เป็นราวกับกระดาษขาวในด้านทฤษฎีวิถียุทธ์ หลายๆ ด้านล้วนว่างเปล่า ความคิดและแนวคิดบางอย่างต่างกับระบบยุทธ์หลักของแผ่นดินใหญ่เสินโจวในวันนี้อย่างสิ้นเชิง
หากเทียบกับพลังกายและพลังฟื้นฟูที่แข็งแกร่งทรงพลัง ในด้านที่เป็นพื้นฐานที่สุดหลี่มู่กลับมีข้อบกพร่องมหาศาล
หลี่มู่คิดๆ ดูก็ไม่ได้ปกปิด “ข้าไม่ปกปิดพี่กัว ที่จริงข้าไม่มีสำนักอะไร ศิษย์พี่ต้วนสุ่ยหลิวที่ใช้ดาบสยบทั่วทุกทิศในอำเภอคนนั้นที่แท้แล้วก็แค่ร่างแปลงของข้าเท่านั้น…”
เขาเล่าเรื่องที่ตนปรับปรุงวิชาหกดาบวายุเมฆา จากนั้นใช้ ‘ยอดวิชาเปลี่ยนร่างย้ายกล้ามเนื้อแปรกระดูก’ เปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ ขั้นตอนการสร้างร่างแปลงอย่างศิษย์พี่ใหญ่ต้วนสุ่ยหลิวออกมา และเหตุผลยามประมือกับ ‘ดาบกระชากวิญญาณ’ อู่เปียวแล้วแปลงเป็นคนแก่ เล่าทุกอย่างออกมาจนหมด
หลังจากฟังแล้วกัวอวี่ชิงก็จุปากอย่างอัศจรรย์ใจ ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ฮ่าๆ น้องมู่ความคิดช่างละเอียดอ่อนไม่เหมือนใคร เช่นนั้นแล้วเพลงดาบที่ข่มขวัญไปทั่วยุทธจักรพายัพก็เป็นเพลงดาบที่เจ้าคิดขึ้นมาเอง?”
หลี่มู่ฝืนยิ้มพลางส่ายหน้า “ไม่กล้าพูดว่าข่มขวัญไปทั่วยุทธจักรพายัพหรอก ข้าได้อ่านคัมภีร์เพลงดาบของอู่เปียว หกดาบเมฆาวายุยังห่างชั้นอีกไกลนัก”
“น้องมู่เจ้าอย่าได้ดูถูกตัวเองจนเกินไป ความคิดของเจ้าถูกต้องแล้ว” กัวอวี่ชิงเอ่ย “เส้นทางลัดที่ง่ายที่สุด เจ้าไร้อาจารย์ไร้สำนัก แต่กลับเปลี่ยนสิ่งที่ยุ่งยากให้เป็นง่ายได้ และสร้างเพลงดาบของตัวเองขึ้นมา นับเป็นวิถีทางของอัจฉริยะแล้ว ในวันข้างหน้า รอให้เจ้ายืนอยู่บนจุดสูงสุด ได้เห็นยอดเขาสูงแต่ละลูกๆ ในโลกวิถียุทธ์ของแผ่นดินใหญ่เสินโจว หลังจากที่เข้าใจอย่างถ่องแท้ดีแล้ว หกดาบเมฆาวายุจะต้องสะเทือนไปทั่วหล้าเหมือนอย่างที่เจ้าหวังแน่นอน”
ทั้งสองคุยกันอย่างออกรส หลี่มู่ใช้ฟืนต่างดาบ ออกท่าวิชาอยู่ตรงนั้น และแสดงแนวคิดหกดาบเมฆาวายุของตน…โดยเฉพาะเคล็ดวิชาลับของ ‘ชักดาบสะบั้น’ และ ‘ตัดอสุนี’ ออกมาอย่างหมดเปลือก
ในใจกัวอวี่ชิงตื่นตะลึงยิ่งนัก
แต่เดิมเขารู้สึกถูกชะตากับหลี่มู่ คุยกันครั้งนี้ยิ่งประเมินหลี่มู่สูงขึ้นไปอีกขั้น ในตัวของเด็กหนุ่มที่มั่นใจในตัวเองไม่เหมือนใครคนนี้ เขาเห็นความใจกล้าและความเปิดเผยตรงไปตรงมาอย่างบุรุษแห่งที่ราบทุ่งหญ้า
“เป็นเพลงดาบที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก…” กัวอวี่ชิงยืนขึ้นเอ่ยชมเชย ในขณะเดียวกันก็เสนอข้อปรับปรุงบางอย่างโดยไม่ตระหนี่เลยแม้แต่น้อย
ความชำนาญด้านการต่อสู้และประสบการณ์ของเขามากมายนัก ทุกครั้งที่เอ่ยปากก็ล้วนชี้ถูกจุดสำคัญ ชี้ให้เห็นถึงจุดที่บกพร่องที่สุดของกระบวนท่าหกดาบเมฆาวายุ ทำให้หลี่มู่ได้ประโยชน์มหาศาล
ความรู้สึกเช่นนี้ สำหรับหลี่มู่แล้วราวกับคนเร่ร่อนที่เดินคลำทางอยู่ในความมืดมิดเวิ้งว้าง จู่ๆ ก็มีคนเปิดประตูออกต่อหน้าเขา แล้วแสงอาทิตย์พลันส่องแสงลงมา
ทั้งสองคนคุยกัน ยิ่งคุยก็ยิ่งถูกชะตา มีความรู้สึกเหมือนเจอกันช้าเกินไป
“วิชาที่ข้าฝึกมีชื่อว่า ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ เป็นวิชาธนูสูงสุดวิชาหนึ่ง เริ่มฝึกขั้นแรกเริ่มสามารถใช้ธนูแข็งแกร่งทุกคันในโลกนี้ได้ ในระยะสามร้อยจั้ง ยิงร้อยครั้งเข้าเป้าร้อยครั้ง หากก้าวไปอีกขั้นหนึ่งไม่ต้องมีธนู กลีบดอกไม้ใบหญ้า ก้อนหินพันธุ์พืช ทุกสรรพสิ่งในโลกสามารถใช้ต่างธนูได้”
กัวอวี่ชิงพูดถึงวิชาฝึกฝนของตัวเอง แล้วเริ่มทำการสาธิต
นิ้วเขางอเล็กน้อย เรียกต้นหญ้ามาไว้ในฝ่ามือ ในเสี้ยวขณะที่นิ้วมือเหยียดตรง เสียงราวสายธนูสั่นไหวก็ดังขึ้น ต้นหญ้าแห้งเหยียดตรงในทันทีก่อนจะพุ่งออกไป ฝังตัวหายเข้าไปในกำแพงหินไกลไปกว่าแปดจั้งราวกับสายฟ้า
หลี่มู่ตะลึงจนพูดไม่ออก
เสี้ยวขณะที่ต้นหญ้าพุ่งออกไป เขาอดใจสั่นสะท้านไม่ได้
ต้นหญ้าอ่อนนุ่มนั้น ในเสี้ยวเวลานั้นเสมือนกลายเป็นอาวุธสังหารมนุษย์ที่น่ากลัวที่สุดในโลกนี้ หลี่มู่มีลางสังหรณ์อย่างหนึ่ง หากต้นหญ้าต้นนี้ยิงมายังตัวเองแล้วละก็ เขาไม่มีทางหลบหลีกหรือต้านทานได้เลย จะต้องโดนยิงแน่นอน
“หากก้าวไปได้อีกขั้น ก็จะสามารถทำได้ถึงขั้นลูกธนูในมือห้าดอกแปรเปลี่ยนลูกธนูในใจหนึ่งดอก นั่นคือ ‘ศรดั่งจิต’ จิตใจเพียงขยับ ลูกศรจะพุ่งออกจากเกาทัณฑ์ ว่ากันว่าหากไปถึงขั้นสูงสุด สามารถยิงจันทราทั้งสอง ดับดวงดารา เทพมารถอยหนี เซียนปีศาจสยบ” กัวอวี่ชิงกล่าวด้วยใบหน้าภาคภูมิใจ “เสียดาย ด้วยพรสวรรค์ของข้าทำได้แค่ถึงขั้นฝืนยิงศรดั่งจิตได้เท่านั้น แต่ยังไม่ถึงขั้นพลังดั่งเช่นในตำนานที่ว่า”
พูดแล้วเขาก็รวบรวมจิต
หลี่มู่ตาเบิกโพลง พลังดวงตาโคจรจนถึงขีดสูงสุด
เขาเห็นได้รางๆ ว่าเบื้องหน้ากัวอวี่ชิงมีลูกธนูที่เกือบจะโปร่งแสงอยู่ดอกหนึ่ง ไม่รู้ว่าก่อตัวเป็นรูปร่างตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ว่าไม่สมบูรณ์ ค่อนข้างรางเลือน พลังคุกคามที่น่ากลัวจนถึงขั้นสุดแผ่ซ่านออกมาจากกายของกัวอวี่ชิง
“พลังนี่มัน…”
หลี่มู่ตกตะลึง
เขารู้สึกว่าเผชิญหน้ากับกัวอวี่ชิงในสภาวะเช่นนี้ ตนเองเล็กจ้อยราวกับมดเผชิญหน้ามังกร ไม่มีความหวังที่จะต่อสู้ใดๆ ทั้งสิ้น คิดแค่อยากจะก้มหัวศิโรราบเท่านั้น
ที่แท้ นี่ต่างหากถึงจะเป็นพลังที่แท้จริงของพี่กัวอย่างนั้นหรือ?
เกือบจะเท่ากับ…พลังของเทพเชียวนะ
หลี่มู่รู้สึกว่าความคิดบางอย่างของตนโดนกลบทับและโจมตีเข้าแล้ว
แต่เดิมเขาคิดว่าบนดาววิถียุทธ์ระดับล่างที่ซินแสเฒ่าพูดถึงไม่มีทางมีพลังระดับขั้นนี้ปรากฏได้ แต่ว่า…
หลี่มู่ไม่สงสัยแม้แต่น้อย หาก ‘ศรดั่งจิต’ ดอกนี้ของกัวอวี่ชิงยิงออกไป มันมากพอที่จะทำลายถ้ำและแม่น้ำนี้ได้ในชั่วพริบตา และมากพอที่จะยิงไปถึงภูเขาที่เมืองขาวพิสุทธิ์ตั้งอยู่ด้วยอย่างแน่นอน
“ธนูดอกนี้ยิงได้อย่างเดียวเท่านั้น ไม่อาจเรียกคืนมาได้”
กัวอวี่ชิงถอนหายใจ ก่อนสลาย ‘ศรดั่งจิต’ ไปอย่างช้าๆ
เขายอมรับ ตนเองยังฝึกฝน ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ ได้ไม่ถึงขั้นสูงสุด ไม่อาจบังคับได้ดั่งใจ หากยิงออกไป เขาไม่อาจควบคุมพลังทำลายล้างของมันได้เช่นกัน ดังนั้นจึงไม่อาจสาธิตขั้นต่อไปได้
“แค่นี้ก็ทำให้ข้าตื่นตะลึงแล้ว อีกทั้งข้ายังได้สัมผัสถึงหลักการลึกล้ำของพลังระดับสูงบางอย่างด้วย ขอบคุณพี่กัวมาก” หลี่มู่ทำความเคารพอย่างนอบน้อม
เขาย่อมรู้ว่ากัวอวี่ชิงสาธิตให้เขาโดยสิ้นเปลืองกำลังภายในและแรงใจเช่นนี้ ไม่ใช่เพื่อสาธิตอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังอาศัยโอกาสสาธิตให้เขาได้สัมผัสถึงหลักการของพลังชนิดนี้ และสัมผัสกลิ่นอายพลังจากผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง จะบรรลุได้มากน้อยเท่าใดก็ขึ้นอยู่กับความสามารถในการเรียนรู้ของตัวเองแล้ว
“เจ้าสามารถบรรลุได้เช่นนั้นก็ดี” กัวอวี่ชิงพยักหน้าอย่างพอใจ จากนั้นกล่าวด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “ต่อไปข้าจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาควบคุมจิตและวิชาฝึกของ ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ ให้กับเจ้า เจ้าฟังให้ดีล่ะ”
“เอ๋?”
หลี่มู่อึ้งตะลึง
ถ่ายทอดให้กับข้า?
วิชาเช่นนี้ถึงแม้จะเทียบกับ ‘วิชาก่อนกำเนิด’ และ ‘หมัดยุทธ์แท้’ ที่ซินแสเฒ่าถ่ายทอดให้ไม่ได้ แต่ก็คาดการณ์ได้ว่าเป็นเคล็ดวิชาระดับตำนานในโลกวิถียุทธ์ คนไม่รู้เท่าไหร่ต่างจับจ้องตาเป็นมัน ตอนนี้จะถ่ายทอดให้ข้าง่ายๆ เช่นนี้หรือ?
นี่จะ…ประเมินกันสูงเกินไปหน่อยหรือเปล่า?
ในโลกมีเรื่องดีๆ ขนาดนี้อยู่ด้วย?
“พี่กัว นี่…เคล็ดวิชาเช่นนี้ น้องชาย ข้า…” หลี่มู่ค่อนข้างยากจะเชื่อได้
จริงๆ นะ เขาหน้าด้านขนาดนี้ยังค่อนข้างเกรงใจเลย
“ฮ่าๆ น้องมู่ เจ้าและข้าต่างเป็นบุรุษลูกผู้ชาย ไม่ต้องกระมิดกระเมี้ยนเหมือนเด็กๆ อ้ำๆ อึ้งๆ จะเหมือนพวกไม่ได้เรื่องไปทำไม…สำหรับข้า ข้ารู้ว่าเจ้าเคยมุมานะบากบั่นฝึกฝนวิชาธนู และ ‘ธนูรั้งจันทรา’ คันนั้นของข้าก็จับพลัดจับผลูไปอยู่ในมือของเจ้า นี่เป็นลิขิตสวรรค์ สมควรที่เจ้าจะได้วิชา ‘สัมผัสจิตดุจธนู’ ไป”
กัวอวี่ชิงหัวเราะขึ้นมา
เสียงหัวเราะที่เปิดเผยและองอาจ มีความสบายๆ เหมือนมองเรื่องราวทางโลกทะลุปรุโปร่ง
เรื่องราวในอดีตบางอย่าง ตอนนี้ปล่อยวางลงได้แล้ว
อย่างไรเสียก็ต้องทิ้งมรดกสืบทอดไว้ในโลก
เขาพูดอย่างเงียบงันอยู่ในใจ
……………………………………………………