ตอนที่ 81-2 ปลอดภัยจากอันตราย ช่วยคน

ชายาเคียงหทัย

“คุณชาย!” เมื่อเห็นเยี่ยหลีลงยืนบนพื้นได้อย่างปลอดภัย องครักษ์ลับสามถึงได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

 

 

เยี่ยหลีปัดเสื้อผ้าเล็กน้อย “ไปกันเถิด ตรงนี้น่าจะเป็นภูเขาที่อยู่ด้านหลังค่ายที่พวกเราพักอยู่ก่อนหน้านี้ เราน่าจะหาทางออกไปจากที่นี่ได้”

 

 

องครักษ์ลับสามพยักหน้า เขาเดินตามหลังเยี่ยหลีแล้วพูดขึ้นว่า “คุณชาย ข้านึกออกแล้วว่าที่นี่คือที่ใด ที่นี่คือหุบเขาอสรพิษ”

 

 

           “หุบเขาอสรพิษหรือ”

 

 

           องครักษ์ลับสามพยักหน้า “ในหมู่องครักษ์ลับ มีองครักษ์รุ่นพี่บางคนที่เคยติดตามท่านอ๋องมายังหนานเจียง ว่ากันว่าที่หนานเจียงมีหุบเขาอสรพิษที่มีดอกไม้งูพิษสีแดงอยู่เต็มไปหมด แต่ได้ยินว่าตอนนั้นท่านอ๋องได้จุดไฟเผาหุบเขาอสรพิษจนราบเรียบหมดแล้ว ไม่คิดว่าไม่ทันถึงสิบปีดีก็สามารถฟื้นกลับคืนสภาพได้แล้ว เพียงแต่…ตำแหน่งดูจะไม่ถูกต้องนัก หุบเขาอสรพิษน่าจะอยู่ส่วนตะวันตกเฉียงใต้ของหนานเจียงเสียมากกว่า เหตุใดจึงอยู่ใกล้ด่านซุ่ยเสวี่ยเช่นนี้”

 

 

เยี่ยหลีส่ายหน้า “ที่แห่งนี้น่าจะมีคนตั้งใจสร้างขึ้นเสียมากกว่า เจ้ามิได้สังเกตหรือว่าดอกไม้งูพิษพวกนั้นปลูกเรียงกันอยู่อย่างเป็นระเบียบ แม้แต่ความห่างของแต่ละดอกยังใกล้เคียงกัน ไม่ใช่ดอกไม้ที่ขึ้นเองตามธรรมชาติอย่างแน่นอน แล้วยังงูพวกนั้นอีก ต่อให้ดอกไม้งูพิษงอกกลับขึ้นมาจริง ก็ไม่มีทางมีงูที่เชื่องอยู่มากเช่นนั้น ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้หรืองูล้วนน่าจะมาจากการที่คนปลูกและเลี้ยงไว้ทั้งสิ้น”

 

 

           องครักษ์ลับสามนึกย้อนไปถึงความเงียบสงบของทะเลดอกไม้เมื่อครู่ แล้วจึงอดไม่ได้ที่จะพูดก่นด่าขึ้นมาว่า “คนหนานเจียงเป็นโรคจิตหรือไร ของอันตรายเช่นนี้…”

 

 

           “คนหนานเจียงมิได้กลัวงู” เยี่ยหลีเอ่ยยิ้มๆ “ที่คนหนานเจียงสร้างหุบเขาอสรพิษที่ใครๆ เห็นเป็นต้องถอยหนีเช่นนี้ เชื่อว่าน่าจะเพื่อปิดบังของที่ซ่อนอยู่ในใจกลางภูเขาลูกนี้อย่างแน่นอน”

 

 

           “โรงผลิตอาวุธหรือขอรับ” องครักษ์ลับสามพูดขึ้นด้วยความสงสัย

 

 

           เยี่ยหลียิ้ม “ไม่ใช่ มีของที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นอีก พวกเราออกไปจากที่นี่กันก่อน เจ้าเห็นสัญลักษณ์ของหานหมิงซีบ้างหรือไม่”

 

 

           องครักษ์ลับสามที่ยอบเข่าลงนั่งอยู่นั้นมองสิ่งของที่อยู่ที่พื้น “น่าจะเกิดเรื่องอันใดบางอย่างขึ้นกับพวกเขา สัญลักษณ์นี้…ทำไว้อย่างรีบร้อนมาก” ตอนนี้ก็ตกกลางคืนแล้ว จึงมองไม่เป็นรอยเท้าหรือสัญลักษณ์ใดๆ ได้ องครักษ์ลับสามใช้เวลามองหาอยู่เป็นนานถึงจะเห็นสัญลักษณ์ที่หานหมิงซีทิ้งเอาไว้

 

 

เยี่ยหลีขมวดคิ้ว ยอบตัวลงมองพร้อมครุ่นคิด “ตั้งแต่พวกเราแยกกันมาจนถึงตอนนี้ก็สองชั่วยามแล้ว เดินเท้าหนึ่งชั่วยามน่าจะไปได้ประมาณยี่สิบลี้ พวกเขาทั้งคู่ต่างมีวิชาตัวเบา…เพียงแต่วิชาตัวเบามิได้ใช้เพื่อให้เดินทางได้เร็วขึ้น ถือเสียว่าประมาณสามสิบลี้ก็แล้วกัน หากอยู่ในสถานการณ์ปกติ ตอนนี้พวกเขาน่าจะอยู่ห่างไปหกสิบลี้ เช่นนั้น…หานหมิงซีจะถูกลอบเล่นงาน หรือว่าพวกเขาจะถูกจับตัวไปได้กัน”

 

 

           “บัณฑิตขี้โรคไม่น่าลอบเล่นงานหานหมิงซีได้ สายของเทียนอี้เก๋อมีอยู่มากเหลือเกิน ในเมืองหย่งหลินต้องมีคนเห็นบัณฑิตขี้โรคอยู่กับหานหมิงซีเป็นแน่ หากเกิดเรื่องอันใดกับหานหมิงซี บัณฑิตขี้โรคคงไม่มีรู้จะพูดกับเทียนอี้เก๋ออย่างไร” องครักษ์ลับสามพูด

 

 

เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “เช่นนั้น…ก็เป็นไปได้ที่พวกเขาจะถูกจับตัวไปอย่างนั้นหรือ องครักษ์ลับสาม พวกเราแยกกันไปหา ลองดูว่าหานหมิงซีได้ทำสัญลักษณ์อันใดอย่างอื่นไว้อีกหรือไม่” หากเกิดเรื่องกับหานหมิงซีจริง ไม่เพียงบัณฑิตขี้โรคเท่านั้น แม้แต่พวกเขาเองก็คงไม่รู้จะพูดกับหานหมิงเย่ว์ว่าอย่างไร เพราะถึงอย่างไรก็เป็นเพราะพวกเขาที่ไปหาหานหมิงซีก่อน หานหมิงซีถึงได้ตามมายังหนานเจียงกับพวกเขาด้วย หากพวกเขาถูกจับตัวไปจริง ก็คงได้แต่อธิษฐานให้หานหมิงซียังไม่ถูกคนพวกนั้นฆ่าตายเท่านั้น

 

 

           ในค่ายลึกลับแห่งหนึ่งในหนานเจียง หานหมิงซีนอนลงบนพื้นด้วยความนุ่มนวล ตัวเขาถูกเชือกมัดไว้อย่างแน่หนาจนขยับไม่ได้ บัณฑิตขี้โรคที่อยู่ห่างไปไม่ไกลสภาพย่ำแย่กว่าเขาเสียอีก เขามีโซ่จับแขวนไว้อยู่ยังไม่เท่าไร แต่ยังมีร่องรอยถูกทำร้ายอีกด้วย ยามนี้กำลังกระแอมไอไม่หยุด ดูประหนึ่งคนที่มีอาการร่อแร่เต็มที หานหมิงซีมิได้สนใจสภาพที่ไม่น่าดูของตนเอง ณ ขณะนี้ เข้ายิ้มตาหยีให้บัณฑิตขี้โรคแล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “ท่านเป็นอย่างไรบ้าง ยังทนไหวหรือไม่”

 

 

           “เจ้าแน่ใจเพียงนั้นเชียวหรือว่าพวกเขาจะมาช่วยเรา” บัณฑิตไอหนักๆ ก่อนเงยหน้าขึ้นถาม

 

 

           หานหมิงซีตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ข้าเชื่อว่าจวินเหวยจะไม่ทิ้งขว้าง ไม่สนใจข้า”

 

 

           บัณฑิตขี้โรคกระแอมไอเบา “ข้าเชื่อว่าเขาจะมาช่วยเจ้าเพราะเห็นแก่เทียนอี้เก๋อเสียมากกว่า”

 

 

           หานหมิงซีมิได้โกรธ สีหน้ายังคงยิ้มแย้ม “เช่นนั้นแล้วอย่างไร ถึงอย่างไรเขาคงไม่เห็นแก่ที่ท่านมีฐานะเป็นหัวหน้าหน่วยสามของสำนักเยี่ยนอ๋องแล้วจะตั้งใจมาช่วยท่านหรอกกระมัง ตอนนี้พวกเราคงได้แต่รอให้จวินเหวยมาช่วยพวกเรามิใช่หรือ มิเช่นนั้นคุณชายสามอย่างท่าน ลองหาคนมาช่วยพวกเราดูสิ” เขาเหลือบตาขึ้นมองบัณฑิตขี้โรคที่ถูกจับแขวนอยู่ แล้วรู้สึกโกรธขึ้นมาทันที หากมิใช่เพราะเจ้านี่ข่มขู่ให้พวกเขาต้องมาหาดอกปี้ลั่วอะไรนั่น พวกเขาจะโชคร้ายจนมาตกอยู่ในสภาพนี้ได้อย่างไร ตอนนี้ไม่ได้เห็นดอกปี้ลั่วยังไม่พอ แต่พวกเขายังมีโอกาสตกนรกในเวลาอันใกล้อีกด้วย เช่นนั้นคงต้องเห็นด้วยกับประโยคของจวินเหวยที่ว่า มีขึ้นสวรรค์ก็ต้องมีตกนรกเสียแล้ว

 

 

           บัณฑิตขี้โรคไอหนักๆ อีกสามสี่ที “ในเมื่อเจ้าเชื่อใจในจวินเหวยถึงเพียงนี้ เหตุใดตอนนี้เจ้าถึงได้บ่นไม่หยุดเล่า”

 

 

หานหมิงซีนิ่งไป ก่อนเอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านไม่เห็นที่พวกเราออกมาเจอเมื่อครู่หรือ จวินเหวยกับท่านไม่เหมือนกัน บนตัวก็มิได้ยาที่สามารถควบคุมงูได้ ใครจะไปรู้ว่าพวกเขาจะออกมาได้หรือไม่ ไม่แน่ว่าแค่ออกมาจากปากถ้ำนั้นก็คงถูกกลิ่นดอกไม้พวกนั้นทำให้มึนงงไปหมดแล้ว แล้วยัง…งูพิษพวกนั้น…”

 

 

บัณฑิตขี้โรคนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเรียบๆ ว่า “ตอนลงมาจากหน้าผาจั๋วจิ้งหยิบยาจากตัวข้าไปไม่น้อย” เมื่อเห็นหานหมิงซีจ้องหน้าเขาจึงเบ้ปากน้อยๆ แล้วกล่าวว่า “ไม่ต้องมามองข้าเช่นนี้ ข้าเองก็เพิ่งรู้ตอนที่แยกตัวกันออกมาแล้วเหมือนกัน เขาหยิบยาเม็ดกันสลบและยากันกล้ามเนื้ออ่อนแรงไป ก็คือยาที่ข้าให้เจ้าเมื่อตอนอยู่บนเขานั่นแหละ”

 

 

           หานหมิงซีกลอกตาใส่เขา “ดังนั้นท่านถึงต้องเอายาอีกชนิดให้ข้า เหม็นจะตาย!”

 

 

           “เจ้าวางใจได้ พวกเขาไม่เป็นอันใดหรอก” บัณฑิตขี้โรคกลั้นอาการไว้ ก่อนเอ่ยเสียงขรึมขึ้น

 

 

           หานหมิงซีปรายตามองเขา “ท่านรู้ได้อย่างไร”

 

 

           “เจ้าแซ่เหลียงคนนั้นแค้นใจจนคิดอยากฆ่าพวกเราโดยทันที แต่เล่อเจียงกลับยังไม่ยอมลงมือคงเป็นเพราะรอให้พวกเขามาพร้อมกันก่อน”

 

 

           “พวกเขาคิดจะจัดการพร้อมกันทีเดียวหรือ” หานหมิงซีขมวดคิ้ว บัณฑิตขี้โรคพูดว่า “เจ้าอย่าลืมว่าฉู่จวินเหวยตามหลังพวกเรามาโดยตลอด อีกอย่างตอนที่พวกเราออกมาจากในถ้ำพวกเขาก็มิได้ตามออกมาด้วย หลังจากที่พวกเราออกมาแล้วพวกเขาคงต้องอยู่ทำอันใดอีกเป็นแน่ ดังนั้นคนพวกนี้จึงจะต้องจับพวกเขาให้ได้ เจ้าคิดว่าสัญลักษณ์ที่เจ้าทิ้งไว้นั้นพวกมันไม่เห็นหรือ”

 

 

หานหมิงซีพูดด้วยความโกรธว่า “ท่านรู้ว่าพวกมันตั้งใจใช้พวกเราล่อให้จวินเหวยมาติดกับ แล้วเหตุใดจึงไม่เตือนข้า”

 

 

บัณฑิตขี้โรคยิ้มเยาะด้วยความดูแคลน “เหตุใดข้าถึงต้องเตือนเจ้าด้วย อย่างน้อยๆ ตอนนี้จวินเหวยก็ยังมีโอกาสมาช่วยพวกเราออกไป หากเขาไม่มาเจ้ากับข้าก็คงต้องตายแน่แล้ว”

 

 

           “หากเขามาก็อาจต้องตายไปพร้อมกับเรานะ!”

 

 

           “เช่นนั้นแล้วอย่างไร”

 

 

           ก๊อกๆ…

 

 

           มีเสียงเคาะเบาๆ ดังขึ้นที่นอกหน้าต่าง ทั้งสองหยุดพูดพร้อมหันไปมองทางหน้าต่างโดยทันที ร่างๆ หนึ่งม้วนตัวเข้ามาทางหน้าต่างด้วยความรวดเร็ว ก่อนหันมายิ้มให้พวกเขา “พี่หาน ท่านวางใจเถิด ข้าไม่มีทางตายเป็นเพื่อนพวกท่านแน่”

 

 

           “จวินเหวย!” หานหมิงซีร้องเรียกด้วยความดีใจ

 

 

           “ชู่…” เยี่ยหลียกนิ้วชี้ขึ้นปิดปากพร้อมกะพริบตาปริบๆ

 

 

หานหมิงซีจึงรีบลดเสียงลง “เจ้าเข้ามาได้อย่างไร ที่ค่ายนี้มีคนซุ่มโจมตีอยู่เต็มไปหมด”

 

 

เยี่ยหลียิ้ม “บนโลกนี้ไม่มีการคุ้มกันใดที่ทำได้อย่างสมบูรณ์ เพียงแต่เจ้าจะหารูรั่วนั้นเจอได้หรือไม่ นั่น…พี่หาน กับหัวหน้าหน่วยสาม พวกท่านติดหนี้ชีวิตข้าคนละครั้งแล้วนะ”

 

 

บัณฑิตขี้โรคส่งเสียงเหอะเบาๆ “เรื่องนั้นต้องให้พวกเราออกไปได้อย่างปลอดภัยก่อนถึงจะนับ” สิ่งที่เมื่อครู่เขากับหานหมิงซีคุยกัน จวินเหวยคงจะได้ยินทั้งหมดเป็นแน่ แต่เมื่อได้เห็นสีหน้าของหนุ่มน้อยที่ยังคงยิ้มอย่างชื่นมื่นแล้ว บัณฑิตขี้โรคจึงไม่แน่ใจว่าเขาจะคิดแค้นหรือไม่

 

 

           “เอาเถิด ท่านพูดถูก” เยี่ยหลีพูดขึ้นอย่างไม่รู้ว่าจะพูดอันใดดี แล้วจึงหยิบกริชออกมาตัดเชือกบนตัวหานหมิงซีออกอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งโยนกระบี่ให้เขาเล่มหนึ่ง “ที่หนานเจียงนี้หาอาวุธที่ใช้ถนัดมือไม่ค่อยได้ ทนใช้อันนี้ไปก่อนแล้วกัน”

 

 

หานหมิงซียิ้มพร้อมรับกระบี่มา “ขอบใจมากจวินเหวย” เชือกบนตัวหานหมิงซีจัดการได้ไม่ยาก แต่โซ่เหล็กที่อยู่บนตัวบัณฑิตขี้โรคจัดการไม่ง่ายเช่นนั้น เยี่ยหลีใช้เวลาอยู่พอสมควรกว่าปลดโซ่นั้นออกไปได้

 

 

บัณฑิตขี้โรคขยับกระดูกกระเดี้ยวอยู่พักหนึ่งแล้วจึงเอ่ยถามว่า “องครักษ์ของเจ้าคนนั้นเล่า”

 

 

เยี่ยหลียิ้ม “เขากำลังเตรียมส่งของขวัญชิ้นใหญ่ไปให้ชนเผ่าหลัวอีปู่น่ะ” เยี่ยหลีเดินไปข้างหน้าต่าง แล้วทำเสียงสั้นๆ ยาวๆ เลียนแบบเสียงนก สักพักก็เกิดเสียงดังอุตลุดขึ้นที่ที่ใดที่หนึ่งของค่าย ก่อนกระจายไปยังพื้นที่ส่วนอื่น พักเดียวก็ดูจะเกิดเสียงวุ่นวายขึ้นไปทั่วค่าย

 

 

เยี่ยหลียิ้มด้วยความพอใจ “เอาล่ะ พวกเราไปกันได้!”