ตอนที่ 21 ที่แท้นางคือเจ้าล่าเยวี่ย
ศิษย์ของยอดเขาเหลี่ยงว่างแห่งสำนักชิงซาน มิได้ปล่อยกระบี่ฟันไปทางหญิงชั่วผู้นั้นเป็นคนแรก เพียงแค่นี้ก็ทำให้คนรู้สึกแปลกใจมากพอแล้ว
ใครจะคิดบ้างว่าในตอนที่ผู้อาวุโสแห่งคุนหลุนพยายามจะสังหารอีกฝ่าย เขากลับปล่อยกระบี่ไปช่วยหญิงชั่วผู้นั้น!
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ในสายตาของซือเฟิงเฉินที่มองไปทางเยาซงซานเต็มไปด้วยความตกตะลึงและความโกรธ ในขณะที่เตรียมจะไถ่ถามออกมา ภายในหัวเขาพลันคิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งขึ้นมา สีหน้าเขาพลันแปรเปลี่ยน
เหล่าลูกน้องของกรมชิงเทียนมิได้คิดถึงในสิ่งที่เขาคิดถึง หากแต่ตกใจจนหน้าถอดสี พลางกล่าวว่า “อาจารย์เซียนเยา นี่ท่านกำลังทำอะไร?”
ผู้อาวุโสแห่งคุนหลุนฟื้นคืนกลับสู่สภาพปกติ เขากล่าวเสียงแข็งว่า “ข้ารู้ว่าศิษย์หลานแห่งสำนักซานตูได้กระทำเรื่องมิสมควรในเมืองเฉาหนาน ล่วงเกินต่อสำนักชิงซานของเจ้าจริงๆ แต่วันนี้ทุกคนต่างเห็นกับตาว่านังมารผู้นี้สังหารอาจารย์เซียนจู๋เจี้ย หรือสำนักชิงซานยังคิดจะคุ้มครองนางอีก!”
“จู๋เจี้ยเสียมารยาทต่ออาจารย์อาของข้า ย่อมสมควรตาย”
เยาซงซานค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้า มองดูผู้อาวุโสแห่งยอดเขาคุนหลุนพลางกล่าวด้วยสีหน้าเยือกเย็น “ส่วนท่าน กล้าลงมือกับอาจารย์อาของข้า นั่นก็รนหาที่ตายเช่นกัน”
ภายในตำหนักเงียบกริบ
ลมทะเลพัดโชย ชุดเขียวของเยาซงซานพลิ้วไหวเหมือนดั่งเซียน
ทุกคนรู้สึกสงสัยว่าตนเองได้ฟังอย่างชัดเจนหรือเปล่าว่าพวกเขาคุยอะไรกัน
เสียมารยาทต่ออาจารย์อา? กล้าลงมือกับอาจารย์อาของข้า? อาจารย์อา…อาจารย์อาอะไร?
เยาซงซานเป็นศิษย์อันดับที่สิบเอ็ดของยอดเขาเหลี่ยงว่าง เช่นนั้นอาจารย์อาของเขาคือใคร?
สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนจับจ้องไปยังเจ้าล่าเยวี่ย
เจ้าล่าเยวี่ยปลดหมวกลี่เม่าลง
สิ่งที่ทำให้บางคนรู้สึกเสียใจขึ้นมาก็คือ พวกเขามิได้เห็นผมยาวดำขลับสยายลงมาราวกับน้ำตก
ดรุณีนางนี้มีผมสั้น ทั้งยังมีสองคิ้วที่ทั้งสั้นและมีพลัง
ที่บอกว่ามีพลังนั้นเป็นเพราะว่าคิ้วของนางเข้มอย่างมาก คล้ายว่าใช้หมึกที่เข้มที่สุดวาดขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น
คนที่คาดเดาได้ถึงสถานะของนางมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ต่างคนต่างตะลึงลานพูดไม่ออก หลายคนทยอยลุกขึ้นยืน
เสียงโต๊ะพลิกล้มดังขึ้นทั่วทั้งตำหนัก
……
……
ในโลกแห่งการบำเพ็ญพรต เจ้าล่าเยวี่ยมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นอย่างมาก ถึงขนาดจะไล่ตามลั่วไหวนาน ถงเหยียน ไป๋เจ่า จั๋วหรูซุ่ยได้ทัน
นางคือเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิด ยังมิทันลืมตาดูโลกก็ถูกสำนักชิงซานให้การปกป้องคุ้มครองแล้ว
ในงานชุมนุมเฉิงเจี้ยนเมื่อสามปีก่อน นางได้ทำเรื่องที่ทุกคนไม่คาดคิดด้วยการสืบทอดกระบี่ของยอดเขาเสินม่อ กลายเป็นลูกศิษย์ของนักพรตจิ่งหยาง ทำให้ทั่วทั้งโลกแห่งการบำเพ็ญพรตตกตะลึง
หน้าตาและนิสัยของนาง มิรู้ว่าถูกสำนักต่างๆ นำไปพูดคุยกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
ดรุณีผมสั้นผู้นี้ สองคิ้วงดงาม ดวงตาดำขาวแบ่งชัด ถูกศิษย์แห่งยอดเขาเหลี่ยงว่างขานเรียกอาจารย์อา หากมิใช่เจ้าล่าเยวี่ย แล้วยังจะเป็นผู้ใดได้?
……
……
ทุกคนต่างยืนขึ้นมา ไม่ว่าความรู้สึกที่พวกเขามีต่อชิงซานและเจ้าล่าเยวี่ยจะเป็นอย่างไร ไม่ว่าในเวลานี้จะมีความรู้สึกอย่างไร
มั่วซีมาจากสำนักแม่ชีสุ่ยเยวี่ยซึ่งเป็นสำนักใหญ่เช่นเดียวกัน ในเวลานี้นางก็ยืนขึ้นมาเหมือนกัน
นางพบว่าเจ้าล่าเยวี่ยคือดรุณีนางหนึ่งที่มีใบหน้าอ่อนเยาว์ มิได้มีอะไรพิเศษ แตกต่างจากที่ร่ำลือกัน จึงอดรู้สึกดูแคลนขึ้นมาเล็กน้อยมิได้ แต่หลังจากนั้น นางก็คิดถึงกระบี่เลือดที่บินโฉบอยู่ในตำหนักก่อนหน้านี้ขึ้นมา สีหน้าพลันหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย ในใจเกิดรู้สึกอับอายที่สู้ไม่ได้
เซี่ยงหว่านซูแปลกใจยิ่งนัก เขาคิดไม่ถึงเลยว่าสาวน้อยที่ได้เจอบนภูเขาโดดเดี่ยวก่อนหน้านี้จะเป็นเจ้าล่าเยวี่ยที่ร่ำลือกัน
ในใจของศิษย์สำนักจงโจว เจ้าล่าเยวี่ยแตกต่างไปจากศิษย์อัจฉริยะของสำนักอื่นอยู่เล็กน้อย เจ้าล่าเยวี่ยเป็นคนเจาเกอ จากคำกล่าวที่ว่าคนที่มีสติปัญญาและความสามารถโดดเด่นภายในเมืองเจาเกอจะเข้าสำนักจงโจวกันหมด เดิมนางก็น่าจะเข้ามาอยู่ในสำนักจงโจวเช่นกัน หากเป็นแบบนั้นล่ะก็ เวลานี้นางก็น่าจะเป็นศิษย์พี่หรือไม่ก็ศิษย์น้องของเขา
อาจารย์ของสำนักจงโจวเองก็เคยพยายามทำให้เจ้าล่าเยวี่ยเปลี่ยนความคิดอยู่สิบปี เพียงแต่การดูแลของสำนักชิงซานนั้นเข้มงวดเป็นอย่างมาก
เรื่องราวเหล่านี้เล่าขานอยู่ภายในสำนักจงโจวมาเป็นเวลานาน ดังนั้นศิษย์หลายๆ คนรวมไปถึงเซี่ยงหว่านซูจึงมีความรู้สึกสงสัยใครรู้ในตัวเจ้าล่าเยวี่ยอย่างมาก แล้วก็มีความรู้สึกอย่างหนึ่งที่ยากจะอธิบายได้ มันมีทั้งความรู้สึกชิดใกล้อย่างน่าประหลาด และมีความรู้สึกขัดแย้งอยู่เล็กน้อย ศิษย์หนุ่มสาวหลายๆ คนมองนางเป็นเหมือนศัตรูในจินตนาการ
ภายในตำหนักยังคงเงียบกริบ แต่อารมณ์ของทุกคนยากจะสงบได้
มีบางคนสังเกตุเห็นคนที่ยืนอยู่ข้างกายเจ้าล่าเยวี่ยคนนั้น
หากสาวน้อยนางนี้คือเจ้าล่าเยวี่ย เช่นนั้นคนที่สวมหมวกลี่เม่าผู้นี้คือใคร?
จากกระบี่เหล็กเล่มนั้นจะเห็นได้ว่าสภาวะของคนผู้นี้ยังมิได้เข้าสู่ขั้นมิประจักษ์ เทียบกับเจ้าล่าเยวี่ยแล้วยังห่างชั้นอยู่มาก
หรือเขาจะเป็นจิ๋งจิ่ว?
หลังสืบทอดกระบี่ของยอดเขาเสินม่อ กระทั่งจิ๋งจิ่วก็ยังมีชื่อเสียงขึ้นมาในโลกแห่งการบำเพ็ญพรต แม้นจะไม่เทียบเท่าเจ้าล่าเยวี่ยก็ตาม
แต่ในเรื่องบางเรื่อง ในใจคนบางคน เขามีชื่อเสียงมากกว่าเจ้าล่าเยวี่ย เนื่องเพราะผู้คนพากันพูดว่าเขาคือชายที่รูปงามที่สุดบนโลกนี้
จิ๋งจิ่วมิได้มีทีท่าว่าจะปลดหมวกลี่เม่าออก ผู้บำเพ็ญพรตหญิงรวมไปถึงมั่วซีต่างพากันรู้สึกเสียดาย
“ที่แท้ก็เป็นเจ้ายอดเขาเสินม่อแห่งชิงซานที่ให้เกียรติมาเยือน ตัวข้ามิได้มาต้อนรับ โปรดอภัยด้วย”
เสียงที่นุ่มนวลเสียงหนึ่งดังขึ้น ในส่วนลึกของตำหนักมีหมอกไหลทะลักออกมา เงาร่างสูงใหญ่เงาหนึ่งค่อยๆ ก้าวเดินออกมาจากในม่านหมอก
ในที่สุดซีหวังซุนผู้ลี้ลับก็ปรากฏกายขึ้นต่อหน้าทุกคน
……
……
ซีหวังซุนเองก็ถูกบังคับให้ต้องปรากฏกาย
ตอนนี้เจ้าล่าเยวี่ยเป็นเจ้าแห่งยอดเขาเสินม่อ เป็นบุคคลสำคัญของสำนักชิงซาน
ยิ่งไปกว่านั้น นางยังมีอีกสถานะหนึ่งนั่นก็คือเป็นศิษย์สืบทอดของนักพรตจิ่งหยาง
ไม่ว่าจะเป็นความอาวุโสหรือสถานะ นางก็ล้วนแต่อยู่เหนือทุกคนที่อยู่ภายในตำหนักในวันนี้
ความอาวุโสของผู้อาวุโสแห่งสำนักกระบี่ซีไห่และผู้อาวุโสแห่งสำนักคุนหลุนเทียบเท่ากับนาง ทว่าสถานะในโลกแห่งการบำเพ็ญพรตนั้นมิอาจเทียบนางได้
เมื่อมองไปในลานเมฆ ก็มีเพียงสถานะของซีหวังซุนเท่านั้นที่พอจะถือว่าเท่าเทียมกัน เช่นนั้นก็ต้องเป็นเขาที่ออกมาต้อนรับ จึงจะสามารถแสดงถึงความเคารพที่มีต่อชิงซานได้
……
……
ก่อนที่ซีหวังซุนจะออกมา ผู้อาวุโสขั้นคเนจรของสำนักกระบี่ซีไห่ก็ได้เก็บจิตจำแนกแห่งกระบี่กลับมาแล้ว โดยเก็บกลับมาตอนที่เจ้าล่าเยวี่ยเพิ่งจะเปิดเผยสถานะของตนเอง
มาตรว่าเขาเก็บจิตจำแนกแห่งกระบี่กลับมาช้าไปเพียงนิดเดียว แต่ก็อาจจะถูกมองว่าเสียมารยาทต่อสำนักชิงซาน มิแน่อาจจะทำให้เกิดการโต้เถียงขึ้นมาได้
ซีหวังซุนยิ้มแสดงความคารวะต่อเจ้าล่าเยวี่ยเล็กน้อย จากนั้นมองไปยังจิ๋งจิ่วที่อยู่ข้างกายนาง
เมื่อครุ่นคิดถึงคำพูดที่จิ๋งจิ่วกล่าวในตอนที่เจอกันก่อนหน้านี้ ในส่วนลึกของดวงตาเขาพลันมีประกายดุร้ายสว่างวาบขึ้นมาอย่างรวดเร็วก่อนจะหายไป
ในเวลานี้ เขาย่อมต้องมั่นใจแล้วว่าอีกฝ่ายมิได้คิดจะมาขอพึ่งพาสำนักกระบี่ซีไห่อย่างแน่นอน
ตอนนั้นจิ๋งจิ่วกล่าวกับเขาว่า ‘ข้าเพียงแค่อยากมาดูเจ้าเท่านั้น’
ดูอะไร?
หรือสำนักชิงซานจะรู้เรื่องกุ่ยมู่หลิงนั่นแล้ว เลยส่งลูกศิษย์มาสืบ?
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ แม้นจะเป็นเขาก็ยังเกิดความรู้สึกระวังตัวขึ้นมาเล็กน้อย
แต่เขามิได้กังวลใจอะไรนัก เพราะเขาเชื่อว่าไม่ว่าสำนักชิงซานจะสืบอย่างไร ต่อให้สืบจากกุ่ยมู่หลิงไปจนถึงทะเลตะวันตกก็ไม่มีทางที่จะเจอหลักฐานใดๆ
เรื่องกุ่ยมู่หลิงนั้นมิได้มีการจงใจสร้างสถานการณ์ใดๆ มันเป็นแค่การเล่นกับใจที่ทะเยอทะยานของผู้บำเพ็ญพรตเท่านั้น
เมื่อคิดถึงเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าแต่กำเนิดของสำนักชิงซานที่กินตานปีศาจลงไปเมื่อสองปีก่อนผู้นั้น มุมปากของซีหวังซุนพลันมีรอยยิ้มเล็กๆ ที่ยากจะสังเกตได้ปรากฏขึ้นมา
ตานปีศาจที่ช่วยให้ผู้บำเพ็ญพรตบรรลุสภาวะได้รวดเร็วขึ้น และวิชาที่ช่วยลบร่องรอยพิษของตานออกไปได้ นี่คือความเย้ายวนที่ไม่มีผู้บำเพ็ญพรตคนไหนจะต้านทานได้
ยิ่งเป็นอัจฉริยะ ความคาดหวังที่ได้รับก็จะยิ่งมาก แล้วก็ยิ่งมิอาจต้านทานความเย้ายวนเช่นนี้ได้
ซีหวังซุนมองดูจิ๋งจิ่วและเจ้าล่าเยวี่ย เขายิ้มพลางครุ่นคิด สืบสิ ยิ่งตั้งใจสืบยิ่งดี ถ้าให้ดีก็รีบสืบให้เจอศิษย์ร่วมสำนักที่เป็นอัจฉริยะคนนั้นของพวกเจ้า เช่นนั้นมันจะยิ่งดีที่สุด
จิ๋งจิ่วกำลังคิดถึงเรื่องอื่น
เจ้าล่าเยวี่ยเปิดเผยสถานะ ซีหวังซุนออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง…
หากรู้ว่าง่ายดายเช่นนี้ ไยก่อนหน้านี้เขาต้องไปเล่นหมากล้อมที่เขาโดดเดี่ยวด้านล่างนั่นด้วย?
ดูเหมือนการบำเพ็ญพรตในช่วงเวลาอันเนิ่นนานที่ผ่านมาจะเป็นแค่การท่องเที่ยวเป็นเวลาหลายปีเท่านั้น ประสบการณ์ในด้านนี้ยังไม่เพียงพอ
อย่างนั้นเจ้าล่ะ? เจ้าบอกว่าตัวเองถนัดเรื่องการวางแผนมิใช่รึ?
เขามองไปทางเจ้าล่าเยวี่ยที่อยู่ข้างกายพลางส่ายศีรษะ ในใจครุ่นคิดว่าสมแล้วที่เป็นคนของยอดเขาเสินม่อ ในด้านนี้ก็หัวทึบมิต่างกัน
ในเวลานี้เสียงหนึ่งดังขึ้นมา
เสียงคนผู้นั้นเริ่มสั่นเครือเล็กน้อย มิรู้เป็นเพราะโกรธเกรี้ยวหรือว่าหวาดกลัว แต่เพียงไม่นานก็แปรเปลี่ยนเป็นสงบขึ้น แนวแน่ดุจเหล็กกล้า มิหวั่นไหวต่อสิ่งใด
“หรือเป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งชิงซานแล้วจะสังหารคนตามอำเภอใจได้?”
ซือเฟิงเฉินก้าวออกมา สายตาจ้องมองไปยังเจ้าล่าเยวี่ยพลางกล่าว
………………………………………………………………..