ตอนที่ 113 เข้าใจผิด

ยามดอกวสันต์ผลิบาน

ถ้าหากนางเดินจากไปเช่นนี้ ไม่เท่ากับว่ามาเสียเที่ยวหรอกหรือ

 

 

หากว่าครั้งนี้นางไม่ทำหน้าหนารั้งอยู่ต่อล่ะก็ ไม่รู้ว่าต้องรออีกนานเท่าไหร่ถึงจะมีข้ออ้างมาหาเขาในครั้งต่อไปได้

 

 

นอกจากนี้เรื่องที่ท่านผู้นำตระกูลจวนรองพูดกับบิดานั้น ก็ต้องเล่าให้เขาฟังให้เร็วที่สุดถึงจะถูก

 

 

โจวเสาจิ่นกำหมัด แสร้งทำอะไรบางอย่าง ยิ้มบางๆ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้มีเท้าแขน

 

 

เฉิงฉือประหลาดใจยิ่งนัก

 

 

นัยยะของเขาชัดเจนเป็นอย่างมากอยู่แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าเด็กสาวผู้นี้กลับไม่เข้าใจ

 

 

หรือเป็นเพราะเขาติดต่อกับคนเช่นกู้จิ่วเนี่ยมาเป็นเวลานาน กิริยามารยาทเลยมีนัยยะเป็นปริศนามากเกินไปอย่างนั้นหรือ

 

 

เฉิงฉือลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ ครั้งหนึ่ง จากนั้นนั่งลงตรงที่นั่งที่อยู่ตรงกันข้ามกับโจวเสาจิ่น

 

 

เช่นนี้ เด็กสาวผู้นี้ก็คงจะรู้ความหมายของเขาแล้วกระมัง!

 

 

เจ้าบ้านที่ตั้งใจต้อนรับแขกจริงๆ มักจะเชิญให้แขกนั่งลงพร้อมกับตัวเองตรงที่นั่งฝั่งตะวันตกของโต๊ะ หากมีการแบ่งอาวุโสหรือตำแหน่ง คนที่ตำแหน่งสูงกว่าหรือก็คือเจ้าบ้านจะนั่งตรงฝั่งตะวันตกของโต๊ะ ส่วนคนที่มีตำแหน่งต่ำกว่าหรือคนที่เป็นแขกจะนั่งตำแหน่งที่อยู่ถัดลงไป

 

 

กล่าวคือเฉิงฉือไม่ได้ต้อนรับโจวเสาจิ่นเยี่ยงแขก ความหมายค่อนไปในทางว่า เจ้ามีอะไรก็พูดมา พูดเสร็จแล้วก็รีบกลับออกไปเสีย

 

 

โจวเสาจิ่นเป็นคนละเอียดอ่อนยิ่งนัก ไหนเลยจะไม่เข้าใจถึงท่าทีของเขา

 

 

นางรู้สึกเสียใจอยู่บ้างเล็กน้อย แต่เมื่อได้ครุ่นคิดดูแล้วความเสียใจก็บรรเทาลง

 

 

เดิมทีท่านน้าฉือกับนางไม่มีอะไรให้ต้องข้องเกี่ยวกัน หากไม่ใช่ว่าท่านน้าฉือมีน้ำใจช่วยเหลือนางเอาไว้ครั้งหนึ่ง นางก็คงจะไม่ได้รู้จักกับท่านน้าฉือ การที่นางมาหาเขาอย่างขาดความไตร่ตรองเช่นนี้ หากเปลี่ยนเป็นนาง นางก็คงจะรู้สึกรำคาญใจอยู่บ้างเหมือนกัน

 

 

แต่โจวเสาจิ่นก็ค่อนข้างจะดื้อดึงอยู่บ้างเล็กน้อย รู้สึกว่าในเมื่อตนได้มานั่งอยู่ต่อหน้าเฉิงฉือแล้ว จึงไม่ควรจากไปอย่างครึ่งๆ กลางๆ ถึงจะถูก จะดีจะร้าย หากไม่ลงมือทำ ก็จะไม่มีโอกาสได้รู้ไปตลอด

 

 

นางพยายามยิ้มน้อยๆ ให้ตัวเองดูเป็นธรรมชาติและสบายๆ แต่กลับไม่รู้เลยว่ารอยยิ้มที่มีความละอายปนอยู่หลายส่วนและแววตาที่เผยความกระวนกระวายออกมาของนางเหล่านั้นเมื่อตกอยู่ในสายตาของเฉิงฉือแล้วมันกลับชัดเจนเป็นอย่างมาก

 

 

ไม่ใช่ว่าเด็กสาวไม่เข้าใจ แต่คงเพราะมีเรื่องต้องการมาขอร้องเขากระมัง

 

 

เฉิงฉือครุ่นคิด

 

 

เป็นไปได้ว่านี่อาจเป็นครั้งแรกที่มาขอร้องผู้อื่นเช่นนี้ ดังนั้นทั้งๆ ที่รู้ว่าเขากำลังขับไล่นางอยู่ แต่กลับยังทำใจดีเข้าสู้แสร้งทำเป็นไม่รู้

 

 

ขณะที่มองใบหน้าที่อ่อนหวานงดงามทว่ายังอ่อนเยาว์และไร้ประสบการณ์ของโจวเสาจิ่นอยู่นั้น เขาพลันนึกถึงตอนที่ตัวเองออกเดินทางไกลเป็นครั้งแรกขึ้นมา

 

 

ตอนนั้นเผชิญกับฝนตกหนักในช่วงหนาวจัดของฤดูหนาว เขายืนกรานที่จะลุยฝนต่อไป ปรากฏว่าฉินจื่อหนิงเปียกโชกจนจับไข้ ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะหาบ้านของผู้ใหญ่บ้านได้สักหลังหนึ่ง ปรารถนาจะขออาศัยด้วยหนึ่งคืน ปรากฏว่าเมื่อผู้อื่นเห็นว่าฉินจื่อหนิงจับไข้ร้ายแรงนัก กลัวว่าฉินจื่อหนิงจะเป็นตัวโชคร้ายและเสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน อย่างไรก็ไม่ยินยอมให้พักอยู่ด้วย เขาพยายามกล่าวโน้มน้าวทุกวิถีทาง ผู้ใหญ่บ้านผู้นั้นถึงได้ยินยอมให้พวกเขาพักอยู่ในห้องเก็บฟืนได้หนึ่งคืน…นั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาขอร้องคนอื่น นอกจากความโกรธแล้ว ยังมีความอับอายปนอยู่ด้วยสายหนึ่ง

 

 

เด็กสาวจะมีเรื่องอะไรมาขอร้องเขากัน?

 

 

ก็คงจะเป็นเพียงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงประเภท เจ้าชอบข้า แต่ข้าชอบเขา พวกนั้นกระมัง

 

 

เห็นแก่ที่นางถึงกับมีความกล้ามาหาเขาเพื่อขอความช่วยเหลือ เช่นนั้นตนก็จะลองช่วยนางดูสักหน่อยก็แล้วกัน!

 

 

อย่างไรเสียสำหรับตนแล้วก็เป็นเพียงเรื่องง่ายๆ ดั่งกระดิกนิ้วมือเท่านั้น

 

 

หากเรื่องวุ่นวายพวกนี้ได้รับการแก้ไข นางก็คงจะไม่มาหาตนอีก

 

 

ขณะที่เฉิงฉือครุ่นคิด ก็ชี้ไปที่เก้าอี้มีเท้าแขนที่อยู่ถัดลงไปจากของตนยิ้มๆ พลางกล่าวขึ้นว่า “เจ้ามาหาข้าด้วยเรื่องเฉิงเซียงชิงใช่หรือไม่ ไม่ใช่ว่าเขาเดินทางไปที่สำนักศึกษาเย่ว์ลู่แล้วหรือ”

 

 

เฉิงเซียงชิง…เฉิงลู่น่ะหรือ!

 

 

ตนมาหาท่านน้าฉือ แล้วเกี่ยวอะไรกับเขาด้วย

 

 

โจวเสาจิ่นกระพริบตาปริบๆ กว่าครู่ใหญ่ถึงได้มีปฏิกิริยาตอบกลับ

 

 

นางใจเต้นตึกตัก กล่าวขึ้นว่า “เรื่องนี้เป็นท่านน้าฉือยื่นมือเข้าไปจัดการหรือเจ้าคะ”

 

 

“เปล่า” เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ “เป็นความคิดของฮูหยินหยวน นางเป็นคนออกเงินและติดต่อสำนักศึกษาให้”

 

 

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!

 

 

ใจของโจวเสาจิ่นสงบลงมา

 

 

เฉิงฉือกลับกล่าวขึ้นว่า “ในเมื่อทางด้านของเฉิงเซียงชิงไม่มีเรื่องอะไรแล้ว เช่นนั้นเจ้ามาด้วยเรื่องของเฉิงเจียซ่านหรือ”

 

 

เหตุใดเขาถึงกล่าวเช่นนี้

 

 

ดวงตาของโจวเสาจิ่นเบิกกว้าง กล่าวขึ้นว่า “เรื่องของพี่ชายสวี่ เกี่ยวอะไรกับข้าด้วยหรือเจ้าคะ”

 

 

เฉิงฉือได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้วมุ่น กล่าวขึ้นว่า “เจ้าไม่รู้หรือว่าเฉิงเจียซ่านกลับมาแล้ว”

 

 

“รู้เจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นกล่าว “ข้าเพิ่งจะทราบ เขาไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่ามาแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

เฉิงฉือไม่เข้าใจเล็กน้อย

 

 

ในใจของโจวเสาจิ่นกลับรู้สึกเจ็บปวดและเศร้าหมอง

 

 

เฉิงสวี่มักจะเข้ามาเกาะแกะนาง คิดว่าต้องมีสักวันที่เขาจะทำให้นางสนใจเขาได้…

 

 

หรือว่าท่านน้าฉือเองก็คิดว่านางกับเฉิงสวี่มีเรื่องผิดใจกันอยู่

 

 

เมื่อคิดถึงเรื่องพวกนี้ นางก็ปลอบใจตัวเองอีกครั้ง

 

 

เฉิงเจียซ่านมาจากตระกูลมีชื่อเสียง เป็นชายหนุ่มที่มีพรสวรรค์ ยังมีชื่อเสียงติดตัวเป็นถึงอั้นโส่วผู้หนึ่ง อาชีพในเส้นทางราชสำนักก็ดูสดใส เป็นบุตรเขยผู้มั่งคั่งที่ตระกูลมีชื่อเสียงเก่าแก่มากมายต่างจับจ้องอยากได้มาเป็นบุตรเขย แต่กลับยอมลดตัวเล็กลงต่อหน้านาง การที่ท่านน้าฉือจะเข้าใจผิดคิดว่านางประทับใจในตัวเฉิงสวี่ ก็เป็นเรื่องธรรมดาสามัญของคนที่เข้าใจได้

 

 

โจวเสาจิ่นนึกถึงครั้งแรกที่ตนได้พบกับเฉิงฉือ ก็เป็นการเจอเพื่อซ่อนตัวจากเฉิงสวี่

 

 

เป็นไปได้หรือไม่ว่าที่ผ่านมาท่านน้าฉือล้วนเข้าใจว่านางกำลังเล่นกลหลอกให้ตายใจอยู่ตรงกลางระหว่างเฉิงลู่กับเฉิงสวี่?

 

 

ไม่เช่นนั้นเพียงเขาเปิดปากพูดก็ถามถึงเฉิงลู่ และต่อมาก็ถามถึงเฉิงสวี่ขึ้นมาได้อย่างไร

 

 

โจวเสาจิ่นรู้สึกแย่เป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี

 

 

นางทั้งไม่อยากแต่งกับเฉิงสวี่และไม่อยากแต่งกับเฉิงลู่…แล้วเหตุใดทุกคนถึงไม่เชื่อนาง!

 

 

เฉิงฉือมองขอบตาที่อยู่ๆ ก็แดงขึ้นมาของเด็กสาวแล้ว รู้สึกงุนงงเล็กน้อย

 

 

เขาไม่ได้พูดอะไรเลย เหตุใดอยู่ๆ ก็ร้องไห้ขึ้นมาเล่า

 

 

“ในเมื่อไม่ใช่มาด้วยเรื่องของเฉิงเจียซ่าน เช่นนั้นเจ้ามาหาข้าด้วยเรื่องอะไรกันแน่” เฉิงฉือกล่าวอย่างเคร่งขรึม

 

 

โจวเสาจิ่นตกใจ

 

 

หากท่านน้าฉือเข้าใจว่านางกับเฉิงสวี่มีความสัมพันธ์อะไรบางอย่างกันจริงๆ ขึ้นมา เช่นนั้นต้องแย่แน่ๆ แล้ว!

 

 

ความน่าเกรงขามของท่านน้าฉือ นางเคยประสบพบเจอมาก่อนแล้ว

 

 

เรื่องไฟไหม้ที่จวนห้าเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้น แต่พอเขาบอกว่าจัดการได้ก็จัดการได้จริงๆ หลังจากที่เกิดเรื่องแล้วก็ไม่มีร่องรอยอะไรเหลือเลยแม้แต่นิดเดียว

 

 

เฉิงสวี่นั้นแสดงการกระทำหลายอย่างที่ทำให้คนเข้าใจผิด หากท่านน้าฉือเข้าใจว่านางกับเฉิงสวี่มีใจปฏิพัทธ์ต่อกัน เข้าใจว่านางมาหาเขาเพื่อขอให้เขาช่วยเหลือตนกับเฉิงสวี่ให้ได้สมหวัง…ด้วยความสามารถของท่านน้าฉือแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะหาวิธีให้นางได้แต่งกับเฉิงสวี่ได้จริงๆ ขึ้นมาก็เป็นได้

 

 

ถึงเวลานั้นต่อให้นาง…กระโดดลงทะเลสาบโม่โฉวก็ไม่อาจล้างตัวให้สะอาดได้แล้วจริงๆ!

 

 

“ท่านน้าฉือ” โจวเสาจิ่นกระวนกระวายจนหน้าแดงก่ำ รีบกล่าวขึ้นว่า “ที่ข้าอยู่ที่ตระกูลเฉิงนี้ก็เพื่ออยู่เป็นเพื่อนพี่สาว รอให้พี่สาวแต่งงานออกเรือนไปแล้ว ข้าก็จะติดตามไปอยู่กับท่านพ่อของข้า บุญคุณอันใหญ่หลวงของตระกูลเฉิง ชีวิตนี้จะไม่มีวันลืม สำหรับข้าแล้ว ตระกูลเฉิงจะเป็นดั่งตระกูลของมารดาตลอดไป ในภายภาคหน้าหากว่าข้ามีโอกาส ไม่ว่าจะเป็นวันขึ้นปีใหม่หรือเทศกาลต่างๆ ล้วนจะกลับมาเยี่ยมท่านยายและบรรดาท่านลุงทั้งหลายอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”

 

 

เฉิงฉือค่อนข้างประหลาดใจเล็กน้อย

 

 

นี่เด็กสาวกำลังบอกเขาว่า นางไม่ปรารถนาจะแต่งกับเฉิงสวี่!

 

 

อย่างไรก็ตาม เหตุใดนางถึงคิดเช่นนี้

 

 

แต่เพียงชั่วลมหายใจเฉิงฉือก็เข้าใจขึ้นมา

 

 

เขายิ้มออกมา ถามโจวเสาจิ่นว่า “เจ้ารู้ว่าเฉิงเจียซ่านกลับมาแล้วใช่หรือไม่”

 

 

โจวเสาจิ่นงุนงง

 

 

นี่นับเป็นครั้งที่สองแล้วที่เฉิงฉือถามนาง

 

 

นางไม่รู้ว่ามีความหมายแฝงอย่างอื่น จึงพยักหน้าอย่างโง่งม

 

 

เฉิงฉือกล่าวยิ้มๆ ว่า “เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาไปเพื่อร่วมอวยพรวันเกิดแด่ท่านอาจารย์ของเขา”

 

 

“ทราบเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นกล่าวตามตรง

 

 

“ก่อนหน้านี้บิดาของเจ้าเคยบอกเอาไว้ว่าจะกลับมาอยู่จนถึงวันที่สิบห้าเดือนแปด วันเกิดของท่านอาจารย์ของเขาคือวันที่เจ็ดเดือนแปด เขาคงจะคำนวณเอาไว้ว่าหลังจากที่อยู่ร่วมอวยพรวันเกิดท่านอาจารย์ของเขาเสร็จแล้ว ก็จะเร่งกลับมาจนทันได้เจอบิดาของเจ้าสักครั้งพอดี” เฉิงฉือกล่าวเรียบๆ “แต่คิดไม่ถึงว่าบิดาของเจ้าต้องออกเดินทางในวันที่เจ็ดเดือนแปด เมื่อได้ข่าวแล้วเขาไม่แม้แต่จะเข้าร่วมงานวันเกิดของท่านอาจารย์ของเขา เร่งเดินทางกลับมาทั้งวันทั้งคืน ไม่คิดว่ายังช้าไปวันหนึ่ง บิดาของเจ้าออกเดินทางไปเสียแล้ว…”

 

 

โจวเสาจิ่นได้ยินแล้วสีหน้าซีดเผือด โพล่งออกมาอย่างตะกุกตะกักว่า “ข้า…ข้าไม่อยากแต่งกับเฉิงสวี่!” กลัวว่าเฉิงฉือจะไม่เชื่อ จึงกล่าวอีกว่า “ต่อให้ข้าตายก็ไม่มีวันแต่งกับเฉิงสวี่เจ้าค่ะ”

 

 

เรียกเฉิงเจียซ่านด้วยชื่อเต็มเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ชอบเขามากขนาดไหน

 

 

เฉิงฉือมองแววตาตื่นตระหนกประหนึ่งตกลงไปในกับดักของผู้ล่าของโจวเสาจิ่นแล้ว อดถอนหายใจอยู่ในใจไม่ได้ ลุกขึ้นไปรินน้ำร้อนให้นางถ้วยหนึ่ง กล่าวเสียงอบอุ่นขึ้นว่า “มาเถิด นั่งลงมาดื่มชาสักถ้วยหนึ่ง!”

 

 

โจวเสาจิ่นตัวสั่นอย่างห้ามไม่อยู่ กระทั่งถ้วยชาอุ่นๆ ช่วยให้มือของนางอุ่นขึ้น นางถึงได้สติกลับมา และเงยหน้าขึ้นมองไปที่เฉิงฉือ

 

 

“ไม่เป็นไรแล้วใช่หรือไม่” เฉิงฉือมองนางยิ้มๆ ดวงตาสดใสดุจแสงแดดอ่อนละมุนในช่วงฤดูหนาว

 

 

โจวเสาจิ่นเหม่อลอยไปชั่วขณะหนึ่ง

 

 

รอยยิ้มของท่านน้าฉือ ช่างทำให้ใจของคนอบอุ่นขึ้นได้จริงๆ

 

 

จากนั้นนางนึกถึงคำพูดที่เฉิงฉือเพิ่งพูดเมื่อสักครู่นี้ขึ้นมา ก็สะดุ้งขึ้นมาครั้งหนึ่งอย่างช่วยไม่ได้ สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก

 

 

เพราะรู้ว่านางกับเฉิงลู่ไม่ได้มีความสัมพันธ์กัน ฉะนั้นท่านน้าฉือถึงได้กล่าวว่า ไม่ใช่ว่าเฉิงลู่เดินทางไปที่สำนักศึกษาเย่ว์ลู่แล้วหรือ ขึ้นมา

 

 

เพราะรู้ว่าตนไม่ปรารถนาแต่งกับเฉิงสวี่จริงๆ ฉะนั้นท่านน้าฉือถึงได้ถามว่า เจ้ารู้ว่าเฉิงเจียซ่านกลับมาแล้วใช่หรือไม่ ขึ้นมา

 

 

ที่ผ่านมาท่านน้าฉือไม่เคยสงสัยในตัวนางเลย!

 

 

เขาเชื่อตนมาโดยตลอด

 

 

กลับเป็นตนที่เข้าใจเขาผิดไป!

 

 

คิดว่าเขาก็เหมือนกับคนเหล่านั้น ที่พอได้ยินคำพูดพวกนั้นของเฉิงลู่ ก็คิดว่านางกับเฉิงลู่มีความสัมพันธ์ที่คลุมเคลือต่อกัน ที่พอเห็นว่าเฉิงสวี่สนใจนาง ก็คิดว่านางคงจะยินดีแต่งกับเฉิงสวี่ แม้แต่พี่สาว ตอนที่รู้เรื่องนี้ใหม่ๆ ก็เอาแต่เป็นกังวลว่าสถานะครอบครัวของนางกับเฉิงสวี่นั้นแตกต่างกัน กลัวว่าหากนางแต่งไปแล้วจะต้องเป็นทุกข์ ทว่ากลับไม่เคยคิดเลยว่านางยินยอมแต่งให้กับเฉิงสวี่หรือไม่

 

 

ชั่วขณะที่รู้ซึ้งถึงข้อนี้แล้ว น้ำตาของโจวเสาจิ่นก็ไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

 

 

“ท่านน้าฉือ…” นางก้มหน้าลง เม้มปากสะอื้นไห้เบาๆ อย่างควบคุมตัวเองไม่ได้

 

 

เฉิงฉือรู้สึกปวดศีรษะ

 

 

ไม่ใช่ว่าไม่เคยมีสตรีร้องไห้ต่อหน้าเขามาก่อน

 

 

แต่ไม่มีผู้ใดเหมือนเด็กสาวตรงหน้าผู้นี้ ที่ร้องไห้ได้อย่าง…ซาบซึ้งใจและเอาจริงเอาจังมากขนาดนี้

 

 

ราวกับว่าใต้ผืนฟ้าแห่งนี้เหลือเพียงเรื่องนี้ให้สะอื้นไห้เท่านั้นก็ไม่ปาน

 

 

เด็กสาวในตอนนี้ ไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่!

 

 

เจ้าพูดตะวันออก แต่สิ่งที่นางชี้กลับเป็นตะวันตก

 

 

ทำให้คนสับสนจนหัวหมุน

 

 

เฉิงฉือกระแอมไอเบาๆ ออกมาเสียงหนึ่ง

 

 

ไหวซานเดินออกมาจากด้านหลังของผนังกั้นฝั่งขวาอย่างเงียบๆ

 

 

เฉิงฉือสั่งเขาเสียงเบาว่า “ไปเรียกหนานผิงมา เรื่องเช่นนี้คงต้องมอบให้นาง”

 

 

ไหวซานยิ้มกว้าง ตอบเสียงนอบน้อมว่า “ขอรับ” แล้วล่าถอยออกไป

 

 

โจวเสาจิ่นรับรู้ได้รางๆ ว่ามีคนเดินเข้ามา และก็ออกไปแล้ว

 

 

นางอดไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา มองสำรวจไปรอบด้านด้วยน้ำตานองหน้า

 

 

แต่ภายในห้องกลับมีเพียงนางกับเฉิงฉือเท่านั้น

 

 

บางทีอาจเป็นตนที่เข้าใจผิดไปเอง!

 

 

โจวเสาจิ่นพยายามครุ่นคิด ไม่นานก็โยนเรื่องนี้ทิ้งไปอย่างรวดเร็ว

 

 

เฉิงฉือกลับรู้สึกโล่งไปเปลาะหนึ่ง

 

 

เห็นดวงตาและจมูกของนางแดงก่ำ ดูราวกับเด็กน้อยผู้หนึ่งก็ไม่ปาน ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ดึงผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมายื่นส่งให้โจวเสาจิ่น “เช็ดน้ำตาเสีย”

 

 

โจวเสาจิ่นรับผ้าเช็ดหน้ามาด้วยความอับอาย

 

 

นางไม่คิดมาก่อนว่าจะมาร้องไห้ต่อหน้าท่านน้าฉือ

 

 

เดิมทีนางวางแผนเอาไว้ว่าจะมาพูดคุยกับท่านน้าฉือดีๆ ให้ท่านน้าฉือรู้ว่าถึงแม้อายุนางยังน้อย แต่ก็พอมีประสบการณ์อยู่บ้าง…แต่ตอนนี้ ทุกอย่างกลับล้มไม่เป็นท่า

 

 

โจวเสาจิ่นรู้สึกหัวเสียยิ่งนัก

 

 

ลอบสำรวจสีหน้าของเฉิงฉืออยู่เงียบๆ

 

 

เฉิงฉือนั่งอยู่บนเก้าอี้มีเท้าแขนด้วยท่วงท่าสบายๆ สีหน้ายังคงอ่อนโยนเป็นอย่างมากอยู่เช่นเดิม ดูเหมือนกับว่าไม่ได้รู้สึกรำคาญใจต่อการร้องไห้ของนางเลยอย่างไรอย่างนั้น

 

 

นางรู้สึกผ่อนคลายลงราวกับได้ปลดภาระอันหนักอึ้งออกไป

 

 

เมื่อเห็นเฉิงฉือขยับตัวไปยกถ้วยชา โจวเสาจิ่นรีบกระโดดลุกขึ้นมา กล่าวขึ้นว่า “ท่านน้าฉือ ชาเย็นแล้วกระมัง ข้าจะชงชาให้ท่านใหม่สักถ้วยหนึ่งนะเจ้าคะ” จากนั้นก็หยิบถ้วยชาบนโต๊ะมาแล้ววิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

 

 

……………………………………………………………………………….