ตอนที่ 257 เพียงเพราะเธอเหมาะสม / ตอนที่ 258 ยืมตัวฟางจือหัน

ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ

ตอนนี้ 257 เพียงเพราะเธอเหมาะสม

 

หลังจากลบข้อความที่พิมพ์เรียบร้อยแล้วออก อวี๋กานกานก็พิมพ์ใหม่อีกครั้ง: ยุ่ง

 

นี่เป็นคำอธิบายว่าทำไมเธอถึงไม่กลับบ้าน และไม่ใช่ยอมรับว่าบ้านของเขาคือบ้านของเธอ

 

อวี๋กานกานรู้สึกว่าตัวเองค่อนข้างจะคิดแบบไม่มีเหตุผล

 

เธอฟุบตัวลงบนโต๊ะ

 

ถึงแม้ว่าฟางจือหันจะเป็นสามีปลอมๆ ของเธอ บ้านของเขาก็ถือว่าเป็นบ้านของเธอได้แบบชั่วคราว ทำไมเธอต้องบอกว่าอันนั้นก็ไม่ใช่อันนี้ก็ไม่ใช่ พอได้ยินชื่อเขา พอได้ข่าวเขา เธอก็จะรู้สึกอึดอัดขึ้นมามากกว่าปกติ

 

มีคนเคาะประตูจากด้านนอก

 

อวี๋กานกานสลัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไป แล้วลุกขึ้นไปเปิดประตู

 

คนที่ยืนอยู่ด้านนอกคือซย่าเฉิงโจว ใบหน้าหล่อเหลาและดูเป็นผู้ใหญ่เจือไปด้วยรอยยิ้มบาง

 

นึกถึงเรื่องของซูจิ่วซานก่อนหน้านี้ อวี๋กานกานก็ค่อนข้างจะปฏิเสธที่จะพูดคุยกับเขา “รุ่นพี่เซี่ยมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ”

 

ซย่าเฉิงโจวยิ้มบาง ยามที่เอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจัง “ผมมาหาหมออวี๋เพราะมีธุระจริงๆ คุณพอจะมีเวลาว่างไหม”

 

อวี๋กานกานพยักหน้า

 

เธอตามซย่าเฉิงโจวไปที่ห้องประชุมสมาคมแพทย์แผนจีน เจอผู้จัดการหลี่ว์กับประธานสวี ประธานของสมาคมวิจัยและพัฒนายา

 

พอเห็นพวกเขาเข้ามา ผู้จัดการหลี่ว์ก็แนะนำสั้นๆ “ผมขอแนะนำนะครับประธานสวี คนนี้คือเสี่ยวอวี๋ หมออวี๋ที่ผมเคยพูดถึง เรื่องคุณนายตระกูลเย่ก็โชคดีที่ได้เธอช่วย!”

 

อวี๋กานกานพูดพร้อมรอยยิ้ม “สวัสดีค่ะประธานสวี”

 

ประธานสวีจับมือกับเธอ ใบหน้าเจือรอยยิ้ม “เสี่ยวอวี๋ เสี่ยวซย่าเป็นคนแนะนำคุณมา ผู้จัดการหลี่ว์ก็บอกว่าคุณเป็นคนมีความสามารถ สมาคมของเราก็เลยอยากเชิญคุณ”

 

หัวข้อการแลกเปลี่ยนและการวิจัยที่สมาคมการแพทย์จัดขึ้น ปกติจะมีวัตถุประสงค์ชัดเจนมาก ต้องการวิจัยและพัฒนาวิธีการตรวจรักษาและตำรับยาผสมที่ดีขึ้นกว่าเดิม

 

อาร์ทีมิซินินที่เคยทำให้สั่นสะเทือนก็เป็นผลจากการศึกษาวิจัยในหัวข้อนี้

 

บริษัทยาไป๋ฟัง เป็นบริษัทยาที่มีประสิทธิภาพที่สุดในปัจจุบัน และทุ่มกำลังคนมหาศาลเพื่อวิจัยและคิดค้นยาใหม่ๆ ทุกปี

 

และพวกเขาก็ตั้งเขตฐานขึ้นเพื่อคิดค้นยาใหม่ๆ โดยเฉพาะ

 

ครั้งนี้บริษัทยาไป๋ฟังช่วยเหลือสมาคมแพทย์แผนจีน จัดอบรมหัวข้อการแลกเปลี่ยนและวิจัยเป็นเวลาหนึ่งเดือน หลักๆ คืออยากจะร่วมมือพัฒนายาแบบใหม่กับสมาคมแพทย์แผนจีน

 

มุ่งเน้นไปที่สูตรยาสำหรับผลสืบเนื่องจากโรคโปลิโอโดยเฉพาะ

 

แน่นอนว่าด้วยคุณสมบัติของอวี๋กานกานย่อมไม่มีโอกาสที่จะได้รับเชิญอยู่แล้ว

 

และนี่ก็เป็นเพราะซย่าเฉิงโจวเสนอเธอกับประธานสวี

 

อวี๋กานกานนึกถึงซูจิ่วซานโดยอัตโนมัติ

 

ทั้งๆ ที่ซย่าเฉิงโจวรู้จักซูจิ่วซานมาก่อนแท้ๆ ทำไมถึงไม่เสนอซูจิ่วซาน แต่มาเสนอเธอแทน?

 

อวี๋กานกานพลันใจเต้นแรงขึ้นมา

 

หรือช่วงนี้เธอมีดวงดอกท้อ ซย่าเฉิงโจวคงไม่ได้ชอบเธอหรอกใช่ไหม?

 

พูดในใจ แย่ล่ะ

 

แบบนี้ซูจิ่วซานก็ยิ่งไม่ยอมปล่อยผ่าน

 

ซย่าเฉิงโจวพอจะเดาความคิดของอวี๋กานกานออก ดังนั้นเมื่อออกจากห้องประชุมแล้ว เขาจึงอธิบายให้ฟัง “ไม่ต้องคิดมาก ที่ผมเสนอคุณกับประธานสวีน่ะแค่เพราะเห็นว่าคุณเหมาะสม”

 

อวี๋กานกานเงียบคิด

 

ผลสืบเนื่องจากโรคโปลิโอเป็นเป็นโรคพิการร้ายแรงอย่างหนึ่ง

 

เมื่อการรักษาพัฒนาขึ้น อัตราการเกิดโรคโปลิโอก็ลดลงอย่างมาก ผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบก็ลดลงทุกปี

 

ทว่าก็ยังมีปัญหาการรักษาอย่างหนึ่งที่ควรให้ความสนใจเป็นอย่างมาก

 

ถ้าสามารถคิดค้นยาใหม่ได้ก็จะไม่ต้องกังวลผลที่ตามมาอะไรอีก ถือเป็นการก้าวหน้าไปอีกขั้นของวงการแพทย์

 

“งั้นก็ขอบคุณมากนะคะหมอซย่า”

 

“จริงๆ คุณไม่ต้องเกรงใจผมขนาดนั้น เรียกผมว่ารุ่นพี่ซย่าก็พอ”

 

อวี๋กานกานยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน

 

 

 

ตอนที่ 258 ยืมตัวฟางจือหัน

 

จริงๆ แล้วเรียกตามใจไปสักสองประโยคก็ไม่เป็นไร ทว่าอวี๋กานกานก็ไม่ได้พูดอะไร ทำให้บรรยากาศโดยรอบดูน่าอึดอัดขึ้นมา

 

ซย่าเฉิงโจวเองก็ไม่ได้ใส่ใจ เขายิ้มราวกับลมฤดูใบไม้ผลิ “เธอไม่ต้องเกรงใจจริงๆ ฉันแนะนำเธอเพราะประธานสวีรีเควสแพทย์แผนจีนที่เชี่ยวชาญแพทย์แผนจีนและตะวันตก ถ้าเธอเกรงใจจริงๆ หรืออยากขอบคุณฉัน งั้นก็เลี้ยงข้าวฉันสักมื้อก็พอ”

 

อวี๋กานกานชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะตอบรับพร้อมรอยยิ้ม “ไม่มีปัญหาค่ะ รุ่นพี่ซย่าว่างวันไหนคะ”

 

“ล้อเล่นน่ะ จะให้เธอมาเลี้ยงได้ยังไง ยังไงก็ต้องเป็นฉันเป็นคนเลี้ยง เย็นนี้เธอว่างหรือเปล่า ไปกินข้าวด้วยกันเถอะ” ซย่าเฉิงโจวพูดพร้อมยิ้มบาง จริงๆ ในใจเขากำลังกลัวอวี๋กานกานจะปฏิเสธ

 

เขาตื่นเต้นมาก ตื่นเต้นยิ่งกว่าตอนที่ออกเยี่ยมบ้านผู้ป่วยครั้งแรกเสียอีก

 

อวี๋กานกานไม่รู้ว่าควรจะพูดต่อยังไงดี

 

ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงไม่รู้สึกว่ามีปัญหาอะไร เธอมีรุ่นพี่เยอะแยะ กินข้าวด้วยกันสักมื้อก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่

 

แต่ไม่รู้ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าการแสดงออกของซย่าเฉิงโจวที่มีต่อเธอนั้นมันมีอะไรมากกว่านั้น

 

และความมีอะไรมากกว่านั้นที่ว่ายังทำให้ฟางจือหันไม่ชอบ ไม่พอใจ ถึงขั้นโมโหเลยด้วยซ้ำ

 

ดังนั้นเธอจึงลังเล ไม่รู้ว่าควรจะตอบเขาว่ายังไง

 

“ถ้างั้น…ไว้วันหลังฉันเลี้ยงข้าวหมอซย่าดีกว่านะคะ เพราะเดี๋ยวสามีฉันจะมารับแล้ว”

 

อวี๋กานกานไม่สนใจว่าซย่าเฉิงโจวคิดกับเธออย่างไร คิดอย่างที่เธอคิดหรือไม่ เธอต้องการให้ต่อจากนี้ ซย่าเฉิงโจวไม่คิดอะไรกับเธออีก มองเธอเป็นแค่เพื่อนธรรมดาทั่วไปคนหนึ่ง

 

สามี

 

ซย่าเฉิงโจวนิ่งไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินสองคำนี้

 

เธอแต่งงานแล้ว

 

เป็นไปได้ยังไง เธอยังสาวขนาดนี้แท้ๆ!!

 

มือที่ตกอยู่ข้างตัวของเขากำหมัดแน่น ค่อนข้างยอมรับได้ยาก แต่ภายนอกของซย่าเฉิงโจวยังคงมีรอยยิ้ม “ได้ ไม่เป็นไร”

 

ในใจเต็มไปด้วยความผิดหวัง

 

เดิมทีเขาคิดว่าการเจอผู้หญิงที่ชอบสักคนไม่ใช่เรื่องง่าย ต่อให้มีแฟนแล้วก็ไม่เป็นไร เขาจะพยายามแย่งอย่างสุดความสามารถ เขาไม่อยากให้ตัวเองต้องมานึกเสียใจทีหลัง

 

ไม่คิดว่าตั้งแต่ได้รู้จักกับเธอ ไม่ว่าเขาจะทำอะไร เขาก็แพ้แล้ว

 

อวี๋กานกานถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เธอคิดว่าซย่าเฉิงโจวน่าจะเข้าใจแล้ว

 

เธอไร้คุณธรรมมากที่ยืมตัวฟางจือหันมาใช้แบบนี้

 

บางครั้งฟางจือก็มีประโยชน์จริงๆ ราวกับที่หลบภัยที่ทั้งสบายและอบอุ่น

 

อวี๋กานกานกลับถึงหอพัก แล้วเอาโทรศัพท์ออกมา ตัดสินใจส่งข้อความหาฟางจือหัน

 

ขณะที่กำลังลังเลว่าจะส่งอะไรอยู่นั้น โทรศัพท์ก็พลันดังขึ้น ทำเอาเธอผงะตกใจ

 

เธอไม่ได้ถือโทรศัพท์เอาไว้แน่น มันขยับอยู่กลางฝ่ามือ เกือบตกลงพื้น

 

โชคดีที่เธอเร็วพอคว้าเอาไว้ทัน

 

อวี๋กานกานข่มใจสั่นๆ ของตัวเองไว้ ยามที่กดรับและยกขึ้นมาแนบหูที่แดงก่ำ

 

เธอยังไม่ทันได้พูดอะไร เสียงของฟางจือหันที่อยู่ปลายสายก็ดังขึ้นเสียก่อน “ออกมา ฉันรออยู่หน้าสมาคม”

 

เสียงที่มีเสน่ห์และแหบต่ำเจือไปด้วยความเผด็จการ ราวกับเหล้าที่ทำให้คนมึนเมากระตุ้นให้เกิดแรงกระเพื่อมขึ้นในใจ

 

อวี๋กานกานตอบรับเบาๆ “อืม”

 

เธอเอาเสื้อคลุมกับผ้าพันคอมาใส่ จากนั้นถึงถือกระเป๋าวิ่งออกไปข้างนอก

 

ลมเย็นๆ พัดต้นไม้ริมถนนจนเกิดเสียง ตอนนี้เป็นฤดูหนาวที่เย็นจนแข็ง แต่เขากลับยืนอยู่นอกรถ กลิ่นอายเย็นยะเยือกแผ่ไปทั่วทั้งตัว เขาอยู่ในเสื้อคลุมสีเบจตัวใหญ่กับผ้าพันคอสีดำ ใบหน้าราวกับหิมะ สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ

 

มีควันเย็นๆ ออกมาจากปาก ยามที่อวี๋กานกานหยุดลงตรงหน้าเขาและถามเสียงเบา “คุณมาได้ยังไงคะ”