ส่วนที่ 6 คุณหนูใหญ่หวนคืน ตอนที่ 8 คุณหนูใหญ่หวนคืน

ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก

“ชิงจิ่น!”

 

 

มองเห็นเฉินชิงจิ่นเสื้อผ้าหลุดรุ่ยเนื้อตัวสั่นเทา คนแรกที่ตอบสนองต่อเหตุการณ์ได้ก่อนใครคือพี่ชายสุดที่รักเฉินอวี้ซู เขารีบเหาะลงม้าไป ดึงเสื้อคลุมตัวนอกของตนเองห่อกายของเฉินชิงจิ่นเอาไว้

 

 

“พี่ใหญ่…”

 

 

สีหน้าของเฉินชิงจิ่นในเวลานี้เต็มไปด้วยความเขินอายและฉุนเฉียว ตลอดทั้งร่างม้วนขดเข้าหาอ้อมอกของเฉินอวี้ซู

 

 

ในสถานที่ไม่ไกลพวกชนชั้นสูงทั้งหลายต่างส่งเสียงซุบซิบกันอยู่ ติดที่หน้าตาของตระกูลเฉิน พวกเขาจึงไม่กล้าที่จะพูดคุยกันอย่างออกนอกหน้า กลายเป็นชินเย่ว์ที่อยู่ด้านข้าง เขาหรี่ตาลงอย่างคิดหนักมองไปทางฉินถิงที่สีหน้าเจ้าเล่ห์อยู่ไม่ไกลออกไป จากนั้นก็มองกลุ่มคนที่อยู่อย่างอ้อยอิ่ง “ทุกคนมีใครเห็นคุณหนูซูบ้าง”

 

 

ซูหว่าน

 

 

ผู้คนทั้งหลายต่างพากันมองหน้าสลับกันไปมา ตลอดทางที่มาไม่มีใครเห็นแม้แต่เงาของซูหว่าน

 

 

“คุณหนูเฉิน สิ่งที่โจมตีท่านมีแค่เสือขาวตัวเดียวเช่นนั้นรึ”

 

 

ฉินเย่ว์ลงจากหลังม้ามายืนบนพื้น เห็นรอยเท้าที่ทับกันสะเปะสะปะ ก็ขมวดคิ้วถามออกมาประโยคหนึ่ง

 

 

“ใช่ เป็นเสือสีขาวตัวหนึ่ง”

 

 

ในเวลานี้จิตใจของเฉินชิงจิ่งฟื้นกลับคืนมาแล้ว นางก็นึกขึ้นได้ว่าก่อนตัวเองสลบไป ภาพสุดท้ายที่เห็นคือเสือดุร้ายสีขาวตัวหนึ่ง ในตอนนั้นเสือร้ายตัวนี้กระโจนเข้ามาหาอย่างมาดร้าย ในเวลานั้น นางคิดว่าตัวเองต้องตายแล้วเป็นแน่ แต่ใครจะรู้ว่าผลสุดท้ายจะเป็น…

 

 

“โอ๊ะโอ คิดไม่ถึงว่าเสือขาวตัวนั้นจะเป็นเสือลามก”

 

 

ท่ามกลางหมู่คน เฉินอวี้ซูที่อยู่ด้านหน้าเฉินชิงจิ่นตัวแข็งทื่อใบหน้าเย็นชา สายตาเฉียบคมกวาดมองไปยังกลุ่มคน พลันคนนั้นก็ก้มหน้าลงไม่กล้าพูดอะไรอีก

 

 

กลายเป็นฉินเย่ว์ที่สบโอกาสเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเพื่อทำลายความอึดอัดที่เกิดขึ้น “ตอนนี้คุณหนูเฉินไม่เป็นอะไรแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเสือร้ายสีขาวตัวนั้นหนีหายไปทางไหน คุณหนูซูจะปลอดภัยหรือไม่ ทุกคนน่าจะแยกย้ายกระจายกำลังกันค้นหนา ทุกคนคงไม่มีใครอยากเห็นคุณหนูซูได้รับอันตรายหรอกใช่หรือไม่”

 

 

“ใช่ๆๆ!”

 

 

“ถูกต้อง ที่องค์ชายสองกล่าวมาถูกต้องที่สุด!”

 

 

มีฉินเย่ว์มาแก้ไขสถานการณ์ กลุ่มคนที่รายล้อมตอบรับพร้อมหันหัวม้าเตรียมกระจายกำลังกันออกไปเพื่อตามหาล่องรอยของซูหว่าน

 

 

ในตอนนี้ฉินถิงที่เงียบมาโดยตลอดก็กระโดดลงจากหลังม้า เขาเก็บสายตาที่ดูน่าสงสัย สีหน้าเป็นมิตรเดินไปทางสองพี่น้องเฉิน “อวี้ซู ซูหว่านเป็นคู่หมั้นของเจ้า ทางที่ดีเจ้าก็ไปตามหาเถอะ หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา เจ้าจะไม่มีหน้าไปพบสกุลซูได้ ส่วนชิงจิ่นเจ้าไม่ต้องกังวล ข้าจะช่วยดูแลให้เอง!”

 

 

“องค์ชายห้า…”

 

 

เฉินอวี้ซูเกิดความสงสัยเล็กน้อย เนื่องด้วยชายหญิงสัมผัสตัวกันไม่เหมาะสม ส่งมอบน้องสาวตัวเองให้องค์ชายห้าดูแลดูจะไม่เหมาะสม แต่เมื่อคิดถึงคู่หมั้นของตัวเองที่เป็นตายร้ายดียังบอกไม่ได้นั้น…

 

 

ในตอนที่เฉินอวี้ซูกำลังใคร่ครวญอยู่นั้น เฉินชิงจิ่นกลับจงใจซุกเข้าหาอ้อมกอดของเฉินอวี้ซู “พี่ใหญ่ อย่าไปนะ ข้ากลัวๆ…”

 

 

เมื่อพูดได้ถึงตรงนี้ เฉินชิงจิ่นก็สีหน้าซีดเผือด ทำหน้าเราวกับจะร้องไห้ก็มิปาน

 

 

“เอาน่า ไม่ต้องกลัว พี่จะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าเอง”

 

 

เฉินอวี้ซูถอนหายใจ เงยหน้าขึ้นไปสบสายตากับฉินถิงพอดี “องค์ชายห้าต้องขอบคุณในความหวังดีของท่านเป็นอย่างมาก แต่ให้ข้าเป็นผู้ดูแลน้องสาวเองจะดีกว่า ต้องขอรบกวนให้ท่านช่วยตามหาคุณหนูซูแทนแล้ว”

 

 

“ไม่เป็นไร งั้นเจ้าพาชิงจิ่นออกไปก่อนเถอะ!”

 

 

ฉินถิงยิ้มตอบรับคำ ในตอนที่หันไปกลับทำสีหน้าขรึมราวน้ำนิ่ง…

 

 

เมื่อเห็นผู้คนที่มุงอยู่ไปกันแล้ว เฉินอวี้ซูก็ก้มลงมองน้องสาวในอ้อมกอด สายตาเต็มไปด้วยความสงสาร “ชิงจิ่นไม่ต้องกลัว พี่จะพาเจ้าออกไปจากสนามล่าสัตว์นี่เอง เจ้าวางใจเถอะ เรื่องวันนี้…พี่จะช่วยทำให้ทุกอย่างเรียบร้อยเอง”

 

 

ในยุคนี้ชื่อเสียงของสตรีถือเป็นสิ่งสำคัญมาก เฉินอวี้ซูในฐานะพี่ใหญ่จะต้องคำนึงถึงน้องสาวเป็นหลัก

 

 

“ขอบคุณพี่ใหญ่”

 

 

เฉินชิงจิ่นเอียงซบในอ้อมกอดของเฉินอวี้ซู ภายในใจส่วนลึกก็ลอบถอนหายใจออกมา หากรู้ว่าวันนี้จะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น นางจะไม่เข้าร่วมการล่าสัตว์ด้วยตัวเองอย่างแน่นอน น่าเสียดาย “หากรู้ก่อน” อีกทั้ง ถึงแม้ว่าจะเกิดใหม่อีกครั้ง มีเรื่องบางเรื่องนางไม่อาจควบคุมได้…

 

 

รอจนกระทั่งเหตุการณ์ชุลมุนผ่านไป ซูรุ่ยถึงได้พาซูหว่านกระโดดลงมาจากต้นไม้ใหญ่

 

 

“เรียบร้อยแล้ว เวลาก็ล่วงเลยมาพอสมควร ข้าก็จะต้องปรากฏตัวบ้างแล้ว หากถูกฉินเย่ว์สงสัยเข้ายิ่งไม่ดีเข้าไปใหญ่”

 

 

ท่ามกลางคนที่อยู่ในวันนี้ คนที่จิตใจยากแท้หยั่งถึงก็คือฉินเย่ว์ สำหรับพระเอกที่คิดแผนการได้แยบยล ซูหว่านนั้นไม่กล้าเป็นศรัตรูด้วย

 

 

ฉินเย่ว์…

 

 

สายตาของซูรุ่ยเข้มขึ้น “หมอนั่นก็ดูจะเป็นห่วงเจ้ามากอยู่นะ พวกเจ้าสองคนสนิทกันรึ เขาชอบเจ้าหรือเปล่า”

 

 

ซูหว่าน …

 

 

พี่ชาย ระหว่านางและเขาไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย ไม่ต้องมาหึงหวง พวกเราประหยัดได้ก็ช่วยกันประหยัดดีกว่า ช่วงนี้ใช้ชีวิตไม่ง่ายเลย น้ำส้มสายชูนั้นราคาแพง

 

 

เมื่อเห็นซูหว่านถลึงตาใส่ตัวเอง ซูรุ่ยทำได้แค่ยิ้มแห้งๆ แต่ภายในใจกลับจดไว้คิดบัญชีกับฉินเย่ว์แล้ว

 

 

ในตอนนี้เองเจ้าขาวที่ไปป่วนด้านนอกให้วุ่นวายเดินกลับมาอย่างงุ่นง่าน ราชาเสือขาวตัวนี้เป็นประเภทที่หาพบได้ยากยิ่ง รู้ภาษาเป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าภายในใจลึกๆ แล้วจะกลัวซูรุ่ย แต่สันชาตญาณของสัตว์นั้นไวเป็นพิเศษ มันรับรู้ได้ตั้งนานแล้วว่าในป่าแห่งนี้คนที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือซูรุ่ย

 

 

แน่นอนว่า ถึงแม้ซูรุ่ยจะเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ราชาเสือขาวเดินอย่างเชื่องช้าไปยังข้างกายซูหว่าน ยกขาหน้าราวกับกำลังทำตัวเป็นมิตรกับรองเท้านางอย่างไรอย่างนั้น

 

 

ดังนั้นเรื่องกลัวภรรยาหัวหดอะไรทำนองนั้น ราชาเสือตัวนี้มองออกทะลุปรุโปร่งตั้งแต่แรกแล้วเถอะ

 

 

ถึงเจ้าจะเก่งกาจเพียงใด อย่างไรก็ยังต้องฟังภรรยาเจ้าอยู่ดี

 

 

ซูหว่านรับรู้ได้ถึงการแสดงความเป็นมิตรจากราชาเสือขาว นางหลุบตามองต่ำ บังเอิญกับที่ไปบรรจบกับดวงตาที่เฉลียวฉลาดคู่นั้นพอดี ตาของซูหว่านมองผ่านไป พลางยิ้มและกล่าวว่า “ ในเมื่อม้าของข้าไม่อยู่แล้ว ไม่สู้อีกหน่อยเจ้ามาเป็นสัตว์พาหนะของข้าก็แล้วกัน ข้าจะพาเจ้ากลับบ้าน!”

 

 

ราชาเสือขาว …

 

 

ซูรุ่ย พาข้ากลับไปด้วย…

 

 

เมื่อเห็นทั้งเสือและคนยืนเหม่ออยู่ข้างกาย สายตาของซูหว่านก็เย็นชาลงทันที “ทำไม เจ้าไม่ยอมหรือ”

 

 

“ยอม!”

 

 

ซูรุ่ยที่ยืนอยู่ด้านข้างรีบตอบกลับมา “มันยอม ถ้าไม่ยอมข้าจะฆ่ามันเสียเดี๋ยวนี้”

 

 

ราชาเสือขาว ฆ่าสัตว์พิเศษหายากมันผิดกฎ พวกเจ้ามันไร้คุณธรรม ไม่มีคุณธรรมเอาเสียเลย!

 

 

ถึงแม้ภายในใจจะคิดถึงป่าดงพงไพรและอิสระเสรี แต่สุดท้ายราชาเสือตัวหนึ่งก็ยอมต่อความเจ้าเล่ห์เพทุบายของแม่ทัพซู ดังนั้นเมื่อทุกคนที่อยู่ในป่าเขาได้ยินเสียงเสือร้องคำรามเดินตามเข้ามาในป่าลึกนั้นก็เห็นภาพเหตุการณ์แบบนี้

 

 

เสือขาวปลอดตลอดทั้งตัวเดินอย่างเชื่องช้าอยู่ระหว่างพุ่มไม้ และคนที่นั่งชี่อยู่บนหลังคอของมันเป็นสตรีงดงามวัยเยาว์ในชุดทะมัดทะแมงสีน้ำเงินไพลิน

 

 

นี่…นี่…

 

 

เมื่อได้เห็นฉากนี้ทุกคนพากันอ้าปากค้าง

 

 

หรือว่าพวกเราล่าไม่ถูกวิธี

 

 

“ซูหว่าน”

 

 

คนที่ดึงสติกลับมาได้ก่อนก็คือฉินเย่ว์ เขาขมวดคิ้วเป็นปม มองซูหว่านที่นั่งอยู่บนหลังเสืออย่างสนใจ “เสือตัวนี้คือ…”

 

 

“องค์ชายสอง ท่านดูสิมันน่ารักหรือไม่”

 

 

ซูหว่านได้ฟังคำกล่าวของฉินเย่ว์ ก็เริ่มยิ้มแอ๊บแบ๊วใส่ ตามมาด้วยการพูดกระซิบกับตัวเอง “เมื่อซักครู่หม่อมฉันพบเจอมันในป่า ม้าของหม่อมฉันก็กลัวจนไม่กล้าวิ่งแล้ว เฮ้อ! ตอนนี้จึงได้แต่ขี่มันแทน มันชื่อเจ้าขาว เป็นชื่อที่หม่อมฉันตั้งให้มันเองเพคะ ชื่อเหมาะสมกับมันดีหรือไม่ อุ๊ยตาย ท่านดูสิมันสวยขนาดไหน! สวยกว่าม้าสาวที่บ้านของข้าเสียอีก อีกหน่อยทุกวันที่ออกจากบ้านก็จะได้พามันไปเดินเล่นด้วยกันแล้ว!”

 

 

ฉินเย่ว์ …

 

 

ฝูงชน …

 

 

คุณหนูใหญ่ตระกูลซู นางเปนบ้าหรือว่าโง่กันแน่

 

 

พาราชาเสือไปเดินเล่น ในเมืองหลวงหรือ

 

 

ภายในใจของฝูงชนในตอนนี้ล้วนคิดไปในทางเดียวกัน อยากจะทราบเสียจริงว่าคุณหนูใหญ่ตระกูลซูกินอะไรถึงโตขึ้นมา ใจกล้าบ้าบิ่นถึงเพียงนี้!