ซ่งฝูเซิงมีสีหน้าประหลาดใจ ก่อนจะเดินเข้ามาทักทาย
บอกตามตรง เขาไม่รู้ว่าลูกสาวของเขาออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ออกไปทำอะไร?
นี่ยังดีที่ภรรยาของเขาไม่อยู่ มิเช่นนั้นคงด่าทอเขาที่ละเลยลูกสาว
แน่นอนว่า ลูกสาวของเขาไม่มีทางที่จะเดินหลงทาง เขาสบายใจได้ เขาอาจจะเดินหลงทาง แต่นางไม่มีทางเดินหลงทางแน่นอน
“ต้องการเท่าไหร่?”
เสี่ยวเออร์โรงน้ำชาหยิบถั่วเมล็ดสนขึ้นมาดู เมล็ดใหญ่ เถ้าแก่สั่งเขามา ถ้าเมล็ดใหญ่ก็ให้ซื้อมา “ในกระสอบนั่นก็เป็นแบบนี้ทั้งหมดใช่หรือไม่?”
เกาถูฮู่ดีใจจนเก็บอาการแทบไม่อยู่ พั่งยาเดินออกไปแค่ครู่เดียว ตอนกลับมายังพาลูกค้ากลับมาด้วย ไม่เสียเวลาที่ออกไปเดินจริงๆ
เด็กคนนี้ไม่รู้จะชื่นชมนางอย่างไรดี เขารีบพูดโฆษณาขายสินค้า
“ใช่ๆ ท่านพลิกดูได้เลย หรือจะเทจากกระสอบออกมาดูก็ได้นะ พวกข้าไม่โกหกหลอกลวง ของดีก็บอกว่าดี”
เสี่ยวเอ้อร์โรงน้ำชา “ถ้างั้นพวกเจ้าขนไปส่งให้ข้าร้อยกิโลแล้วกัน”
ซ่งฝูเซิงเหลือบตามองกระสอบที่เหลือ เขาถามขึ้น “เหลือทั้งหมดกี่กิโล?”
หนิวจั่งกุ้ยตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เรียนนายท่าน เหลือประมาณหนึ่งร้อยห้าสิบกิโลแล้ว เหลือกระสอบเพียงแค่นี้ ขายหมดพวกเราก็กลับบ้านได้แล้ว”
เสี่ยวเอ้อร์โรงเตี๊ยมไม่ยอม วันนี้ไม่ใช่เถ้าแก่ธรรมดาเป็นคนตัดสินใจ แต่เป็นเถ้าแก่เจ้าของโรงเตี๊ยมมาตรวจเช็คบัญชี “นี่ ทำแบบนี้ไม่ได้สิ เถ้าแก่ร้านบอกว่าพวกเจ้าจะสอนทำอาหาร ถ้าทำอร่อย พวกเราก็เอาหนึ่งร้อยกิโล ตอนนี้เจ้ามีถั่วเมล็ดสนเหลืออยู่หนึ่งร้อยห้าสิบกิโลให้เขาหนึ่งร้อยกิโล ถ้าพวกเราจะซื้อก็ไม่พอนะสิ”
ซ่งฝูเซิงสบตากับลูกสาว
ซ่งฝูหลิงพยักหน้าให้ท่านพ่อ เสี่ยวเอ้อร์คนนั้นไม่ได้พูดโกหก “นางเพิ่งพูดคุยตกลงกับเถ้าแก่ร้านมาแบบนี้ นางบอกว่าพ่อของนางสามารถผัดถั่วเมล็ดสนกับเม็ดข้าวโพดได้ และให้เมนูอาหารหนี่ว์ซื่อไช่ ฟรี”
แต่นางก็ไม่รู้ว่าของมีเหลืออยู่แค่นี้แล้ว ตอนที่นางจะออกไปยังดูเหมือนยังมี5-6กระสอบนะ นางไปสถานที่อันอบอุ่นเพื่อเข้าห้องน้ำ นางไม่อยากยืนนิ่งริมถนนเพื่อรอลูกค้าแล้ว นางจึงไปเสนอขาย แต่คาดไม่ถึงว่าของจะไม่พอขาย
ไม่ว่าของจะพอหรือไม่พอ ของก็เหลือเพียงเท่านี้ พวกเขาก็ไม่สามารถเสกถั่วเมล็ดสนมาเพิ่มได้
ซ่งฝูเซิงบอกให้เกาถูฮู่กับหนิวจั่งกุ้ยขนของไปส่งที่โรงน้ำชา
แล้วเรียกเด็กหนุ่มทั้งสองแบกห้าสิบกิโลที่เหลือตามหลังเสี่ยวเอ้อร์กับซ่งฝูหลิงไปส่งของที่โรงเตี๊ยม เขาก็จะตามไปอธิบาย ส่วนเด็กหนุ่มที่เหลือก็เก็บสิ่งของบนแผงลอยและเครื่องชั่ง
ซ่งฝูเซิงไม่ไปด้วยก็ไม่ได้ เขาต้องไปแสดงฝีมือการทำอาหาร
การค้าขายครั้งนี้ยังต้องไปทำอาหารที่โรงเตี๊ยมอีก
พ่อครัวซ่งลงมือทำอาหารเอง ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้
ความสามารถนี้ร่ำเรียนมากับท่านพ่อตาในยุคปัจจุบันเมื่อหลายปีมาแล้ว เขาทำอาหารได้อย่างคล่องแคล่ว ควบคุมความร้อนในการทำอาหารได้เป็นอย่างดี
เถ้าแก่เจ้าของร้านแซ่หวังรู้สึกประหลาดใจและอยากจะดึงคนมาทำงานด้วย
อาหารเพิ่งออกจากเตา ยังไม่ทันได้ชิม เขาก็สอบถามซ่งฝูเซิงว่า “ทำไมถึงทำอาหารเป็น?”
ซ่งฝูเซิงรู้ว่าในยุคโบราณนี้ ถ้าเป็นชายแท้แต่มาบอกว่าอยู่บ้านไม่มีอะไรทำถึงต้องมาทำอาหาร อาจทำให้คนหัวเราะเยาะได้
แต่เขาไม่อยากจะแต่งเรื่องว่าเฉียนเพ่ยอิงล้มป่วยร่างกายอ่อนแอ เขาถึงจำเป็นต้องทำอาหาร เขาไม่อยากแช่งภรรยาของตนเอง ภรรยายอมทนลำบากกับเขาก็เหนื่อยมากพอแล้ว ทั้งสองยุคก็ต้องมาเริ่มต้นสร้างฐานะครอบครัวใหม่พร้อมกับเขา ต้องมาเหนื่อยแทบตาย
เขาใช้มือลูบใบหน้า จะนินทาก็นินทาเถอะ
ซ่งฝูเซิงอธิบายว่า “เริ่มแรกตนเองได้แต่งงานกับคุณหนูท่านหนึ่งซึ่งเป็นลูกสาวของเศรษฐี ข้ารู้สึกว่าชีวิตของข้านี้ช่างโชคดีนักและรู้สึกดีกับนางมาก อยากให้ภรรยารู้สึกดีกับข้าเช่นกัน ข้าจึงศึกษาวิธีทำอาหารอร่อยๆ ด้วยตนเองให้นางได้กิน…
…ถึงทำอาหารผัดถั่วเมล็ดสนกับเม็ดข้าวโพด หนี่ว์ซื่อไช่ ได้ก็เพราะแบบนี้”
เถ้าแก่ร้านกับเถ้าแก่ดูแลร้านมองหน้ากัน ทั้งสองคนไม่รู้ว่าจะสนทนาอะไรต่อดี
เกิดมาไม่เคยพบเจอคนประเภทนี้
คำพูดที่ออกจากใจแบบนี้ คนธรรมดาคงเก้อเขินไม่กล้าพูดออกมาหรอก
เถ้าแก่หวังยกมือป้องปากกระแอมเบาๆ ก่อนจะเปลี่ยนไปพูดหัวข้อสนทนาอื่น
เถ้าแก่หวังถามซ่งฝูเซิง “ข้าเห็นความสามารถการทำอาหารของเจ้าแล้ว คงไม่ได้มีแค่ผัดถั่วเมล็ดสนกับข้าวโพดใช่ไหม มีศึกษาการทำอาหารแบบอื่นหรือไม่? อยากลองแสดงฝีมือดูอีกสักเมนูไหม ถ้าจะทำเป็นแบบอื่นก็ได้ ข้าสามารถพิจารณาให้เจ้ามาทำงานในร้านของข้าได้”
ทำงานก็เท่ากับต้องเข้าทำงานทุกวัน นี่ก็เปรียบเสมือนหางานทำในเมืองได้แล้ว ในทุกๆ เดือนจะมีรายได้ที่แน่นอน นี่เป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง
เด็กหนุ่มสองคนที่ติดตามมาต่างก็มีรอยยิ้มบนใบหน้า แต่คิดไม่ถึงว่าลุงสามจะตอบปฏิเสธทันที
ลุงสามบอกว่า เขาเป็นบัณฑิตคนหนึ่ง ถึงแม้ตอนนี้การสอบเข้ารับตำแหน่งราชการจะหยุดไป แต่เขาเชื่อมั่นว่าอีกไม่นานจะมีการฟื้นฟูการสอบกลับมาอีกครั้ง
ลุงสามบอกว่า เขายิ่งเชื่อมั่นว่าท่านอ๋องเยี่ยนจะทำให้บ้านเมืองสงบและวันนั้นจะเป็นวันฟื้นฟูการสอบให้กลับมามีอีกครั้ง
โอกาสมีไว้สำหรับคนที่เตรียมความพร้อมเสมอ เขาจะท่องตำราอยู่บ้านเป็นกิจวัตรประจำวันเพื่อจะได้สอบรับราชการสร้างชื่อเสียงในอนาคต ทั้งชีวิตของเขาจะจดจำและซาบซึ้งในบุญคุณเสมอ และจะตอบแทนคุณที่ท่านอ๋องมีนโยบายในการช่วยเหลือบัณฑิตอย่างพวกเขาเป็นพิเศษ
บัณฑิตถูกยกระดับฐานะไว้สูงมากกว่าอาชีพอื่นใด
คำพูดปลุกระดมจิตใจนี้ทำให้ซาบซึ้งถึงก้นบึ้งจิตใจ ทำให้เจ้าของโรงเตี๊ยมจวี้ผิ่นหยวนกับเถ้าแก่ดูแลร้านหันหน้าไปทางเมืองเฟิ่งเทียนแล้วยกมือเพื่อทำการคำนับขอบคุณ
พวกเขาคาดไม่ถึงจริงๆ คนที่ทำอาหารเป็นคนนี้จะเป็นบัณฑิตด้วย และยังสามารถพูดออกมาได้เช่นนี้ ความเงียบกลับมาอีกครั้ง
คนนี้ช่างเป็นคนที่พิเศษมาก น่าค้นหา
เถ้าแก่หวังถาม “ท่านแซ่อะไร?”
“ข้าน้อยแซ่ซ่ง”
เถ้าแก่หวังเอ่ยขึ้น “น้องชายซ่ง ต่อไปถ้ามีถั่วเมล็ดสนแบบนี้หรือพวกของป่าหายาก พวกเจ้าสามารถเอามาจากบนเขาได้และโรงเตี๊ยมของพวกข้าสามารถใช้ได้ เจ้าก็มาที่นี่หน่อย ถ้าโรงเตี๊ยมจำเป็นต้องการอะไรก็จะรับซื้อไว้”
ซ่งฝูเซิงยกมือขึ้นคำนับขอบคุณ ความจริงแล้วจุดมุ่งหมายของเขาคือสิ่งนี้ ตั้งแต่เข้ามาในโรงเตี๊ยมทักทายจนถึงการทำอาหาร เขามีท่าทีนอบน้อมก็เพื่อให้เถ้าแก่เจ้าของโรงเตี๊ยมประทับใจในตัวเขาและเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับ “กุยช่ายขาว” ที่เขาปลูกอยู่ในห้องใต้ดิน
เด็กหนุ่มสองคนที่ตามมามีแววตาเป็นประกายทั้งยังแอบคิดว่า ดูลุงสามของพวกเขาสิ ได้ฟังคำพูดที่ฮึกเหิมนั้น พวกเขาก็ภาคภูมิใจในตัวของลุงสามยิ่งนัก
แต่ซ่งฝูหลิงกลับกำลังครุ่นคิดอยู่สองเรื่อง
ข้อหนึ่ง พวกเจ้ายังจะเชื่อจริงๆ ? ท่านพ่อของข้า ท่านจะทบทวนตำราสม่ำเสมอ?
ท่านพ่อตอบปฏิเสธ ในใจของเขาต้องคิดว่า ใครจะทำงานให้เจ้ากัน? ฝันไปเถอะ หลังจากนั้นก็พูดคำพูดที่ดูดีออกมา
แต่ว่าก็ไม่เลวนะ ไม่เลวจริงๆ ท่านพ่อเสมือนขุดหลุมให้ตนเองได้ไม่เลว ในอนาคตต้องศึกษาเล่าเรียน ถ้าต่อไปท่านพ่อไม่ทบทวนตำราเรียน ข้าก็จะใช้คำพูดเมื่อครู่นี้มาตอกย้ำกับท่าน
ข้อสอง
ซ่งฝูหลิงมองไปที่บันไดอยู่บ่อยครั้ง คนที่พักอยู่ห้องส่วนตัวข้างบน ห้องพรีเมี่ยมอะไรนี่ ไม่มีคนสำคัญเดินลงมาเลยหรือ? ในทีวีมักจะมีการแสดงฉากอย่างนี้ บางทีอาจจะมีฮ่องเต้ออกมาลาดตระเวนส่วนตัว มักจะปรบมือและเดินลงมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ช่างเถอะ บรรยากาศเงียบสนิทเลย เหตุการณ์ในละครทีวีนั้นมีไว้หลอกคน
ทางฝั่งซ่งฝูเซิงกับเถ้าแก่เจ้าของโรงเตี๊ยม เถ้าแก่ดูแลร้าน พวกเขาได้พูดคุยหัวข้อใหม่แล้ว
ไม่ใช่เพราะเขาชอบสนทนา ซ่งฝูเซิงคิดว่า พวกเขาไม่คุ้นเคยกับพื้นที่นี้เหมือนคนตาบอดใช้มือคลำ ไม่รู้จักใครเลยสักคน เมื่อคนอื่นยื่นมิตรไมตรีมา เขาก็ต้องรีบคว้าโอกาสไว้ มีเพื่อนเยอะ ก็ทำให้มีช่องทางเพิ่มมากขึ้น
เพื่อนคืออะไร? ก็เริ่มต้นมาจากคนที่ไม่รู้จักนั่นเอง เขาไม่มีเงินมากินเหล้าฟังเรื่องเล่ากับคนอื่น เขาจึงต้องหาโอกาสเสนอตนเองให้คนอื่นได้เห็นภาพลักษณ์ที่ดีของเขา การพบกันครั้งแรกอาจจะรู้สึกแปลกหน้า แต่พอพบเจอกันบ่อยครั้งก็จะเกิดความคุ้นเคยใช่หรือไม่? ก็ต้องใช้เส้นทางการสนทนาแบบนี้
“น้องชายซ่งเป็นคนมาจากทางตอนใต้หรือ”
“ใช่แล้ว ข้าไม่ปิดบัง ข้าพาครอบครัวอพยพมาจากสถานที่ที่มีอันตรายรอบด้าน ยังดีที่ท่านอ๋องให้ความเมตตากับคนเป็นบัณฑิต ระหว่างทางจึงสามารถเข้าพักห้องพักราคาถูกในโรงเตี๊ยมได้ ข้าซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง ต่อมาระหว่างทางก็ใช้วิธีเก็บถั่วเมล็ดสนขายหารายได้เป็นค่าเดินทาง วันนี้ลูกสาวเข้ามาขายของโดยพลการก็เพื่อนำเงินไปซื้อข้าวสาร ต้องขอโทษที่ไร้มารยาท หวังว่าทุกท่านจะให้อภัย”
“อ่อ พวกข้าเคยได้ยิน ใช่ไหมเถ้าแก่?”
เถ้าแก่หวังหันไปมองเถ้าแก่ดูแลร้าน ก่อนจะบอกกับซ่งฝูเซิงว่า “พวกข้าก็เคยได้ยิน…
…ทุกเมืองรวมทั้งเมืองเฟิ่งเทียน ในเมืองตอนนี้มีการก่อตั้งที่ทำการชั่วคราว ส่วนรายละเอียดเรียกว่าอะไรนั้นก็ไม่รู้ สร้างไว้เพื่อช่วยเหลือผู้อพยพลี้ภัยอย่างพวกเจ้า พูดตามตรงก็คือสถานที่แจกอาหารแห้งแก่พวกเจ้า พวกเจ้าไม่รู้เลยหรือ?”
เมื่อเถ้าแก่หวังพูดถึงตรงนี้ก็หยุดชะงักทันที ทำให้เขาฉุกคิดถึงเรื่องทุจริตที่อาจเกิดขึ้นในหมู่บ้านได้ เกรงว่าตนเองจะพูดมากล่วงเกินคนอื่นจนผิดใจกัน “ใช่แล้ว น้องชายซ่ง เจ้าอาศัยอยู่หมู่บ้านไหน?”
“หมู่บ้านเหรินจยา”
เถ้าแก่หวัง “…”เขาปากมากไปแล้ว อย่าเอาเรื่องที่เขาพูดไปพูดต่อเลย
ซ่งฝูเซิงสังเกตสีหน้าของเถ้าแก่หวังก็พอเดาได้ อย่าทำให้เขากลัวจนไม่กล้าที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเขา
เขารีบพูดให้เถ้าแก่หวังคลายกังวล “ข้าไม่รู้จริงๆ เพราะว่าเพิ่งมาถึงเมื่อคืนวาน ตอนนี้ก็ยังไม่ได้พบเจอหลี่เจิ้งของพวกเรา มิเช่นนี้เขาจะต้องแจ้งให้พวกข้าทราบแล้ว”
ซ่งฝูหลิงรีบดึงพี่ชายทั้งสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังพ่อของนาง ให้พวกเขาตามนางออกมารออยู่ข้างนอกเพราะกลัวว่าชายหนุ่มสองคนจะแสดงอาการโมโหออกมา
หลังจากซ่งฝูเซิงอธิบายให้ฟังแล้ว เถ้าแก่หวังก็มีสีหน้าดีขึ้นหน่อย
อ่อ เพิ่งมาถึงหรอกหรือ เถ้าแก่หวังคิดในใจ ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาจะปากพล่อยพูดออกไปหรือไม่ แค่ดูจากลักษณะท่าทีคำพูดของซ่งฝูเซิงแล้ว ก็รู้ว่าเขาไม่ใช่คนชอบหาเรื่อง และคงไม่เอาเรื่องที่เขาเผลอพูดออกไปนำไปเล่าให้คนอื่นฟังแน่
หลังจากนั้นก็มีการพูดคุยกันอีกหลายประโยค ก่อนซ่งฝูเซิงจะรับเงินค่าถั่วเมล็ดสนแล้วเดินจากไป
ตอนออกจากประตู ซ่งฝูเซิงยังคงมีสีหน้ายิ้มแย้ม
เมื่อลับตาคน เขาก็ถึงกับกัดฟัน
ไม่ต้องถาม นี่เป็นการคอรัปชั่น กล้าโกงข้าวสารอาหารแห้งที่ทางการแจกช่วยเหลือให้กับพวกเขา