ตอนที่ 219 ปลาติดเบ็ดแล้ว

พันธกานต์ปราณอัคคี

ร่ำลาต้วนชิงเกอ มั่วชิงเฉินที่ย้อนกลับเขาป่าไผ่เดินตรงเข้าเรือน กระทั่งไม่เห็นกู้หลี่ที่เดินตรงเข้ามา ทำให้กู้หลีชะงัก

 

 

มั่วชิงเฉินรื้อกฎสำนักออกมา แล้วอ่านอย่างละเอียดอีกหนึ่งรอบ สายตาตกไปอยู่ข้อที่หนึ่งและข้อที่สี่

 

 

ข้อที่หนึ่งมีตัวอักษรเพียงไม่กี่ตัว ก็คือห้ามศิษย์ร่วมสำนักเข่นฆ่ากันเอง ส่วนข้อที่สี่กลับกำหนดไว้ว่า ศิษย์ชายห้ามเกี้ยวพาราสี ดูแคลนศิษย์หญิงโดยที่ศิษย์หญิงไม่เต็มใจ หากใช้กำลังบังคับ ไม่ว่าศิษย์ที่เดินผ่านหรือตัวศิษย์หญิงเองทุกคนสามารถห้ามปรามได้ หากผู้กระทำผิดถูกพลั้งมือฆ่าตาย ศิษย์ที่เดินผ่านหรือศิษย์หญิงสามารถได้รับละเว้นโทษถูกขับออกจากสำนักหรือโทษตาย ทว่าต้องได้รับโทษแส้เทพเฆี่ยนตามสมควร

 

 

มั่วชิงเฉินหลุบตาลง ระบายยิ้มเยาะที่มุมปาก

 

 

กฎสำนักนี่ดูแล้วยังนับว่ายุติธรรม เพียงแต่หากพบเรื่องเช่นนั้นจริง เกรงว่าก็มีเพียงตัวศิษย์หญิงเองที่สามารถต่อต้านได้ ศิษย์ที่เดินผ่านจะมีสักกี่คนที่ยินยอมให้การช่วยเหลือ อย่าลืมสิเมื่อพลั้งมือฆ่าผู้กระทำผิดเมื่อไร ก็ต้องรับโทษแส้เทพเฆี่ยนตีนะ

 

 

แส้เทพเฆี่ยนความหมายดังชื่อ ก็คือสมบัติวิเศษที่เฆี่ยนโดยตรงลงบนดวงจิตของผู้บำเพ็ญเพียร ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ระดับสร้างรากฐานหรือว่าก่อแก่นปราณ กระทั่งระดับก่อกำเนิด ความเจ็บปวดที่เกิดจากการเฆี่ยนแส้เทพจะสมน้ำสมเนื้อกับตบะของเจ้า เป็นการลงโทษอันร้ายกาจที่ผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหมดพูดถึงแล้วหน้าถอดสี ต้องรู้ว่าดวงจิตของผู้บำเพ็ญเพียรนั้นบอบบางที่สุด

 

 

ทว่าเมื่อลองคิดดู การกำหนดเช่นนี้ก็มีเหตุผล เพื่อหลีกเลี่ยงคนบางคนที่ตั้งใจคิดจะฆ่าใครบางคนจึงใช้แผนทุกข์กาย[1]

 

 

สายตามั่วชิงเฉินกวาดไปมาระหว่างกฎสำนักข้อที่หนึ่งและข้อที่สี่ ในใจตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ

 

 

โบราณว่าไว้ต่างเวลาก็ต่างสถานการณ์ ปีนั้นตนตบะต่ำ ฐานะต่ำ หากคิดจะใช้แผนนี้ นั่นก็คือใช้ซาลาเปาเนื้อขว้างสุนัขมีไปไม่มีกลับ ถึงได้พักความคิดไว้แล้วตั้งหน้าตั้งตาบำเพ็ญเพียร คิดรอให้การบำเพ็ญเพียรเห็นผลค่อยหาโอกาสแก้แค้น

 

 

ทว่าบัดนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ตนอายุสามสิบกว่าปีและอยู่ระดับสร้างรากฐานระยะกลางแล้ว อีกทั้งยังเป็นศิษย์เพียงคนเดียวของนักพรตเหอกวง และยิ่งมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับผู้ที่โดดเด่นในสำนักเช่นมั่วหลีลั่ว ต้วนชิงเกอ มิใช่หมากที่ปล่อยให้คนละทิ้งตามอำเภอใจได้เช่นในตอนนั้นมานานแล้ว

 

 

ที่ยิ่งอัศจรรย์คือ เถียนหยวนคนนั้นถูกให้กักตนสำนึกผิดมาตลอด ต่อจากนั้นถูกสั่งให้ออกจากสำนักไปฝึกตนอีก นี่เพิ่งกลับมา คิดว่าคงยังไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของตนมาก่อน ตัวเขาเองกลับดันเป็นคนมักมากในกามที่ทุกคนต่างรู้ดี ในการณ์นี้ ก็น่าทำทีเดียว

 

 

มั่วชิงเฉินตื่นเต้นจนลุกขึ้นมาเดินไปมา แผนการไล่การเปลี่ยนแปลงไม่ทัน โอกาสดีเช่นนี้หากไม่จับไว้ เช่นนั้นไม่เป็นการผิดต่อท่านปู่ ผิดต่อตนเองหรอกหรือ?

 

 

หากรอให้ตนบำเพ็ญเพียรถึงระดับก่อแก่นปราณค่อยแก้แค้นจริง ด้วยนิสัยของคุณชายเสเพลคนนั้น อวดเบ่งอยู่ในสำนักก็ช่างเถอะ หากไปแหย่ใครอยู่ข้างนอก ไม่ระวังส่งเขาขึ้นสวรรค์ เช่นนั้นตนมิต้องอัดอั้นตันใจตายหรอกหรือ

 

 

มั่วชิงเฉินนั่งลงหน้ากระจก ค่อยๆ เปิดผมยาวด้านหน้าออก เผยโฉมเห็นใบหน้างามหยดย้อย

 

 

ในยามนี้ จู่ๆ นางก็รู้สึกซาบซึ้งมารดาบังเกิดเกล้าของร่างกายนี้เหลือเกิน ที่ถ่ายทอดความงามอันน่าตะลึงนี้ให้บุตรสาว

 

 

เมื่อมีสุขก็มีทุกข์ อยู่ที่ว่าใช้ในยามใด

 

 

และในยามนี้ รูปโฉมนี้ก็คืออาวุธที่ดีที่สุดของนาง

 

 

มั่วชิงเฉินส่องกระจกลูบหน้าผาก เอาเถอะ มั่วชิงเฉินเอ๊ยมั่วชิงเฉิน เจ้าสามารถคิดใช้แผนคนงามได้อย่างใจเย็นเช่นนี้แล้ว ท่านปู่ที่ปรโลกหากรู้เข้า เกรงว่าจะหนวดกระดิกกระโดดขึ้นมาด่ากราดกระมัง

 

 

คิดถึงตรงนี้มั่วชิงเฉินยิ้มจางๆ เช่นนั้นจะเป็นอะไรไปล่ะ สามารถแก้แค้นให้ท่านปู่ได้ก็คือการเก็บเกี่ยวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนาง นางเป็นผู้บำเพ็ญเพียร เอาเป็นว่าไม่มีทางถูกบังคับให้แต่งงานกับเขาเพียงเพราะถูกเจ้าสารเลวนั่นเห็นอะไรเข้าก็แล้วกัน

 

 

จริงว่ากันด้วยตบะเพียงอย่างเดียว มั่วชิงเฉินมั่นใจว่าสามารถฆ่าเถียนหยวนได้โดยที่ไม่มีใครรู้ เพียงแต่เทียดระดับก่อแก่นปราณระยะปลายที่อยู่เบื้องหลังเขาคนนั้นฝีมือเป็นเช่นไรยากจะรู้ได้ นางจำเป็นต้องมีเหตุผลที่น่าเชื่อถือในการฆ่าเขา เช่นนี้ละก็หากไม่มีคนพบว่านางเป็นคนลงมือย่อมทุกอย่างราบรื่น หากถูกท่านเทียดคนนั้นสืบความจริงออกมาได้ อย่างน้อยนางจะไม่ถูกลงโทษตายหรือขับออกจากสำนัก ความเจ็บปวดจากแส้เทพเฆี่ยนตี นางยินดีรับ

 

 

หลังจากคิดเช่นนี้แล้ว มั่วชิงเฉินก็ไม่รีบร้อนเคลื่อนไหว กลับคอยสังเกตความเคลื่อนไหวช่วงล่าสุดของเถียนหยวนขึ้นมา

 

 

เมื่อสังเกตปุ๊บกลับทำให้นางพูดไม่ค่อยออก เถียนหยวนไม่เสียทีที่เป็นคนเสเพลในหมู่คนเสเพล กลับมาเพียงไม่กี่วัน เรื่องไล่ตามขอความรักจากต้วนชิงเกอก็ลือสะพัดไปทั่ว ยิ่งกว่านั้นยังมีท่าทางว่ายิ่งนานจะยิ่งบ้าคลั่ง

 

 

นี่ก็ว่าไม่ได้ ต้วนชิงเกองามผุดผาดบริสุทธิ์ มองไปทั่วพรรคเหยากวงนับได้ว่ารูปโฉมเป็นที่หนึ่งที่สอง ถูกเขาไล่ตามอย่างไม่ลดละก็เป็นเรื่องเข้าใจได้

 

 

ทว่าต้วนชิงเกอไม่ใช่ศิษย์จิปาถะเหมือนจอกแหนในวันวานอีกแล้ว หากแต่เป็นศิษย์รักของนักพรตรั่วซี ยิ่งเป็นร่างอินบริสุทธิ์ที่หายากในช่วงพันปี

 

 

อย่าว่าแต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณเลย ต่อให้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานทั่วไปก็รู้ตัวว่าไม่คู่ควร ไม่กล้าหาเรื่องใส่ตัว

 

 

และผู้ขอความรักจากต้วนชิงเกอหลายคนในยามนี้ ฐานะไม่มีคนไหนที่ไม่ใช่ศิษย์ก้นกุฏิของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ เทียบกับฐานะเถียนหยวนแล้วก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันสักเท่าไร

 

 

ก่อนหน้านี้คนพวกนั้นยังติดที่ฐานะ ยังรักษาการแข่งกันเช่นสุภาพบุรษอย่างสำรวม ถูกเถียนหยวนมาวุ่นวายเช่นนี้ปุ๊บ ย่อมไม่พอใจเป็นธรรมดา สั้นๆ เพียงไม่กี่วันก็ได้ยินว่ามีสองคนไล่เลี่ยกันตีกับเถียนหยวนขึ้นมา ในชั่วเวลาหนึ่งจุดรวมความสนใจของศิษย์พรรคเหยากวงในที่สุดก็ย้ายจากเหตุการณ์ที่มั่วชิงเฉินชนะนิกายเหอฮวนไปถึงเรื่องต้วนชิงเกอจะตกเป็นของใคร

 

 

ในวันนี้ เถียนหยวนวนเวียนอยู่ใต้เชิงเขาเขารั่วสุ่ยอีกแล้ว และยังแหงนหน้ามองอย่างหลงใหลเป็นระยะ             ไม่ใส่ใจสายตาของคนอื่นแม้แต่น้อย

 

 

ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงอ่อนโยนสงบของหญิงสาว “ชิงเฉิน น้ำผึ้งดอกท้อนั่นอร่อยมาก ชิงเกอเดิมคิดจะทำหน้าหนาไปขออีก แต่ก็กลัวรบกวนอาจารย์อาเหอกวงอีก ไม่คิดว่าเจ้าจะส่งมาด้วยตัวเองแล้ว”

 

 

เสียงนุ่มนวลมีชีวิตชีวาพร้อมด้วยความซุกซนสายหนึ่งดังมา “ชิงเกอ บัดนี้ใครไม่รู้บ้างว่าเจ้าออกจากบ้านไม่สะดวก ข้าข้ามมาเที่ยวหนึ่งก็ถือว่ามาสูดอากาศ อีกอย่าง สาวใช้สองคนนี้ของข้าก็พามาจากข้างนอก ทางก็ไม่รู้จัก ต่อให้คิดจะใช้พวกนางมาก็ไม่ได้”

 

 

เพิ่งสิ้นเสียงก็ได้ยินเสียงกังวานร่าเริงเสียงหนึ่งว่า “คุณหนู ท่านล้อพวกเราเล่นอีกแล้ว หากไม่เห็นพวกบ่าวในสายตาจริงๆ ก็มอบพวกเราให้คุณหนูชิงเกอก็แล้วกัน”

 

 

เสียงนุ่มนวลมีชีวิตชีวาหัวเราะคิกคักว่า “เช่นนี้ก็ดี หากชิงเกอกลายเป็นคู่บำเพ็ญเพียรของศิษย์พี่เถียนคนนั้น พวกเจ้าก็จะได้เป็นอนุพอดี”

 

 

แล้วก็ได้ยินเสียงอ่อนโยนสงบแฝงด้วยความโกรธต่อว่าว่า “ชิงเฉิน เจ้าก็เอาข้าไปล้อเล่นหรือ ข้าโมโหแล้วนะ”

 

 

“เอาล่ะ ชิงเกอ เจ้าอย่าไม่พอใจเลย ข้าเพียงแค่ขู่พวกนางสองคนเท่านั้น ไม่เห็นพวกนางอารมณ์ร้ายกว่าข้าอีกหรือ เจ้าไม่ต้องส่งแล้ว ขืนส่งอีกก็จะถึงเชิงเขาแล้ว”

 

 

“อืม เช่นนั้นรอวันหลังสะดวกแล้วละก็ข้าไปหาเจ้าที่เขาชิงมู่”

 

 

เถียนหยวนกางหูฟังอยู่ สตรีไม่กี่คนเสียงต่างมีจุดเด่น ดันไพเราะเพราะพริ้งอย่างบอกไม่ถูกอีก ยั่วจนเขาในใจคันคะเยอ อยากเห็นหน้าโฉมงามใจแทบขาด

 

 

ไม่นานนัก ก็เห็นหญิงสาวชุดเขียวสามคนเดินลงมา

 

 

ตรงหน้าคนหนึ่งรูปร่างบอบบาง เสียดายที่เห็นหน้าตาไม่ชัด ดูเหมือนวันนั้นเคยเห็นที่หน้าโถงปฏิบัติงานมาก่อน เถียนหยวนดูเพียงปราดเดียวก็ไม่สนใจแล้ว สายตาตกตรงไปบนตัวสองคนข้างหลัง

 

 

ไม่นึกเลยว่าจะเป็นพี่น้องฝาแฝดคู่หนึ่ง อายุสิบห้าสิบหกปี หน้าตารูปร่างเหมือนกัน ยิ้มจางๆ งามเหมือนบุปผา

 

 

หากพูดว่าพวกนางแม้หน้าตางดงาม ในสายตาเถียนหยวนกลับไม่มีอะไรน่าแปลก ทว่าสตรีสวยงามที่เหมือนกันทุกอย่างสองคนเดินอยู่ด้วยกัน แรงปะทะที่เกิดขึ้นก็ไม่ราบเรียบถึงเพียงนั้นแล้ว

 

 

เถียนหยวนรู้สึกทนไม่ไหวขึ้นมาทันที หลายวันมานี้เขาตามขอความรักต้วนชิงเกออย่างยากลำบาก นงคราญปิดประตูไม่ยอมออกมา เดิมทีไฟมารก็อัดอั้นไว้เต็มท้องอยู่แล้ว เมื่อเห็นพี่น้องฝาแฝดนี้เข้า ความคิดนอกลู่นอกทางก็เกิดขึ้นทันที

 

 

โดยเฉพาะสตรที่เดินอยู่ด้านขวาคนนั้น เขามองปราดเดียวก็รู้ว่าเสียความเป็นอินไปแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว คงได้มาได้อย่างง่ายดายมากทีเดียว

 

 

นึกถึงตรงนี้เถียนหยวนก็มองไปที่สตรีที่เดินอยู่ด้านหน้า สตรีคนนั้นดูแล้วไม่สะดุดตา กลับรูปร่างอ้อนแอ้น เสียงยิ่งไพเราะ พอกล้อมแกล้มเก็บไว้ใช้ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้ สาวใช้ฝาแฝดคู่นั้นก็จะกลายเป็นของตนอย่างสมเหตุผล ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าสตรีนี้ดูเหมือนความสัมพันธ์กับต้วนชิงเกอไม่เลว วันหลังผ่านการช่วยพูดของนางไม่แน่อาจยังตามต้วนชิงเกอมาได้ก็ได้

 

 

เถียนหยวนยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องยิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัว จึงเข้าขวางหน้ามั่วชิงเฉิน สะบัดพัดในมือหนึ่งที แล้วทำเป็นสง่างามว่า “ศิษย์น้องคนนี้ช้าก่อน”

 

 

มั่วชิงเฉินหยุดฝีเท้าแล้วมองไปที่เถียนหยวน เอ่ยด้วยหน้าไร้ความรู้สึกว่า “ศิษย์พี่มีธุระอะไร?”

 

 

เถียนหยวนโมโหขึ้นมา หากบอกว่าถูกต้วนชิงเกอปฏิเสธก็ช่างเถอะ เด็กบ้าที่ไม่สะดุดตาเช่นนี้ก็กล้าชักสีหน้าใส่ตน ฮึ หากไม่ใช่เจ้ารู้จักต้วนชิงเกอ สาวใช้ฝาแฝดด้านหลังยังนับว่าเข้าตา ยามปกติต่อให้ขอร้องคุณชายข้าก็ไม่แลเจ้าสักปราด!

 

 

“ศิษย์น้อง ในสำนักหลายวันมานี้เปิดห้องอาหารใหม่ขึ้นห้องหนึ่ง รสชาติโดดเด่นยิ่งนัก ไม่ทราบศิษย์น้องให้เกียรติไปลองลิ้มลองกับข้าน้อยได้หรือไม่?” เถียนหยวนแกล้งทำเป็นถามอย่างสุภาพ และยังโบกพัดในมืออีก

 

 

เหลียงเฉินเหม่ยจิ่งมองตากันปราดหนึ่ง มองคนขวางทางด้วยสีหน้าประหลาด แล้วคิดเหมือนกันโดยไม่ได้นัดหมายว่า คนคนนี้สมองถูกลาเตะแล้วกระมัง ไม่คิดว่าจะกล้าหาเรื่องคุณหนู

 

 

“ต้องขออภัยด้วย น้องไม่กินอาหารมานานแล้ว” มั่วชิงเฉินพูดพลางเดินออกข้างๆ ก้าวหนึ่งคิดจะอ้อมไป

 

 

“หยุดนะ!” เถียนหยวนพุ่งเข้าไปขวางทางไว้โดยพลัน

 

 

การเคลื่อนไหวอันรวดเร็วก่อให้เกิดกระแสอากาศระลอกหนึ่ง ผมยาวที่หน้าผากของสตรีตรงหน้าถูกพัดออกทันที

 

 

เหลือบมองเพียงปราดเดียวจากโฉมงาม เถียนหยวนก็ตกตะลึงในความงามดุจชาวสวรรค์ทันที

 

 

หากบอกว่าความงามของต้วนชิงเกอคืองามบริสุทธิ์ เช่นนั้นสตรีตรงหน้าก็คือบริสุทธิ์และวิจิตร

 

 

สุดบริสุทธิ์สุดวิจิตร บุคลิกที่ต่างกันโดยสิ้นเชิงดันรวมกันบนใบหน้านางได้อย่างพอดิบพอดี เกิดเป็นความงามอันน่าตกตะลึงพรึงเพริด โดยเฉพาะดวงตาดอกท้อคู่นั้น แววตาทอประกายแวววาวทำให้คนหลงมัวเมาเคลิบเคลิ้ม อยากจะควบคุมตนเอง

 

 

ฉอเลาะแต่กำเนิด! ในโลกนี้จะมีสตรีประเภทนี้อยู่ นางอาจแต่งตัวเรียบง่าย การเดินยืนนั่งนอนไม่มีที่จะไม่เต็มไปด้วยความสง่างาม ดันกลับทำให้คนรู้สึกว่าไม่มีสักที่ที่จะไม่มีเสน่ห์

 

 

ในพริบตานั้น พี่น้องฝาแฝด ต้วนชิงเกออะไร ล้วนถูกเขาโยนออกไปนอกเก้าชั้นฟ้า คนที่นึกถึงเต็มหัวใจมีเพียงสตรีตรงหน้า กระทั่งเกิดความรู้สึกว่าหากไม่สามารถใกล้ชิดสาวงามได้ เช่นนั้นชาตนี้ก็อยู่เสียเปล่าแล้ว

 

 

ในระหว่างที่เถียนหยวนเหม่อลอยนี่เอง มั่วชิงเฉินเดินถึงเชิงเขาแล้ว จากนั้นโยนเรือเมฆาออก พาสาวใช้ฝาแฝดนั่งขึ้นไป บินสู่ทิศตะวันออก

 

 

เถียนหยวนได้สติกลับมา รีบอัญเชิญอาวุธเวทเหินหาวตามไป

 

 

ระหว่างทางมีศิษย์เห็นเหตุการณ์ครั้งนี้เข้าอดแปลกใจไม่ได้ ต่างวิจารณ์ขึ้นมา

 

 

มั่วชิงเฉินรู้ว่า เมื่อเถียนหยวนติดเบ็ดแล้ว ก็ไม่อาจให้โอกาสเขาสืบถามแน่ชัด มิใช่นั้นหากเกิดใจหวาดกลัวขึ้นมา เรื่องก็จัดการยากแล้ว

 

 

นางถึงเขาชิงมู่แล้วก็ปล่อยเหลียงเฉินเหม่ยจิ่งลง บอกนางสองคนว่าจะไปรับภารกิจ ยังไม่กลับเขาป่าไผ่แล้ว จากนั้นก็กลับหลังบินตรงไปเขาโฮ่วเต๋อ

 

 

เห็นมั่วชิงเฉินบินไปเขาโฮ่วเต๋อ เถียนหยวนดีใจมากทันที แอบว่าเขาโฮ่วเต๋อก็คือถิ่นของเขา นี่ไม่ใช่ส่งถึงบ้านหรอกหรือ จึงตามติดไปอย่างไม่ลังเลทันที

 

 

 

 

——

 

 

[1] แผนทุกข์กาย เป็นแผนที่หลอกให้ศัตรูหลงเชื่อโดยการสร้างความเสียหายให้ตนเอง โดยสามัญสำนึกของมนุษย์ทั่วไป ย่อมไม่มีผู้ใดยากทำร้ายตนเอง หากบาดเจ็บก็เชื่อว่าคงเกิดจากการถูกทำร้าย หากสามารถทำเท็จให้กลายเป็นจริง โดยไม่ติดใจสงสัย แผนย่อมจะสัมฤทธิ์ผล