ตอนที่ 160 ท่านบรรพจารย์เย่แห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนของพวกท่านงั้นหรือ ?

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

ตอนที่ 160 ท่านบรรพจารย์เย่แห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนของพวกท่านงั้นหรือ ?

เวลานี้

ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต้าหลัว ภายในจงหยวน

หลัวชุนเฟิงเจ้าสำนักต้าหลัว กำลังนั่งสมาธิอยู่กลางตำหนักโบราณหลังหนึ่ง

ตรงหน้าของเขามีแผ่นหยกโบราณชิ้นหนึ่งลอยอยู่ ด้านบนแกะสลักลวดลายซับซ้อน แผ่ไอพลังอันน่าหวาดหวั่นออกมา

ขณะเดียวกันรอบกายก็เปล่งประกายระยิบระยับออกมา สัญลักษณ์โบราณส่องแสงขึ้น ก่อนจะแผ่คลื่นแสงไปทั่วทุกทิศทุกทาง

ราวกับเขาเป็นเซียนผู้บริสุทธิ์ล่องลอยอยู่กลางอากาศ กำลังบำเพ็ญเพียรคาถาเซียนขั้นสูงสุดอยู่

“เอ๊ะ ? ”

ตอนนั้นเอง หลัวชุนเฟิงเหมือนสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง

คิ้วของเขาจึงขมวดขึ้น พร้อมกับดวงตาเรียวยาวคู่นั้นเบิกกว้างออกมาทันที

เขาเพ่งสมาธิ จากนั้นยันต์หยกถ่ายทอดเสียงชิ้นหนึ่งก็ลอยออกมาจากแหวนเก็บสมบัติ

ลวดลายโบราณบนยันต์หยกถ่ายทอดเสียงส่องประกายระยิบระยับขึ้น และแผ่ไอพลังลึกลับมหาศาลออกมา

“หรือว่าทางเหนือจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ? ”

ทันทีที่เห็นยันต์หยกถ่ายทอดเสียงชิ้นนี้ หลัวชุนเฟิงอดที่จะพึมพำออกมาด้วยความประหลาดใจมิได้

หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงค่อย ๆ เขียนยันต์ขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะผสานเข้ากับยันต์หยกถ่ายทอดเสียง

มินานก็มีเสียงของชายชราผู้หนึ่ง ก็ดังออกมาจากยันต์ถ่ายทอดเสียง

“ท่านเจ้าสำนัก ทางเหนือเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น หากมิมีสิ่งใดผิดพลาด จักรพรรดิฝ่ายมารที่ถูกผนึกไว้ตั้งแต่สมัยบรรพกาลคงจะฟื้นขึ้นมาแล้วขอรับ”

‘จักรพรรดิฝ่ายมารฟื้นขึ้นมาแล้วงั้นหรือ ? ’

‘เป็นไปมิได้ ! ’

‘เรื่องนี้เป็นไปมิได้เด็ดขาด ! ’

ในตำราโบราณบันทึกสงครามใหญ่ในช่วงบรรพกาลระหว่างมนุษย์ ปีศาจ และมารเอาไว้

จักรพรรดิมารผู้นั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส จนร่างกายเกือบจะดับสูญ

ระหว่างที่อยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน ยอดบุรุษที่เป็นมนุษย์ผู้หนึ่งก็ได้ออกหน้า ใช้กำลังของตนเองทั้งหมดที่มีต่อสู้กับหลายฝ่าย จนสุดท้ายก็สามารถปกป้องจักรพรรดิมารผู้นี้เอาไว้ได้ โดยมิเสียดายเลือดเนื้อของตัวเอง

แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ด้วยคำร้องขอของทุกฝ่าย ยอดบุรุษท่านนั้นจึงเลือกใช้วิชาคำสาปโลหิตที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยบรรพกาล ผนึกจักรพรรดิมารเอาไว้ยังส่วนลึกของทุ่งน้ำแข็งในแดนรกร้างทางเหนือ

เช่นนั้นจึงจะทำให้จักรพรรดิมารผู้นี้มีชีวิตต่อไปได้

ตำราโบราณยังบันทึกไว้อีกว่า

วิชาคำสาปโลหิตที่มีมาแต่สมัยบรรพกาลนั้นประหลาดลึกล้ำ หากผนึกแล้วชั่วชีวิตก็จะมิอาจปลดผนึกได้อีก

นั่นก็หมายความจักรพรรดิผู้นี้จะต้องหลับไหลอยู่ในแดนรกร้างทางเหนือไปชั่วนิรันดร์

แต่บัดนี้เหตุใดจู่ ๆ จึงฟื้นขึ้นมาได้เล่า ?

ทันทีที่ได้ยินข่าวร้ายเช่นนี้ เจ้าสำนักดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต้าหลัวอย่างหลัวชุนเฟิง ก็รู้สึกราวกับว่าทุกอย่างล้วนเป็นเพียงความฝันเท่านั้น

“ศิษย์น้องหยางซั่ว เจ้า… มั่นใจว่าจักรพรรดิมารผู้นั้นฟื้นขึ้นมาแล้วจริง ๆ งั้นหรือ ? ”

หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง หลัวชุนเฟิงยังเอ่ยถามขึ้นอย่างมิอยากจะเชื่อ

“ส่วนลึกของแดนรกร้างทางเหนือ เกิดฟ้าร้องดังสนั่นหวั่นไหว หมอกโลหิตมหาศาลปกคลุมเกือบทั่วทั้งแผ่นดิน มีพลังรุนแรงแผ่กระจายไปทั่วทั้งดินแดนรกร้างทางเหนือ จากนั้นก็มีไอพลังอันน่าสะพรึงกลัวแผ่ออกมา”

“ข้าประจำการอยู่ทางเหนือมาหลายปี เป็นคราแรกที่สัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลเช่นนี้ อีกทั้งเวลานี้ ข้าก็มีตบะบารมีระดับแดนเทวาชั้นกลางแล้ว ไอพลังอันน่าสะพรึงกลัวนั้นแม้แต่ข้าก็ยังอดมิได้ที่จะอกสั่นขวัญแขวน นอกจากจักรพรรดิมารผู้นั้นฟื้นขึ้นมา บนโลกนี้จะมีใครที่สามารถสร้างพลังที่รุนแรงเช่นนี้ได้อีก ? ”

ยันต์ถ่ายทอดเสียงส่งเสียงเคร่งขรึมออกมา ขณะเดียวกันภายในน้ำเสียงก็แฝงเอาไว้ด้วยความมิพอใจ

“ศิษย์น้องหยางซั่ว เรื่องนี้ข้าทราบแล้ว เจ้าคอยสังเกตทางเหนือต่อไป หากมีเรื่องอันใดให้รีบแจ้งข้าทันที”

เอ่ยจบหลัวชุนเฟิงก็เก็บยันต์หยกถ่ายทอดเสียงกลับเข้าแหวนเก็บสมบัติอีกครั้ง

หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง หลัวชุนเฟิงก็หยิบยันต์หยกถ่ายทอดเสียงชิ้นหนึ่งออกมาอีกครั้ง และผสานยันต์ที่เขียนขึ้นเข้ากับยันต์หยกถ่ายทอดเสียง

ทันทีที่เสียงของหลัวชุนเฟิงดังขึ้น

ห้าสำนักบำเพ็ญเพียรแห่งจงหยวนได้แก่ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต้าหลัว ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน ดินแดนศักดิ์สิทธิ์หยินหยาง ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิง ดินแดนศักดิ์สิทธิ์กู่หัว รวมทั้งนิกายบำเพ็ญเพียรเก่าแก่อีกหลายแห่ง ต่างก็ได้ยินเสียงอันน่าเกรงขามของหลัวชุนเฟิงแทบพร้อมกัน

“ทางเหนือเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น ขอทุกท่านได้โปรดมาปรึกษาหารือที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต้าหลัวโดยเร็วที่สุด”

หลังจากสิ้นเสียงของหลัวชุนเฟิงมินาน ยันต์หยกพลันก็มีเสียงตอบกลับมา

“เจ้าหลัว เวลานี้ทางเหนือจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกัน เหตุใดถึงต้องไปปรึกษาหารือถึงดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต้าหลัวของเจ้าด้วย”

“พี่ต้วน เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของจงหยวน ได้โปรดมาปรึกษาหารือกันที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต้าหลัวจะดีกว่า”

“บัดซบ เรื่องอะไรจะเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของจงหยวนได้ ? หรือว่าฝ่ายมารอยากโจมตีจงหยวนหรือไง ? ฮ่า ๆๆๆ”

“เจ้าสำนักหยินหยาง หลายปีแล้วเจ้าก็ยังคงมิเปลี่ยนไปเลยสินะ”

“โอ๊ะ ท่านพี่ไท่หัวแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์กู่หัวมิใช่หรือนี่ ? ”

“เจ้ายังจำข้าได้หรือ ? ”

“จำได้แน่นอน ข้าต้วนฉางเต๋อต่อให้ลืมผู้คนจนหมดสิ้น ก็มิมีทางลืมท่านได้อย่างแน่นอน ! ”

“เจ้าสำนักหยินหยาง พวกเราไปพูดคุยกันต่อที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต้าหลัวเถอะ”

“……”

เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม

ค่ายกลห้วงเวลาทั้งหลายของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต้าหลัวก็มีลำแสงทะยานขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง จากนั้นก็มีเงาคนมากมายพลันปรากฏบนค่ายกลห้วงเวลา

หลังจากเห็นใบหน้าผู้ที่มาอย่างชัดเจน ศิษย์ต้าหลัวสิบกว่าคนที่ประจำการอยู่ที่ค่ายกลห้วงเวลาต่างก็มึนงงไปตาม ๆ กัน

‘กลางดึกเช่นนี้ เหตุใดผู้นำของสำนักบำเพ็ญเพียรใหญ่ ๆ ถึงได้ปรากฏตัวขึ้นยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต้าหลัวได้ ? ’

‘นี่มันอะไรกัน ? ’

‘หรือว่าจงหยวนจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น ? ’

‘ใช่แล้ว ! ’

‘ต้องเป็นเช่นนี้เป็นแน่ ! ’

‘มิเช่นนั้นผู้นำของสำนักบำเพ็ญเพียรใหญ่ ๆ เหล่านี้ จะมาปรากฏตัวยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต้าหลัวในเวลานี้ได้เยี่ยงไรกัน ! ’

มินาน ภายในตำหนักหลักของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต้าหลัว

หลัวชุนเฟิงผู้เป็นเจ้าสำนักได้นั่งอยู่ตำแหน่งแรกสุด

ส่วนสองฝั่งล้วนเป็นเหล่าเจ้าสำนักจากสำนักบำเพ็ญเพียรต่าง ๆ รวมทั้งประมุขนิกายเก่าแก่

พวกเขาแต่ละคนล้วนมีไอพลังอันแรงกล้า ราวกับผู้ที่มีคุณธรรมลึกล้ำ

ทันใดนั้นบรรยากาศภายในตำหนักโบราณก็กดดันขึ้นอย่างน่าประหลาด เมื่อพวกเขามารวมตัวกันเช่นนี้

“พี่สวี ก่อนหน้านี้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จื่อชิงของพวกเจ้าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดจึงเกิดพลังมหาศาลเช่นนั้นได้ ? ”

หลังเข้ามาในตำหนัก ต้วนฉางเต๋อที่เป็นเจ้าสำนักหยินหยาง ก็ตั้งใจนั่งลงด้านข้างเจ้าสำนักจื่อชิง สวีฉิงเทียน ทันที

รอจนสวีฉิงเทียนนั่งลงเรียบร้อยแล้ว เขาจึงเอ่ยถามขึ้นเบา ๆ

ขณะเดียวกัน ราวกับว่าผู้นำของสำนักบำเพ็ญเพียรที่เหลือก็จะได้ยินข่าวนี้มาเช่นกัน หลังจากต้วนฉางเต๋อเอ่ยขึ้นมา พวกเขาต่างก็ส่งสายตาประหลาดให้กันไปมา

หลัวชุนเฟิงที่เป็นเจ้าสำนักต้าหลัวเห็นภาพตรงหน้าก็มีสีหน้าเย็นชาลงทันที

‘บัดนี้แดนรกร้างทางเหนือเกิดการเปลี่ยนแปลง เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของทั่วทั้งจงหยวน’

‘แต่คนอื่น ๆ กลับสนใจเพียงเรื่องนี้ ? ’

‘จิตใจคนช่างยากแท้หยั่งถึงจริง ๆ!’

สวีฉิงเทียนหัวเราะเบา ๆ ราวกับสังเกตเห็นท่าทางของหลัวชุนเฟิง จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เรื่องนี้รอให้ปรึกษาเรื่องเกี่ยวกับแดนรกร้างทางเหนือเรียบร้อยแล้วค่อยพูดกันเถิด”

ต้วนฉางเต๋อเอ่ยขึ้นอย่างมิเห็นด้วยว่า “แดนรกร้างทางเหนือจะเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นได้ ก็แค่พวกกากเดนของฝ่ายมารเท่านั้น มิควรค่าที่จะหวาดกลัวเสียด้วยซ้ำ”

หลัวชุนเฟิงได้ยินเช่นนั้นจึงอดมิได้ที่จะเอ่ยเสียงเข้มว่า “พี่ต้วน จักรพรรดิมารที่ถูกผนึกเอาไว้ผู้นั้นฟื้นขึ้นมาแล้ว เรื่องนี้นับว่าเป็นเรื่องใหญ่หรือไม่ ? นับว่าเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของทั้งจงหยวนหรือไม่ ? ”

‘อะไรนะ ? ’

‘จักรพรรดิมารที่ถูกผนึกเอาไว้ตั้งแต่สมัยบรรพกาลผู้นั้นฟื้นขึ้นมาแล้วงั้นหรือ ? ! ’

‘เรื่องใหญ่ ! ’

‘เรื่องนี้นับเป็นเรื่องใหญ่จริง ๆ ! ’

‘เรื่องนี้มิต่างอะไรกับฟ้าถล่มลงมาก็มิปาน!’

ได้ยินเช่นนั้นผู้นำของสำนักต่าง ๆ ล้วนมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ท่าทางเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกอย่างถึงที่สุด

“ปัง ! ”

ต้วนฉางเต๋อตบโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน สีหน้ามิพอใจ “เจ้าหลัว ข้าจะต่อว่าเจ้าเยี่ยงไรดี เจ้านี่ช่างมีสายตาที่คับแคบยิ่งนัก เรื่องสำคัญเช่นนี้เหตุใดเจ้าเพิ่งจะมาพูด หา ? ”

หลัวชุนเฟิง “……”

“เจ้าสำนักหยินหยาง เรื่องมาถึงเช่นนี้แล้ว รอพี่หลัวพูดให้จบก่อนจะดีกว่า”

เจ้าสำนักกู่หัวที่น้อยครั้งจะปรากฏตัวภายนอก โบกมือไปมาให้แก่ต้วนฉางเต๋อ พลางเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ต้องบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่จริง ๆ เพียงแค่จักรพรรดิมารออกมาได้ ชาวบ้านจะต้องเดือดร้อนและล้มตายไปทั่วทุกย่อมหญ้าเป็นแน่”

“อีกทั้งนับตั้งแต่สงครามครั้งใหญ่ในตอนนั้นเป็นต้นมา ผู้บำเพ็ญเพียรของเผ่ามนุษย์ก็มีพลังที่อ่อนแอลง ผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหายานก็มีเพียงมิกี่คนเท่านั้น ต่อให้ร่วมมือกัน เกรงว่าก็คงมิอาจต่อกรกับจักรพรรดิมารผู้นั้นได้”

ตอนนั้นเองนักพรตไท่เสวียนที่ไม่มีท่าทางทุกข์ร้อนใด ๆ ก็เอ่ยค้านพร้อยรอยยิ้มว่า “พี่ไท่หัวเกรงว่าจะกล่าวเกินจริงไปแล้ว บัดนี้ผู้บำเพ็ญเพียรของเผ่ามนุษย์นับว่าอ่อนแอลงก็จริง แต่มิได้หมายความว่ามิมีคนที่จะสามารถต่อกรกับจักรพรรดิมารผู้นั้นได้”

สวีฉิงเทียนได้ยินเช่นนั้นก็หันไปเอ่ยถามเบา ๆ ว่า “พี่เหอ ท่านหมายถึง… ท่านบรรพจารย์เย่แห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียนของพวกท่านงั้นหรือ ? ”