หิมะกลับมาตกหนักอีกครั้ง อีกเพียงไม่นานวันปีใหม่ก็จะมาถึง

สาวใช้ถูมือแล้วเดินเข้าไปในบ้าน ภายในห้องนั้นอบอุ่นยิ่งนัก

เฉิงเจียวเหนียงนั่งข้างหน้าต่างมองออกไปข้างนอก

“นายหญิงไม่กลัวหนาวหรือเจ้าคะ” สาวใช้เดินเพียงไม่กี่ก้าวก็คุกเข่าลง วางมือและเท้าไว้ใกล้เตาไฟที่แสนอบอุ่นเอ่ยว่า “ตอนที่ข้าเพิ่งกลับจากทางตอนใต้พร้อมกับนายใหญ่ ในช่วงฤดูหนาวแรกนั้น ข้าหนาวจนแข็งและร้องไห้ทุกวันเลยเจ้าค่ะ”

“ปิ้งโจวก็หนาวแล้วเช่นกัน” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว

สาวใช้หัวเราะเสียงดัง

“นายหญิงเจ้าคะ วันนี้เราจะอยู่บ้านหรือไปหาท่านชายทั้งหลายหรือเจ้าคะ” นางเอ่ยถาม

“ไปหาพี่ชายทั้งหลาย” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว

สาวใช้รีบรับคำ ลุกขึ้นเปิดประตูเรียกแม่นมให้เตรียมรถม้า

เมื่อบุตรสาวและบุตรชายของบ้านจะออกไปข้างนอกก็ต้องแจ้งนายหญิงให้ทราบก่อนทั้งนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบุตรสาวของญาติเลย

ฮูหยินโจวได้รับรายงานจากแม่นมอย่างรวดเร็ว

“จะออกไปอีกแล้วหรือ” ฮูหยินโจวขมวดคิ้วพลางมองหิมะตกหนักด้านนอก

“และก็ให้มารับเงินด้วยเจ้าค่ะ” สาวใช้กล่าวพร้อมกับก้มศีรษะลง

ฮูหยินโจวหันหน้ามองไปที่นายใหญ่โจวซึ่งกำลังนั่งอยู่ภายในห้อง

“นางพูดว่าอย่างไรบ้าง” นางกล่าวด้วยสีหน้าแปลกใจ

อยู่บ้านของตัวเองคงจะไม่อิสระเช่นนี้หรอก

ผู้หญิงธรรมดาที่ไหนถึงทำเช่นนี้กัน

“เป็นสาวเป็นนาง ออกไปข้างนอกทุกวันเช่นนี้ได้อย่างไร! ” นายใหญ่โจวตะโกนด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “นางมีแม่ผู้ให้กำเนิด แต่ไม่มีแม่คอยสั่งสอน และบ้ามานานสิบกว่าปี เจ้าช่วยอบรมนางให้เข้าใจที”

“ข้าหรือ” ฮูหยินโจวส่ายหัว “ให้ข้าพูดจะเหมาะสมหรือ”

“เจ้าเป็นน้าสะใภ้ของนาง ก็นับว่าเป็นแม่เช่นกัน เหตุใดถึงไม่เหมาะสม” นายใหญ่โจวพูดอย่างไม่พอใจ

“น้าสะใภ้อย่างนั้นรึ หากนางเห็นข้าเป็นเหมือนน้าสะใภ้หรือแม่จริง จะปฏิบัติตัวเยี่ยงนี้หรือ” ฮูหยินโจวกล่าวอย่างไม่พอใจเช่นกัน

ขณะที่สองสามีภรรยากำลังทุกข์ใจอยู่ อีกด้านหนึ่งท่านชายโจวหกที่คว้าเสื้อคลุมตัวใหญ่ออกไปข้างนอก ก็พบเจอกับท่านชายฉินที่กำลังจะเดินเข้ามา

“เจ้าจะออกไปอีกแล้วหรือ” ท่านชายฉินเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “เจ้ามีน้องสาวแล้วก็ลืมมิตรสหายไปจริงๆ แล้วสินะ”

ท่านชายโจวหกจ้องมองเขาแล้วโบกมือจะออกไป

“ข้าจะบอกให้นะเจ้าหก เจ้าทำเช่นนี้ไม่ได้ประโยชน์อะไรหรอก ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไร นางก็ไม่เห็นค่าทั้งนั้น” ท่านชายฉินยื่นมือออกมา ส่ายหัวแล้วพูดต่อ “ฟังข้า อย่าไปสนใจเลย ปล่อยให้นางทำตามใจเถิด จะดีเสียกว่า”

“สิ่งที่ข้าทำไป ข้าไม่สนใจว่านางจะคิดอย่างไร” ท่านชายโจวหกเงยหน้าขึ้นแล้วกล่าวอย่างดื้อดึง

“นี่คือสิ่งที่ทำให้นางรำคาญ” ท่านชายฉินกล่าวพลางมองไปที่ท่านชายโจวหก “ช่างเถอะ ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”

“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า” ท่านชายโจวหกกล่าวพร้อมกับก้าวออกไป

ท่านชายฉินเดินตาม

“วันนี้หิมะตกหนัก เหมาะแก่การล้อมเตากินหม้อไฟนัก ข้าเลี้ยงพวกเจ้าพี่น้องสองคนเองที่ร้านเรือนนางฟ้า จะไปหรือไม่” เขาเปลี่ยนเรื่องแล้วหัวเราะกล่าว

ไม่พูดถึงยังจะดีเสียกว่า พูดถึงเช่นนี้ สีหน้าของท่านชายโจวก็แย่ลงทันที

“ไม่” เขากล่าว

“เพราะเหตุใดเล่า” ท่านชายฉินถามด้วยความงุนงง

“เคยไปแล้ว” ท่านชายโจวหกกล่าว

ท่านชายฉินมองไปที่เขาแล้วหัวเราะ

“เจ้านี่มัน…จริงๆ เลย” เขาส่ายหัวยิ้มแล้วถามอย่างรีบร้อน “นางชอบหรือไม่”

ท่านชายโจวหกหายใจเข้าลึกๆ พลางหันหน้าไปมองท่านชายฉิน

“เจ้าลองเดาดูสิ” เขากล่าว

ท่านชายฉินตะลึง

นับตั้งแต่ข้าได้พบกับท่านชายฉินมา นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่เห็นการแสดงออกบนใบหน้าของเขาเช่นนี้ ท่านชายโจวถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่

หรือว่าผู้หญิงคนนี้ชอบแกล้งบ้าเพื่อให้ผู้อื่นพูดไม่ออก นี่มันช่างน่าสนุกยิ่งนัก

ความคิดนี้หายไปในพริบตาและรอยยิ้มบนหน้าของท่านชายโจวหกก็จางหายไปทันที

เขาสะบัดเสื้อคลุม รองเท้าบูทหนังของเขากำลังก้าวเดินและเหยียบเกล็ดหิมะลอยไปรอบๆ โดยเขามุ่งหน้าไปที่ประตูบ้าน

“ท่านชายหกไปเป็นคนขับรถม้าให้กับนายหญิงเฉิงอีกแล้ว… ”

“ท่านชายหกช่างดีกับนายหญิงเฉิงจริงๆ…”

แต่ทว่า การพูดคุยกับบ่าวรับใช้ทั้งหลายก็มิได้มีอะไรมากไปกว่าสายใยระหว่างพี่ชายและน้องสาวเพียงเท่านั้น เพราะนายหญิงเฉิงผู้นี้เคยเป็นคนบ้ามาก่อน

แม้ว่าตอนนี้จะดูดีขึ้นแล้ว แต่ก็ไม่สามารถลบข้อเท็จจริงในอดีตนั้นไปได้ ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ก็มิได้ดูปกติเท่าไรนัก ทำตัวแปลกประหลาด และดูแตกต่างจากผู้หญิงปกติทั่วไป

และแม้ว่าท่านชายของตระกูลโจวจะมิใช่บุตรชายคนโต แต่ก็มิอาจแต่งงานกับบุตรสาวเช่นนี้มาเป็นศรีภรรยาได้

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผู้คนของถนนสายนี้ที่เคารพฟ้า ไหว้บรรพบุรุษมีจำนวนไม่มากเท่ากับเทศกาลอื่น โดยเฉพาะในร้านเหล้าและโรงเตี๊ยมขนาดเล็ก

หญิงสาวในชุดคลุมตัวใหญ่ยืนอยู่ข้างถนน มองหันซ้ายแลขวาราวกับว่ากำลังมองหาอะไรบางอย่างอยู่ บ่าวประจำร้านค้าที่มีโคมไฟแขวนไว้ริมถนนทุกคนต่างพร้อมที่จะบอกทาง

แต่หญิงคนนั้นกลับหยุดไปชั่วครู่แล้วเดินตรงไปในทิศทางเดียว

“นี่กำลังจะไปถนนหม่าซื่อเจียและรู้ทางลัดเลาะผ่านตรอกเถี่ยเจี้ยงด้วย จริงๆ แล้วนางไม่ใช่คนต่างถิ่น แต่เป็นชาวเมืองหลวงนี่เอง” ผู้ชายยืนอยู่บนบันไดแล้วส่ายหัวอุทานออกมา

เดินทะลุตรอกก็มาถึงตลาดริมถนนที่คึกคักแล้ว หญิงสาวคนนั้นเดินไปได้สักพัก นางก็มองเห็นร้านอาหารที่ไม่โดดเด่นนักซึ่งมีธงแขวนคำว่าบ้านพักขุยหยวนอยู่

“ใช่ที่นี่จริงๆ ด้วย” หญิงสาวพูดพลางก้าวเข้าประตูไปแล้วถอดเสื้อคลุมออก

เนื่องในเทศกาลวันปีใหม่ ทุกคนที่สามารถกลับบ้านได้ก็จะกลับบ้านกันไปหมด โรงเตี๊ยมแห่งนี้จึงดูซบเซายิ่งนัก บ่าวทั้งสองคนยืนอยู่หลังโต๊ะต้อนรับซึ่งกำลังล้อมรอบเตาไฟเพื่อให้ร่างกายอบอุ่นอยู่ เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหว พวกเขาก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองเห็นสาวใช้ผู้งดงาม จึงรีบยิ้มต้อนรับ

“มาหาท่านชายตระกูลหันจากซู่โจว” สาวใช้กล่าวพร้อมกับยกมือยื่นเงินให้ “พี่ชายทั้งหลายรับไว้ดื่มเหล้าอุ่นๆ ในฤดูหนาวเถิด”

บ่าวทั้งสองดีใจกันมาก ไม่คิดว่าสาวใช้คนนี้จะใจกว้างถึงเพียงนี้ แขกในโรงเตี๊ยมเข้าออกไปมา บางคนทิ้งชื่อไว้และบางคนก็มิได้ระบุชื่อ การค้นหาชื่อใครสักคนจึงไม่เร็วนัก แต่พวกเขาทั้งสองมิได้ลังเลเลยและชี้ไปทางด้านหลัง

“ท่านชายหันพักอยู่ที่ปีกตะวันออกห้องตี้บนชั้นสาม ข้าจะพาน้องสาวไปที่นั่นเอง” บ่าวคนหนึ่งกล่าว

สาวใช้กล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้ม และเดินตามบ่าวคนนั้นไปทางด้านหลังแล้วเคาะประตู แต่คนที่ออกมากลับไม่ใช่หันหยวนเฉา

เมื่อเห็นหน้าสาวใช้ เขาถึงกับตะลึง

“บัณฑิตหลิว พี่สาวคนนี้มาหาบัณฑิตหัน” บ่าวกล่าว

สาวใช้แสดงความเคารพ

“เมื่อวานเราเคยเจอกันแล้ว ไม่ทราบว่ายังจำข้าได้อยู่หรือไม่” นางกล่าว

จากนั้นบัณฑิตก็ตกตะลึงและมีท่าทางแปลกๆ ทันที

“เจ้ามาหาหยวนเฉาหรือ” เขาเอ่ยถาม

“ใช่ นายของข้าให้มาเชิญเขา” สาวใช้กล่าว

การแสดงออกของบัณฑิตหลิวดูแปลกมากขึ้นราวกับว่าเขายังคงลำบากใจเล็กน้อยและพูดไม่ออก

“ใครมาหาข้าหรือ”

มีเสียงพูดดังมาจากด้านหลัง ทั้งสามคนมองตามไป และสองคนกำลังก้าวขึ้นไปชั้นบน โดยที่หันหยวนเฉากำลังถอดเสื้อคลุมอยู่

สาวใช้นั่งคุกเข่าอยู่ด้านข้าง และมองดูทั้งสองคนดึงแขนหันหยวนเฉาออกไปหลายก้าวโดยไม่รู้ว่าพวกเขาพูดคุยอะไรกัน ซึ่งนางก็มิได้ใส่ใจและละสายตาไปทางอื่น

ทางนั้น เมื่อชายคนหนึ่งเห็นสาวใช้มองไปที่อื่น เขาก็พยักหน้าถี่ขึ้น

“มารยาทดีเช่นนี้ ต้องมาจากตระกูลที่ไม่ธรรมดาแน่นอน” เขากระซิบพลางคว้าแขนของหันหยวนเฉาไว้ “ไม่รู้ว่าหากเทียบกับตระกูลอันจากเต้อโจวแล้วจะเป็นเช่นไรบ้าง”

“ใช่ๆ เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องสำคัญชั่วชีวิต ต้องไตร่ตรองอย่างรอบคอบ” อีกคนก็กระซิบเช่นกันพร้อมกับตบไหล่ของหันหยวนเฉาด้วยความตื่นเต้น

หันหยวนเฉากลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่

“มีอะไรให้น่าคิดเล่า” เขากล่าวพร้อมกับผลักทั้งสองคนออกไปแล้วเดินตรงไปที่สาวใช้

สาวใช้รีบลุกขึ้นและนั่งลงอีกครั้งหลังจากหันหยวนเฉานั่งลงแล้ว

“ท่านชาย นายข้าอยากจะ..” นางเอ่ย

พูดถึงเพียงเท่านี้ หันหยวนเฉายกมือขึ้นขัดจังหวะ

“อย่าคิดกับข้าเช่นนั้นเลย และขอบคุณสำหรับความเมตตา แต่ข้ามีคู่หมั้นแล้ว โปรดให้อภัยข้าด้วย” เขาเอ่ยอย่างจริงจัง

สาวใช้ตกตะลึงและหัวเราะดังลั่นทันที พอได้หัวเราะก็หัวเราะไม่หยุดจนต้องยกมือขึ้นปิดปาก

แต่ก็ปิดเสียงหัวเราะไว้ไม่อยู่

……………………………………………………..