บทที่ 132 เทพธิดาลงสู่หล้า

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

บนกำแพงในกระท่อม แขวนถุงเฉียนคุนไว้สองใบ นางนำถุงลงมามองดูด้านใน สูดลมหายใจเล็กน้อย ในถุงสองใบนี้ ใบหนึ่งใส่วัสดุที่นางไม่รู้จักจนเต็ม ส่วนอีกใบหนึ่งนอกจากใส่วัสดุและสิ่งของบางอย่างผสมปนเปแล้ว ยังมีศิลาวิญญาณชั้นกลางหลายร้อยก้อน

แสงวิญญาณของวัสดุเหล่านั้นกระพริบ พอเห็นก็รู้ว่ามิใช่สิ่งของธรรมดา น่าเสียดายที่จินเฟยเหยาเพิ่งมาถึงโลกนี้ไม่นาน ไม่รู้จักวัสดุสักชิ้น นางเก็บถุงเฉียนคุนสองใบนี้ แล้วค้นหาในกระท่อมดูอีกรอบจนแน่ใจว่าในบ้านไม่มีสิ่งของมีค่าอีก

จินเฟยเหยาเดินออกจากกระท่อม ก็พบไม้วิญญาณหลายชิ้นตรงมุมกระท่อม ทั้งหมดมีตะไคร่และเห็ดราขึ้น ชิ้นที่ตะไคร่ขึ้นสามารถใช้ได้ นางจึงเก็บไม้เหล่านั้นมาอีก จากนั้นนั่งพรมบินเหาะถึงกลางอากาศก็โยนไฟนรกดวงหนึ่งออกไป เผาสิ่งของทั้งหมดบนเกาะ

ในยามนี้เอง น้ำทะเลที่ถูกสกัดกั้นไว้จึงทะลักเข้ามาอีกครั้ง ไหลท่วมกลางเกาะอีกรอบ ท่าทางไฟนรกจะทำลายการป้องกันที่เหลือ การป้องกันที่กั้นน้ำทะเลไว้หายไป น้ำทะเลจึงเริ่มไหลเข้ามาท่วมอีกครั้ง ครู่หนึ่ง น้ำทะเลก็ท่วมสวนทั้งหมดในเกาะ

จากนั้นจินเฟยเหยาก็นั่งพรมบินกลับเมืองวั่นเซียนสุ่ย การรับรู้ของนางถูกกลืนกินไปกว่าครึ่ง ก่อนหน้านี้ยังไม่รู้สึกอะไร ตอนนี้การรับรู้ที่เหลือเพียงครึ่งเดียวเริ่มส่งผล นางรู้สึกร่างกายอ่อนแรง เวียนศีรษะคิดแต่จะนอน

นางตะเกียกตะกายกลับมาถึงเกาะเสี่ยวสือ สั่งความหลายประโยค ก็หัวทิ่มเข้าไปในห้องฝึกบำเพ็ญ พอปิดประตูก็เริ่มปิดด่านกักตน ฟื้นฟูจิตวิญญาณดั้งเดิมจำเป็นต้องใช้เวลานาน ทั้งยังไม่มียาซ่อมแซมและบำรุงจิตวิญญาณดั้งเดิม นางปิดด่านกักตนครั้งนี้ก็หลับลึก เรื่องภายนอกมอบให้พวกต้านิวดูแล

“ฟู่ว” ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด จินเฟยเหยาลืมตาขึ้น ถอนหายใจยาว จากนั้นฝุ่นธุลีก็ถูกลมหายใจของนางเป่าฟุ้งจนสำลัก

“แค่กๆ” จินเฟยเหยาแทบสำลักตาย รีบลุกขึ้นยืน ปัดตามตัว ฝุ่นชั้นหนาๆ ก็ลอยฟุ้ง

นางไม่รู้ว่าตนเองปิดด่านกักตนมานานเพียงใด บนร่างจึงสะสมฝุ่นเยอะขนาดนี้ ดูท่าครั้งหน้าต้องอุดหน้าต่างเล็กๆ ในห้องฝึกบำเพ็ญ ฝุ่นจะได้ไม่เข้ามามากขนาดนี้

พอตบฝุ่น ทั่วทั้งห้องฝึกบำเพ็ญก็เต็มไปด้วยฝุ่น นางสำลักจนต้องรีบผลักเปิดประตูห้องฝึกบำเพ็ญแล้วเผ่นออกไป อากาศสะอาดสดชื่นทะลักเข้าปอดนาง ทำให้นางสูดหายใจลึกๆ หลายครั้ง

ในขณะนี้เอง มีคนผู้หนึ่งเดินมาเบื้องหน้านาง จินเฟยเหยาเงยหน้าขึ้นมอง สาวงามอายุยี่สิบกว่าปีคนหนึ่งยืนอยู่เบื้องหน้า โดดเด่นเหนือธรรมดา มองนางด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มน้อยๆ

“เนี่ยนซี?” จินเฟยเหยามองนางอย่างตกตะลึง เหตุใดปิดด่านกักตนคราหนึ่ง เนี่ยนซีที่เพิ่งอายุสิบกว่าปีจึงอายุมากขึ้นขนาดนี้

เนี่ยนซีมองนาง แต่ไม่ได้เอ่ยตอบ เพียงหมุนกายจากไป เดินไปที่ศาลาเล็กๆ ข้างทะเลสาบ สายลมแผ่วเบาพัดพา ผ้าไหมที่แขวนอยู่บนร่างนางให้พลิ้วไหวอย่างอ่อนโยน เม็ดหยกบนร่างสั่นไหว งามจนทำให้คนตะลึง

“ต้านิว เจ้าเป็นคนตัดเสื้อผ้าให้เนี่ยนซีใช่หรือไม่? เจ้าแต่งตัวให้นางจนงดงามถึงเพียงนั้นทำไม มีคนแบบนี้อยู่ข้างกาย ข้ายังมีหน้าไปพบคนอีกหรือ” มองเนี่ยนซีที่งดงามขึ้นทุกที จินเฟยเหยามีโทสะพวยพุ่งจนคำรามลั่น

เดิมทีนางก็ไม่ใช่สาวงามอะไรอยู่แล้ว ต้องขอบคุณการฝึกบำเพ็ญ ดังนั้นจึงแก่ชราช้าและผิวพรรณดีหน่อย ดูแล้วรื่นตาขึ้นมาก แต่ตอนนี้มีสาวงามอยู่รอบกายทั้งวัน ฝึกบำเพ็ญไปก็ไร้ประโยชน์

เมื่อก่อนอายุยังน้อยยังไม่เด่นสะดุดตาขนาดนี้ ตอนนี้นางเติบใหญ่แล้ว ตนเองต้องถูกคนเห็นเป็นบ่าวรับใช้นางแน่ ได้ยินเสียงร้องเรียกของจินเฟยเหยา ต้านิวจึงวิ่งตุ้บตั้บเข้ามา พุงใหญ่กว่าเมื่อก่อนสองเท่าเห็นได้ชัดว่าอ้วนขึ้น นอกจากพุง ดูเหมือนจะมีบางแห่งไม่ถูกต้อง

เอี๊ยมแดงปักลายดอกไม้ แขนสวมผ้าไหมโปร่งบาง ยังมีบนศีรษะใช้แถบผ้าพันไว้ ปักปิ่นและดอกไม้จำนวนไม่น้อย มองต้านิวแต่งกายผิดปกติแบบนี้ พอเห็นหน้ามันอีก จินเฟยเหยาก็ตกใจจนเกือบจะร้องอุทานออกมา

บนใบหน้าของต้านิวฉาบทาแป้งชั้นหนึ่ง บนใบหน้าสีขาวมีสีแดงกลมๆ สองวง เดิมทีปากกบก็ใหญ่มาก ยังจงใจใช้สีแดงทาริมฝีปากจนออกมาเป็นปากสีโลหิต ทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวที่สุด กบไม่มีคิ้ว ทว่ารอบดวงตาของต้านิว ใช้ที่เขียนคิ้ววาดสีดำสนิทสองเส้น ดูแล้วน่าสยองขวัญ

“ต้านิว นี่ใครทำ! ใครกัน คิดไม่ถึงว่าจะทรมานสัตว์ภูติของข้าแบบนี้ อยากตายหรือ?” จินเฟยเหยาที่สงบจิตใจได้ เดือดดาลทันที

ใครบุกรุกเกาะเสี่ยวสือของนาง ทั้งยังพิเรนวาดต้านิวจนเหมือนผีแบบนี้ น่าชังเกินไปแล้ว พั่งจื่อล่ะ พั่งจื่อไปที่ใดแล้ว หรือว่าถูกผู้บุกรุกฆ่าตายแล้ว?

จินเฟยเหยาค้นหาผู้บุกรุกรอบด้านอย่างเดือดดาล ไม่ได้สังเกตเห็นท่าทางเขินอายของต้านิวเลยสักนิด ค้นหาอยู่รอบหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าจะไม่พบคนนอกบนเกาะ วงเวทวิญญาณสิบสองปิศาจยังกางอยู่ตรงนั้นดีๆ นอกจากนางบนเกาะก็มีต้านิวที่เหมือนผีอยู่ด้านหลัง ยังมีเนี่ยนซีนั่งอยู่ในศาลาริมน้ำ ยังไม่รู้ว่าพั่งจื่ออยู่ที่ใดดังเดิม

“ท่านเซียน ท่านกลับมาแล้ว?”

ในยามนี้เอง ตรงท่าเรือมีเสียงสตรีคนหนึ่งดังมา พอจินเฟยเหยามอง มีสตรีจูงเด็กน้อยยืนอยู่บนเรือปลาทองกำลังยิ้มให้นาง

จินเฟยเหยารู้สึกคุ้นตาคนธรรมดาผู้นี้อยู่บ้าง จึงเดินไปที่ท่าเรือ ไม่รอให้นางเอ่ยปากถาม สตรีผู้นี้ก็ฉุดลากเด็กน้อยด้านข้างมาคารวะนางพลางเอ่ยว่า “คารวะท่านเซียน จากกันบนเกาะซ่างเซียนครั้งที่แล้ว ไม่ได้พบท่านเซียนสิบปี คิดไม่ถึงว่าวันนี้ท่านเซียนจะกลับมา เสี่ยวกั่ว รีบคารวะท่านเซียน”

เด็กหญิงข้างกายนางรีบค้อมกายคารวะ เรียกท่านเซียนเสียงหวาน

“สิบปี?” เห็นคนธรรมดาเบื้องหน้า จินเฟยเหยาก็รู้สึกขัดเขินที่จะถามผู้อื่นว่าเจ้าเป็นใคร คิดจะมองดูจากหว่างคิ้วของนางว่าคนผู้นี้เป็นใคร คนที่นางรู้จักในเมืองวั่นเซียนสุ่ยมีไม่มากนัก น่าจะนึกออก

ทันใดนั้นก็นึกถึงใบหน้าอันงดงามของเนี่ยนซีขึ้นได้ จินเฟยเหยาตระหนักได้ว่า เกรงว่าตนเองปิดด่านกักตนมาสิบปี ไม่ใช่เพียงปีสองปีอย่างที่คิดไว้ ถ้าสิบปี และเคยจากกันที่เกาะซ่างเซียน ก็คือเสี่ยวหมางที่ลากเรือปลาทอง

นางพยักหน้าเอ่ยอย่างสุภาพทันที “เสี่ยวหมาง เรือลากปลาทองของเจ้ามีปลาทองสิบตัวลากแล้ว ท่าทางสิบปีมานี้จะอยู่อย่างมีความสุขดี นี่คือลูกของเจ้าหรือ? อายุเท่าไร หน้าตาเหมือนเจ้ามาก”

เสี่ยวหมางเห็นจินเฟยเหยาจำนางได้ ก็ยิ้มประจบเอาใจ “สิบปีมานี้ต้องขอบคุณท่านเซียนที่ดูแล ความเป็นอยู่ของครอบครัวข้าจึงดีขึ้น เรือปลาทองลำน้อยจึงกลายเป็นลำใหญ่ นี่คือบุตรสาวของข้า ปีนี้อายุสิบขวบแล้ว”

“ข้าดูแลเจ้าหรือ?” จินเฟยเหยาสงสัยอยู่บ้าง ขนาดประตูห้องฝึกบำเพ็ญนางยังไม่เคยออกมา คำว่าดูแลนางมาจากที่ใด

“ด้วยบารมีของท่านเซียนและแม่นางกบ แต่ละเดือนข้ามาส่งอาหารและของใช้ ศิลาวิญญาณที่มอบให้เพียงพอจะให้ครอบครัวข้าอยู่ได้” นี่เป็นบุคคลสำคัญที่ทำให้เสี่ยวหมางใช้ชีวิตอย่างอยู่ดีมีสุข ล่วงเกินไม่ได้ ท่าทางของนางทำให้คนรับไม่ไหว

จินเฟยเหยามองต้านิวที่เหมือนผีทางด้านข้างแวบหนึ่ง เอ่ยอย่างสงสัย “เจ้าบอกว่าแม่นางกบคือนาง?”

“ใช่ คือแม่นางกบ” เสี่ยวหมางรีบตอบ และรีบเอ่ยประจบต้านิว

“แม่นางกบ วันนี้ท่านแต่งตัวได้งดงามอย่างยิ่ง นายท่านกบต้องถูกท่านดึงดูดแน่”

“เดี๋ยวก่อน ดวงตาเจ้าไม่มีปัญหาแน่นะ อย่างมันเรียกว่าสวย?” จินเฟยเหยาอดเอ่ยถามไม่ได้ พอเสี่ยวหมางเห็น ท่าทีเช่นนี้คือไม่พอใจมิใช่หรือ นางรีบเอ่ยอย่างหวาดกลัว “ท่านเซียน ทั้งหมดนี้แม่นางกบวาดเองนะ ข้ารู้สึกว่าสำหรับกบแล้ว น่าจะถือว่าเป็นคนงาม”

ถามอยู่นาน ที่แท้ต้านิวเปลี่ยนแปลงตัวเอง จินเฟยเหยาครุ่นคิดไม่เข้าใจ อยู่ดีๆ ทำไมต้านิวต้องทำให้ตนเองกลายเป็นแบบนี้ด้วย อีกทั้งมันก็พูดไม่ได้ ชาดเหล่านี้มันไปเอามาจากที่ใด เดี๋ยวก่อน เมื่อครู่ดูเหมือนบนใบหน้าเนี่ยนซีก็มีเครื่องสำอาง เพียงแต่แต่งแต้มอย่างงดงาม ดังนั้นจึงไม่สังเกตเห็น

หรือว่าเนี่ยนซีพูดได้แล้ว สามารถสื่อสารกับคนได้ ไม่ใช่เรียกได้แต่หวาซี หวาซีไม่หยุดทั้งวัน?

นางเอ่ยถามเสี่ยวหมางอย่างตกตะลึง “แป้งและชาดที่ทาบนใบหน้าของมันทั้งหมดเป็นสิ่งที่คนในศาลาให้เจ้าซื้อ?”

“ไม่ใช่” เสี่ยวหมางส่ายศีรษะ “แม่นางท่านนั้นไม่เคยพูดกับข้า อย่างมากก็เพียงเคยนั่งบนท่าเรือ แต่ไม่พูดกับผู้อื่น”

“สิ่งของเหล่านี้เจ้าซื้อมา?” จินเฟยเหยาสิ้นหวังอย่างที่สุด ที่แท้เนี่ยนซียังเป็นเหมือนเดิม เสี่ยวหมางสั่นศีรษะราวกับกลองป๋องแป๋ง “ไม่ใช่ข้า ตอนแรกสุดมีคนวานให้ข้าส่งมา ต่อมาแม่นางกบดูเหมือนจะชื่นชอบ หยิบกล่องเปล่าที่ใช้หมดมาชี้ให้ข้าดูประจำ ตอนมาส่งอาหารทุกครั้ง จึงนำมาให้แม่นางกบบ้าง มันเก็บอย่างดีอกดีใจ แต่ส่วนมากผู้อื่นส่งมา”

นางไม่กล้าบอกว่าช่วยส่งสิ่งของให้ผู้อื่น ทั้งยังเก็บค่าส่งได้มากจนสร้างห้องในบ้านได้หลายห้อง ลูกใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย ล้วนอาศัยค่าวิ่งเต้นนี้

“ส่งมา? เหตุใดข้าจึงฟังไม่เข้าใจ” ยามนี้จินเฟยเหยามึนงงไปหมดจริงๆ ไม่ได้ออกมาสิบปี เรื่องบนเกาะของตนเอง นางล้วนทำความเข้าใจไม่กระจ่าง ถึงแม้ก่อนนางปิดด่านกักตน เกรงว่าพวกพั่งจื่อที่พูดภาษามนุษย์ไม่ได้จะอดตาย จึงใช้นกถ่ายทอดเสียงส่งข้อความไปหาเสี่ยวหมาง ให้ทุกครึ่งเดือนหรือหนึ่งเดือนส่งอาหารมาให้ และสั่งให้ต้านิวจ่ายศิลาวิญญาณ แต่เหตุใดยังมีคนส่งสิ่งของที่สตรีใช้มาด้วย

เสี่ยวหมางนึกว่าจินเฟยเหยาไปข้างนอกสิบปีเพิ่งกลับมา จึงชี้รอบด้านพลางเอ่ยว่า “ท่านเซียน ท่านเพิ่งกลับมายังไม่รู้ เกาะของท่านกลายเป็นเกาะที่มีชื่อเสียงในเมืองวั่นเซียนสุ่ยนานแล้ว ท่านดูสิ คนเหล่านั้นล้วนมาชมทิวทัศน์ที่นี่”

จินเฟยเหยามองไปรอบด้าน พบว่ามีเรือท่องเที่ยวลำใหญ่ลอยอ้อยอิ่งรอบเกาะของตนเอง ใช้การรับรู้กวาดไปดู พบว่าคนเหล่านั้นล้วนเป็นคนธรรมดา เพียงแต่แต่งกายไม่ธรรมดา บางคนยังมีผู้บำเพ็ญเซียนเป็นผู้คุ้มกัน คนเหล่านี้นำสุราอาหาร ฉุดลากสหาย เงยหน้ามองบนเกาะตลอด

จินเฟยเหยามองไปบนเกาะตามสายตาของพวกเขา แวบเดียวก็เห็นเนี่ยนซีที่นั่งอยู่ในศาลา

ส่วนเสี่ยวหมางก็เอ่ยต่อ “คุณหนูท่านนี้ของตระกูลท่านเซียนงดงามอย่างยิ่งจริงๆ ห้าปีก่อนมีคนพบว่านางนั่งอยู่ที่นี่ทั้งวันโดยบังเอิญ ตกตะลึงในรูปโฉมของนาง ท่านเซียนก็ไม่อยู่บ้าน นกถ่ายทอดเสียงที่คนฝากส่งมาล้วนกลับไปแบบปากเปล่า ดังนั้นจึงได้แต่ชมดูอยู่นอกเกาะทั้งวัน จากหนึ่งเป็นสิบ จากสิบเป็นร้อย บุตรหลานตระกูลผู้ดีในเมือง ได้ยินว่าที่นี่มีสาวงามหยาดฟ้ามาดิน หลังจากได้ยลโฉมแล้วก็อุทานว่าเทพธิดา ดังนั้นทุกวันจึงมีผู้คนมากมายมาชมดู ส่วนสิ่งของเหล่านี้ เนื่องจากรู้ว่าข้ามาส่งอาหารบนเกาะจึงฝากข้ามามอบให้แม่นางเทพธิดา”

จินเฟยเหยามองรอบด้านอย่างหมดคำพูด เรือท่องเที่ยวมากถึงยี่สิบกว่าลำ หูยังได้ยินเสียงของเสี่ยวหมางดังมาว่า “ได้ยินว่าผู้บำเพ็ญเซียนตระกูลผู้ดีมากมายล้วนอยากแต่งแม่นางเทพธิดาผู้นี้เป็นภรรยา”

“วันหนึ่งอยู่ว่างไม่ได้จริงๆ ไม่พูดจาก็ล่อผึ้งล่อผีเสื้อ[1]มาให้ข้า” จินเฟยเหยาเช็ดหน้าผาก ปวดศีรษะจริงๆ

………………………………………

[1] ล่อผึ้งล่อผีเสื้อ หมายถึง ดึงดูดเพศตรงข้าม