บทที่ 122: การเลียของสุนัขนามฉินเย่ (1)

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 122: การเลียของสุนัขนามฉินเย่ (1)

ยวีกั๋วฮุยชะงักไปเล็กน้อย

เขายังไม่ได้เอ่ยอะไรออกไปทันที แต่กลับวางถ้วยชาในมือลงและจัดแว่นตาของตัวเองเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้งว่า “คุณฉิน…พึงรู้เอาไว้นะว่าทุกอย่างที่คุณพูดในวันนี้จะถูกบันทึกไว้ในฐานของมูลของ SRC ในรูปแบบของวิดีโอ”

ฉินเย่พยักหน้าหนักแน่น ในขณะที่ยังสบตากับยวีกั๋วฮุยไปด้วย

ไม่กี่วินาทีต่อมายวีกั๋วฮุยจึงพยักหน้าเบา ๆ ด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมกว่าเดิม “ถ้าเช่นนั้นก็เชิญพูดมาเถอะ”

“มันจะมากเกินไปแล้ว!” ในเวลานี้ กลุ่มคนจำนวนห้าคนกำลังนั่งดูภาพจากกล้องของห้องสังเกตการณ์อยู่ที่ชั้น 1 และชายในชุดปฏิบัติการสีขาวสามคนก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกันด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก

หลินฮั่นรู้สึกราวกับว่ามีใครบางคนกำลังจ้องมองเขาอยู่ มันเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาด ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้มีพลังมากนั้น แต่เขาแค่รู้สึกอึดอัดและคล้ายกับถูกมองอย่างทะลุปรุโปร่งภายใต้สายตาที่ดูลึกลับคู่หนึ่ง ชายหนุ่มกระแอมออกมาเบา ๆ ขณะที่กลับมาสนใจกับสถานการณ์ตรงหน้า “มีอะไร? เกิดอะไรขึ้น?”

“รหัส S9527… เขา…ไม่รู้จักขอบเขตของตัวเอง!” ชายผู้หนึ่งในกลุ่มปฏิบัติการทั้งสามที่มีใบหน้าราวกับรูปปั้นแกะสลักเอ่ยออกมาเสียงดังขณะที่เดินไปรอบ ๆ ห้องอย่างร้อนใจ “ผู้เฒ่ายวีใจดีถึงขนาดที่เอ่ยเตือนเขาแล้วว่าทุกสิ่งที่เขาพูดในวันนี้จะถูกบันทึกไว้ในฐานข้อมูลของ SRC แต่เขาก็ยังยืนยันที่จะทำตามใจตัวเองเนี่ยนะ?! จบแล้ว…ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว!”

“คุณหมายความว่าอย่างไร?” หลินฮั่นเอ่ยถามขณะยกมือขึ้นมาเกาศีรษะของตนอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก

และก็เป็นซู่เฟิงนี่เองที่ตอบคำถามของเขา “เขาหมายความตามที่พูดนั่นแหละ ผู้เฒ่ายวีเพียงถามด้วยความสุภาพเท่านั้น เป็นธรรมดาที่ผู้เห็นเหตุการณ์ที่จะมีความคิดเป็นของตัวเอง แต่สิ่งที่เขาไม่ควรทำก็คือ…การพูดสิ่งที่ตัวเองต้องการในสถานที่แบบนี้”

“คนอีกฝ่ายที่เขาคุยด้วยเป็นใคร? เขาไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นนักวิชาการวิญญาณที่มีชื่อเสียงมากที่สุดบนผืนแผ่นดินจีน ฉินเย่ได้แก้ไขปัญหาที่รบกวนหัวข้อการวิจัยของเขา และมันก็คงจะเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงเชิญฉินเย่มาที่นี่เพื่อบันทึกการรายงานของเขาแบบนี้ เขาเพียงอยากจะยืมมือของฉินเย่เพื่อเพิ่มมุมมองของตัวเองเท่านั้น”

“เพราะไม่ว่าอย่างไรแล้ว ด้วยระดับขั้นของผู้เฒ่ายวี รายงานนี้จะต้องถูกส่งตรงไปที่ผู้บริหารระดับสูงขององค์กรแน่ ๆ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ นี่คือโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับฉินเย่ที่จะสร้างความประทับใจอย่างไรล่ะ….”

หลินฮั่นที่ยังไม่เข้าใจสิ่งที่เพื่อนของคนพูดนักจึงถามต่อว่า “ไม่ใช่ว่าการพูดความคิดเห็นของเขาจะยิ่งสร้างความประทับใจหรอกเหรอ?”

ซู่เฟิงส่ายหน้า “ไม่ ความคิดเห็นของเขาจะไปเทียบกับของ SRC ได้อย่างไรกัน? ก็เหมือนกับการที่มือสมัครเล่นที่มาแสดงฝีมือของเขาต่อหน้าผู้เชี่ยวชาญนั่นแหละ พวกระดับสูงจะคิดอย่างไรเมื่อเขาทำเรื่องผิดพลาดแบบนี้ขึ้น? ไม่จำเป็นต้องเดาเลยด้วยซ้ำ พวกเขาก็จะพูดว่า เด็กนี่ไม่เลวเลย แต่เขามีความทะนงตนเกินไป และทันทีที่พวกเขาประเมินฉินเย่ออกมาแบบนี้ อนาคตของฉินเย่ก็อาจจะถูกจำกัดอยู่เพียงเท่านี้”

“ความประทับใจแรกนั้นคือสิ่งที่จะฝังรากลึกอยู่ภายในใจของผู้คน มันอาจจะดูไม่มากนัก แต่ทันทีที่รายงานของฉินเย่ถูกสั่งไปที่ฝ่ายบริหารระดับสูงอีกครั้ง มันจะดึงความทรงจำเกี่ยวกับความประทับใจแรกของเขาขึ้นมาทันที เว้นเสียแต่….”

เขามองหน้าจออย่างมีความหมายขณะที่หลินฮั่นพึมพำออกมาเบา ๆ “เว้นเสียแต่…เขาจะพูดอะไรที่แปลกใหม่และเปิดหูเปิดตาหรือ?”

ซู่เฟิงพยักหน้า จากนั้นก็ส่ายศีรษะอีกครั้ง

“พูดนั้นง่ายกว่าทำ” เขาถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน “SRC…คือป้อมปราการแห่งทฤษฎีและคลังปัญญาของจีนที่คอยให้การสนับสนุนการทำสงครามกับเหล่าภูตผี การที่จะทำให้พวกเขาประหลาดใจด้วยข้อมูลใหม่ ๆ…จึงเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก ยากมาก ยากมาก ๆ”

บนห้องในชั้น 2

“ถ้าเช่นนั้นผมก็จะพูดความจริงบางอย่างให้คุณฟัง” ฉินเย่รู้ดีว่าเมื่อใดที่เขาควรจะหยุดและเมื่อใดเขาควรจะไปต่อ และด้วยเหตุนี้ เขาจึงรู้ดีว่าข้อมูลที่ตนได้ให้กับอีกฝ่ายไปนั้นเพียงพอที่จะมอบความประทับใจมิรู้ลืมให้กับฝ่ายตรงข้ามแล้ว

เด็กหนุ่มมิได้รับรู้ถึงความร้อนใจของผู้ที่กำลังมองดูเขาจากห้องที่ชั้น 1 เลยสักนิด สิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจก็คือข้อเท็จจริงที่ว่าอาร์ทิสนั้นมีข้อมูลเชิงลึก และความรู้เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนในที่นี้จะต้องอับอาย!

เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ เอนตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย และเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำ “จากมุมมองความคิดของผม…ในโลกนี้มีดวงวิญญาณอยู่หลายประเภท และพวกมันก็มีลักษณะนิสัยที่แตกต่างกัน และก็ก่อให้เกิดภัยคุกคามในระดับที่แตกต่างกันสำหรับพวกเราทุกคนด้วย!”

แววตาของยวีกั๋วฮุยหม่นลงเล็กน้อย และภายในใจของเขารู้สึกผิดหวังขึ้นมา

การบันทึกวิดีโอยังคงดำเนินต่อไป และมันก็สายเกินไปเสียแล้วที่จะกอบกู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ตอนแรกเขาแอบหวังลึก ๆ ว่าคนตรงหน้าจะพูดข้อมูลเชิงลึกใหม่ ๆ แต่…สถานการณ์ในตอนนี้ก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายของเขาเช่นกัน

คนอื่น ๆ อาจจะไม่รู้ว่าพวกเขาใช้ระบบแบบใด แต่สำหรับคนวงในแล้ว เขารู้ดีว่าวิดีโอที่เกี่ยวข้องทั้งหมดจะต้องได้รับการตรวจสอบโดยผู้ฝึกตนขั้นตุลาการนรกจากทั้ง SRC รวมถึงหน่วยสอบสวนพิเศษ

ความหวังของเขาในตอนนี้ก็คือการได้รับข้อมูลเชิงลึกใหม่ ๆ จากฉินเย่มากกว่า

เมื่อสัมผัสได้ถึงความเงียบที่ชวนอึดอัด ฉินเย่จึงยิ้มออกมาและเอ่ยว่า “ศาสตราจารย์ยวีครับ สิ่งที่ผมจะพูดก็คือ…ขอบเขตของความอันตรายที่จะเกิดขึ้นนี้อาจอยู่เหนือจินตนาการที่คุณคิดก็ได้”

“อย่างเช่น?”

“อย่างเช่น…วิญญาณแห่งฝันร้าย”

ทันทีที่คำพูดพวกนี้ออกมาจากปากของฉินเย่ ดวงตาที่หม่นแสงของยวีกั๋วฮุยพลันลุกโชนไปด้วยความตื่นเต้นอีกครั้ง สิ่งแรกที่เขาทำก็คือการค้นหาในฐานข้อมูลที่อยู่ภายในหัวของตัวเองเมื่อได้ยินชื่อนั้น

ไม่มี…

ไม่มี! ไม่มีเลย!

มันเป็นข้อมูลใหม่!

“นี่คุณ….ไม่ได้แต่งมันขึ้นมาใช่ไหม?” เขาถามอย่างเคลือบแคลงใจ

ฉินเย่นั้นยังอายุน้อยเกินไป

“…ขอโทษด้วย ผมไม่ได้มีเจตนาแบบนั้น แต่การจำแนกวิญญาณนั้นเป็นสิ่งที่สามารถทำได้หลังจากการรวบรวมข้อมูลที่มากพอและทดสอบสมมติฐานที่จำเป็นเท่านั้น หรือพูดอีกอย่างก็คือ คุณต้องหาข้อสันนิษฐานที่มีอยู่ หาผลลัพธ์และข้อพิสูจน์ที่จำเป็น ซึ่งด้วยอายุของคุณ….” ชายสูงวัยจงใจละส่วนที่เหลือของประโยคเอาไว้

อายุแค่ 18 จะผ่านชีวิตมามากสักแค่ไหนกัน?

ฉินเย่ยิ้ม

หนทางที่ดีที่สุดในการเป็นสุนัขเลียแข้งคืออะไร?

ตามธรรมดาแล้วหลายคนคงจะตอบว่าต้องเลียเจ้านายจนกว่าเขาจะไล่…แต่ไม่! มันคือการเลียโดยให้อีกฝ่ายรู้สึกสบายใจมากที่สุด และเลียในจุดที่เขาต้องการมันมากที่สุดต่างหาก!

และเมื่อคนตรงหน้าเป็นนักวิชาการ อีกฝ่ายย่อมต้องแพ้ให้กับความรู้และข้อมูลเชิงลึกอย่างแน่นอน

คุณไม่รู้เหรอ?

ขอโทษที ผมไม่ได้พูดถึงพวกคุณผู้อ่าน ผมกำลังพูดถึงคนใน SRC ทั้งหมด…อะแฮ่ม…เมื่อเทียบกับความรู้มากมายของนรกที่ถูกสั่งสมมาเป็นเวลาหลายพันปี SRC ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับวิญญาณเลยแม้แต่นิดเดียว!

เหยื่อได้รับติดกับที่เขาวางเอาไว้เรียบร้อยแล้ว….

“มีอย่างหนึ่งที่ผมไม่ได้บอกคุณก่อนหน้านี้ อันที่จริง ผมได้ถามวิญญาณดวงสุดท้ายในเหตุการณ์นี้ถึงที่มาของเธอ” เขาเอ่ยเสียงเบา “นี่จึงทำให้ผมได้รู้ว่าวิญญาณตนนั้น แท้จริงแล้ว เป็นบรรพบุรุษของซงเจียฝางเอง เธอได้ตั้งท้องและถูกทำร้ายจนเสียชีวิตภายในซ่องโสเภณี และมันก็เป็นความอาฆาตแค้นภายในใจของเธอที่ทำให้เธอกลายเป็นวิญญาณอาฆาตในเวลาต่อมา”

“ตอนนี้ภายในหัวของผมกำลังสมมติฐานที่แปลกประหลาดมาก ๆ อยู่อย่างหนึ่ง” เขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของชายสูงวัย “ถ้าหาก…สายเลือดของดวงวิญญาณสามารถถูกปกปิดและถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ล่ะ?”

ถูกต้องแล้ว สิ่งที่เขาไม่ได้พูดออกไปก่อนหน้านี้ก็คือเงื่อนไขที่จำเป็นต่อการกระตุ้นที่ทำให้เกิดวิญญาณมรดกสายเลือด

การเลีย…จำเป็นจะต้องทำอย่างช้า ๆ ไม่ใช่เหรอ? มันคงรู้สึกไม่ดีนักหากขาดจุดเปลี่ยนของเรื่องก่อนที่จะถึงจุดสุดยอด

แววตาของผู้เฒ่ายวีจับจ้องไปที่เด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างตกตะลึง เขาแทบจะลุกขึ้นยืนอยู่แล้วด้วยซ้ำ!

ช่างเป็นความคิดที่แปลกใหม่จริง ๆ!

วิญญาณและวิทยาศาสตร์นั้นเป็นสองสาขาวิชาที่ SRC พยายามบูรณาการมาตลอดหลายปี พวกเขาพยายามอย่างหนักในการพัฒนาอาวุธและอุปกรณ์ที่สามารถใช้กับวิญญาณโดยเฉพาะ หน้าไม้ที่เคยใช้ที่เมืองเป่าอันก่อนหน้านี้ก็คือสิ่งที่พวกเขาพัฒนาขึ้นมา แต่ถึงอย่างนั้น…แม้แต่ SRC เองก็ไม่เคยพิจารณาถึงความเป็นไปได้ของความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างวิญญาณและคนเป็นมาก่อน!

วิญญาณ…สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากความตาย…

และในเมื่อเป็นอย่างนั้น…ทำไมวิญญาณจะไม่สามารถซ่อนตัวอยู่ภายในร่างของมนุษย์ได้?

“DNA…จิตวิญญาณ…วิญญาณ…” ผู้เฒ่ายวีหลับตาลง ภายในหัวของเขาเริ่มทำงานด้วยความเร็วสูงสุด ใบหน้าของเขาแดงขึ้นเล็กน้อย

ทุกอย่างกำลังจะเชื่อมเข้าด้วยกัน…

กลับลงมาที่ห้องสังเกตการณ์ที่อยู่ชั้น 1 ชายในชุดปฏิบัติการสีขาวทั้งสามต่างจ้องมองหน้าจอด้วยสีหน้าตกตะลึงและปากที่อ้ากว้าง

“เกิดอะไรขึ้น?” หลินฮั่นและซู่เฟิงจับแขนของคนทั้งสามอย่างร้อนใจ “เขาพูดอะไรผิดอย่างนั้นเหรอ?”

“ไม่ใช่…” หนึ่งในสามหันกลับมา ร่างของเขาสั่นเทาเล็กน้อย ขณะที่แววตาเต็มไปด้วยความล้ำลึกราวกับว่าความสงสัยและปริศนาที่ซับซ้อนของเขาได้รับการเปิดเผยแล้ว “เขา…เขาแค่พูดในสิ่งที่สุดยอดมาก ๆ”

ชายอีกคนหนึ่งอ้าปากค้างก่อนจะถามว่า “ด้วยคำพูดเพียงเท่านี้…ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาแตกต่างจากคนอื่น ๆ แล้ว!”

หลินฮั่นและซู่เฟิงที่ได้ยินเช่นนั้นหันไปมองหน้ากันด้วยสีหน้าแปลกประหลาด และก็เป็นซู่เฟิงที่พึมพำออกมาเบา ๆ “อย่างที่ฉันเคยพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ หากฉินเย่ได้จุดประกายหรือข้อมูลใหม่ ๆ มาสู่พวกเรา…ความพยายามเหล่านี้ก็จะเป็นถนนที่ปูทางไปสู่สายอาชีพของเขาในอนาคต”

“แต่มันก็เป็นดาบสองคม การอยู่เงียบ ๆ และเต้นไปตามคำสั่งของผู้เฒ่ายวีนั้นเป็นตัวเลือกที่เป็นกลางที่สุด แต่…เขาเลือกที่จะทำให้ตัวเองกลายเป็นที่สนใจในวิดีโอที่จะถูกส่งให้กับฝ่ายบริหารระดับสูง หากเขาสามารถนำข้อมูลเชิงลึกใหม่ ๆ มาได้…วันหนึ่ง เขาก็อาจจะกลายเป็นบุคคลผู้มีชื่อเสียงที่เดินอยู่ในหมู่คนธรรมดาอย่างโจวเซียนหลงก็เป็นได้”

ชายหนุ่มมองหลินฮั่นด้วยสายตาที่เคร่งขรึมกว่าเดิม “เขาจะไม่ได้เป็นแค่อาจารย์อีกต่อไป แต่จะกลายเป็นหนึ่งในสมาชิกหลักของกองกำลังของประเทศ ซึ่งเป็นผู้นำในการต่อต้านกองกำลังจากโลกใต้พิภพ! น้องหลิน พวกเราเองก็อยู่ในวงการนี้มาเกือบจะ 20 ปีแล้ว แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เราเคยเห็นใครที่ปีนป่ายขั้นตำแหน่งด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อย่างนี้มาก่อนหรือเปล่า? เรากำลังพูดถึงคนที่สร้างความสั่นสะเทือนให้แม้แต่กับพวกระดับสูงเอง!”

นี่มันเทียบได้กับการได้เลื่อนเป็นระดับผู้ว่าการระดับเมืองที่ติดอันดับหนึ่งในสิบกองกำลังในจีนหลังจากไม่กี่วันที่ก่อตั้งเมืองขึ้นไม่มีผิด ความประทับใจแรกของเขาจะฝังรากลึกอยู่ในใจของพวกผู้บริหารระดับสูงตลอดไป

มันอาจจะดูไร้ประโยชน์ในตอนนี้ แต่มันจะมีประโยชน์ขึ้นมาทันทีเมื่อฉินเย่เริ่มดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ประจำสาขา หรืออาจจะ…รองผู้อำนวยการเลยก็ได้!

“หืม? คุณฉิน? ฉันได้อ่านข้อมูลของเขาแล้ว เขาเป็นคนที่มีข้อมูลเชิงลึกอยู่มากจนน่าเหลือเชื่อเลยล่ะ มันก้าวเข้าสู่ยุคสมัยของเขาแล้วสินะ”

“หืม คุณฉินกำลังจะได้รับตำแหน่งรองผู้อำนวยการหรือ? ฉันเคยเห็นวิดีโอของเขาก่อนหน้านี้ ไม่เลวเลย”

ทันทีที่คำพูดดังกล่าวหลุดออกมาจากปากของผู้ฝึกตนขั้นตุลาการนรกพูดออกมาอย่างนั้น คนทั้งหมดก็แทบจะมีข้อสรุปเดียวกัน

ชายในชุดปฏิบัติการคนสุดท้ายนวดคลึงบริเวณขมับของตัวเองเบา ๆ ในขณะเดียวกัน ใบหน้าของเขาก็แดงขึ้นเล็กน้อย “การวิจัยล้วนเกิดจากวินาทีแห่งปัญญา เหมือนอย่างนิวตันกับแอปเปิลของเขา และวันนี้…ฉันก็ได้เห็นแสงสว่างแล้ว!”

การพูดคุยในชั้นที่ 1 มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่รับรู้ กลับมาที่ห้องบันทึกเสียงบทชั้นที่ 2 รอยยิ้มของผู้เฒ่ายวีได้หายไปแล้ว และเขาก็สบตาฉินเย่นิ่ง ๆ “นั่นเป็นสมมติฐานที่ชาญฉลาดมาก”

“หัวข้อวิจัยนั้นเกิดจากแรงบันดาลใจ 1% การคาดเดาและตั้งสมมติฐาน 49% และการทำงานอย่างหนักอีก 50%”

“และสิ่งที่คุณเพิ่งพูดออกมาก่อนหน้านี้ก็คือ 1% ที่หาได้ยากและมีค่าที่สุด!”

ชายทั้งสามในชุดปฏิบัติการที่อยู่ชั้น 1 ต่างอ้าปากค้างอย่างพร้อมเพรียงกัน

ผู้ที่รู้จักกับผู้เฒ่ายวีจะรู้ดีว่าคำชื่นชมพวกนี้เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยได้ยินเลยแม้แต่ครั้งเดียวในช่วงตลอดสามปีที่ผ่านมา

ถ้วยชาของชายสูงวัยได้เย็นชืดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้ฝึกตนขั้นนักล่าวิญญาณจากก่อนหน้านี้เดินเข้ามาและเอ่ยถามเบา ๆ “ศาสตราจารย์ครับ คุณต้องการ…”

“ไม่” ยวีกั๋วฮุยเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ “ห้ามใครเข้ามาถ้าไม่ได้รับคำสั่งจากฉัน คุณฉิน เชิญว่าต่อได้เลย”

นี่แหละคือสิ่งที่เขาเรียกว่าการเลียที่ดี

ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็เริ่มลงรายละเอียดมากขึ้น “ตอนที่ผมอยู่ในเขตไล่ล่าที่ ‘สาบสูญ’ ก่อนหน้านี้ ผมพบว่าดวงวิญญาณดวงนั้น ที่จริงแล้วเป็นบรรพบุรุษของซงเจียฝางเอง หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่าวิญญาณบรรพชน หากไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่าเธอได้หลบซ่อนตัวอยู่ในสายเลือดของซงเจียฝาง มันก็ไม่มีทางที่เธอจะสามารถปรากฏตัวขึ้นที่นั่นได้ ดังนั้นผมจึงอนุมานคร่าว ๆ เอาไว้”

“ข้อแรก มีความเป็นไปได้สูงว่าวิญญาณพวกนี้จะเกิดจากร่างของผู้หญิงธรรมดา ๆ ที่กลายเป็นผีในขณะที่พวกเธอยังมีชีวิตอยู่ในฐานะมนุษย์ นอกจากนี้ ผู้หญิงคนดังกล่าวจะต้องตั้งท้องที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเองก่อนที่เธอจะกลายร่างเป็นภูตผี”

“ข้อที่ 2 สายเลือดของพวกเขาจะถูกกระตุ้นด้วยเงื่อนไขเฉพาะบางอย่างเท่านั้น ผมให้ชื่อปรากฏการณ์นี้ว่า วิญญาณมรดกสายเลือด”

“วิญญาณมรดกสายเลือด…” ยวีกั๋วฮุยเอ่ยทวนคำดังกล่าวและพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ฉลาดมาก”

ฉินเย่เรื่อยม้วนสายเบ็ดขึ้นมา “ผมมั่นใจว่าคุณคงจะรู้อยู่แล้วว่าพวกวิญญาณที่เกิดมาจากมรดกทางสายเลือดนั้นมีความพิเศษเพียงใด จากสมมติฐานของผม การบรรจบกันอย่างไม่น่าเชื่อของเงื่อนไขที่จำเป็นในการก่อตัวของวิญญาณพวกนั้น ย่อมหมายความว่าการปรากฏตัวของพวกมันมีอยู่เพียงร้อยละศูนย์จุดศูนย์อะไรสักอย่างเท่านั้น จากจำนวนประชากรวิญญาณทั้งหมด และวิญญาณพวกนี้ก็เป็นภัยคุกคามกว่าวิญญาณในเขตไล่ล่าอื่น ๆ ที่พวกเราเคยเผชิญหน้ามาเสียอีก!”

ชายสูงวัยพยักหน้าเล็กน้อย สิ่งที่อีกฝ่ายพูดก็เป็นการอนุมานของเขาเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่การอนุมานของเขานั้นไม่ได้สมบูรณ์แบบเท่าของฉินเย่

ยิ่งเขาฟังสิ่งที่เด็กหนุ่มตรงหน้าพูดมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าสมมติฐานและการคาดเดาของเขาได้รับการยืนยันมากขึ้นเท่านั้น และมันยังเป็นการยืนยันที่ผ่านการยืนยันและพิสูจน์มาแล้วด้วย แม้ว่าฉินเย่จะไม่ได้พูดสิ่งเหล่านี้เพื่อให้เขาสบายใจ แต่มันกลับทำให้เขารู้สึกดีอย่างน่าเหลือเชื่อ

มันเป็นเรื่องยากมากที่จะคนที่มีความเข้าใจในเรื่องเดียวกันแบบนี้

เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตัวเองกำลังได้ข้อมูลเชิงลึกที่ลึกมาก ๆ ผ่านจากการรายงานของเด็กอายุ 18 ปี เกี่ยวกับสิ่งที่เขาต้องเผชิญหน้าในเขตไล่ล่าพิเศษ! ผู้เฒ่ายวีตกตะลึงเล็กน้อย แต่เขาก็รู้สึกตัวและฟังสิ่งที่อีกฝ่ายพูดอย่างตั้งใจ

ฉินเย่ยังคงเอ่ยต่ออย่างสบาย ๆ ว่า “และมันก็เป็นเพราะสิ่งนี้ที่ทำให้ผมนึกถึงวิญญาณแห่งฝันร้าย”

สายตาของเขาสบเข้ากับยวีกั๋วฮุย “ศาสตราจารย์ครับ ผมแทบจะมั่นใจเลยว่ามันยังมีตัวตนที่ทรงพลังมาก ๆ อยู่ในหมู่วิญญาณทั้งหมด พวกมันเป็นวิญญาณที่มีอัตราการเกิดน้อยจนน่าเหลือเชื่อ แต่เมื่อใดก็ตามที่พวกมันเกิดขึ้น ระดับพลังและความอันตรายของพวกมันจะเหนือกว่าวิญญาณร้ายธรรมดาเป็นอย่างมาก! ผมจึงอยากที่จะให้ทาง SRC และหน่วยสอบสวนพิเศษปฏิบัติหน้าที่กันอย่างระมัดระวัง ยกตัวอย่างเช่นวิญญาณแห่งฝันร้าย มันจะต้องถูกกำจัดไปในทันทีที่มันปรากฏตัว!”

“และที่เป็นแบบนี้ก็เพราะ…พวกมันสามารถก้าวขึ้นไปอยู่ขั้นภูตผีคลุ้มคลั่งได้ในระยะเวลาเพียงแค่สามปีเท่านั้น!”

ดวงตาของยวีกั๋วฮุยเป็นประกายขึ้นขณะที่เขาสบตากับฉินเย่ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยออกมาเบา ๆ ว่า “ภูตผีคลุ้มคลั่ง?”

“วิญญาณขั้นตุลาการ” ฉินเย่เอ่ยด้วยเสียงเย็นยะเยือก

และเอ่ยต่อว่า “ในขณะที่เขตไล่ล่าอื่นยังคงดิ้นรนเหมือนกับดวงวิญญาณมือใหม่ ภูตผีพวกนี้…สามารถสร้างพายุฝนฟ้าคะนองปกคลุมทั้งมณฑลให้ตกอยู่ในความหวาดกลัวได้!”