หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.427 – การต่อสู้ครั้งสุดท้าย

 

บนท้องฟ้า

 

แสงอันไพศาลได้กวาดข้ามโลกทั้งใบ ราวกับสายน้ำที่ตกลงสู่พื้นโลก

 

รังสีแสงอันงดงามนี้คือกฏเกณฑ์จากโลกปรภพ

 

มันคือแสงที่จะเป็นตัวนำพาคนตายนับล้านๆคนไปเกิดใหม่

 

ตามแรงกรรมจากในอดีตชาติของคนตาย คนตายทั้งหมดจะถูกส่งไปเกิดใหม่ในหกวิถีแห่งสังสารวัฏอื่นๆอีกห้าโลก

 

สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่ได้ไปเกิดใหม่ จะปรากฏขึ้นในโลกที่เกินกว่าขอบเขตของมนุษย์จะจินตนาการได้

 

หากไปเกิดใหม่อีกครั้งในอาณาจักรสวรรค์ ก็อาจจะเป็นการถือกำเนิดขึ้นจากดอกบัว บ้างก็ก่อร่างสร้างกายขึ้นจากสายลมสีทอง ขณะที่บ้างก็ถือกำเนิดขึ้นจากผลที่ร่วงหล่นลงมาจากต้นไม้ดึกดำบรรพ์

 

หากไปเกิดใหม่อีกครั้งในอาณาจักรของอาชูร่าทั้งสี่เผ่าพันธุ์ ก็อาจจะเป็นการถือกำเนิดขึ้นจากพวกน้ำ บ้างก็ไฟ บ้างก็ทอง บ้างก็จากดอกไม้

 

กล่าวได้ว่าโลกสวรรค์กับโลกอาชูร่าน่ะ เป็นโลกชั้นสูงหากนับจากในบรรดาหกวิถี

 

ในขณะที่หากคนตายถูกส่งไปเกิดใหม่อีกครั้งในโลกจ้าวอสูรหรือผีร้าย มันก็จะคล้ายคลึงกับการไปถือกำเนิดใหม่ในโลกมนุษย์ ซึ่งแน่นอนว่าจะมีลักษณะแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็น สรีระ สีผิว ความนึกคิด สถานะ ฯลฯ

 

แถมขณะนี้ โลกปรภพและโลกมนุษย์ก็ยังเกิดการผสานรวมกันอย่างรุนแรง

 

กฏแห่งการถือกำเนิดใหม่จึงปรากฏออกมาในรูปแบบของประกายเจิดจรัส มันแขวนอยู่บนฟากฟ้าราวกับม่านแสง โอบอุ้มทุกคนตายเอาไว้

 

แต่ภายใต้ท้องฟ้าที่กำลังสาดรังสีแสงนี้ คนตายกลับยังมิได้จากไป

 

พวกเขายังคงเฝ้ารอให้กำแพงอุปสรรคที่ใช้ป้องกันโลกถือกำเนิดขึ้น

 

โลกใหม่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า

 

เหนือท้องฟ้าเบื้องบน เผ่ามารนับไม่ถ้วนเปล่งเสียงร้องด้วยความกระวนกระวาย แม้กระทั่งอสูรกายก็ยังเฝ้ารอคอยอย่างใจจดใจจ่อ

 

ขณะที่ท้องฟ้าเบื้องล่าง มีเพียงแค่ความเงียบ

 

คนตายนับล้านล้านกำลังจดจ้องแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความระแวดระวัง เพื่อป้องกันไม่ให้เผ่ามารตนใดย่างกรายเข้ามา

 

กู่ฉิงซานเชื่อมต่อกับเทพธิดากงเจิ้ง เขาขอให้เธอเปิดม่านแสงนับสิบๆเรียงติดต่อกันเพื่อบันทึกทุกรูปแบบของเผ่ามารที่ปรากฏขึ้นทั้งหมดโดยเร็วที่สุด

 

นี่นับว่าเป็นครั้งแรกเลยที่มนุษย์ได้เผชิญกับเผ่ามารในระยะประชิด

 

รูปร่าง ลักษณะ ประเภท และแม้กระทั่งนิสัยหรือพฤติกรรมของพวกมาร ก็ล้วนแล้วแต่เป็นข้อมูลอันทรงคุณค่าในอนาคต!

 

กู่ฉิงซานจ้องจอม่านแสงตาไม่กระพริบเป็นเวลามานานกว่าสิบนาที

 

ในที่สุด เขาก็ถอนหายใจบรรเทาความตึงเครียดออกมา

 

-โชคดีจริงๆ ที่ไม่มี ‘อสูรกายที่แท้จริง’ อยู่ที่นี่

 

บางทีมันอาจจะเป็นเพราะโลกมนุษย์น่ะอ่อนแอเกินไป ดังนั้นอสูรกายที่มาเยือน ทั้งหมดจึงเป็นอสูรกายดัดแปลง

 

อสูรกายงูดำสามหัวตัวแรกก็เหมือนกัน ดูจากพลังของมัน ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นอสูรกายดัดแปลง

 

จากบทเรียนที่ได้เรียนรู้มาจากความผิดพลาดของอสูรกายสามหัว ส่งผลให้อสูรกายดัดแปลงตนอื่นๆมิกล้าที่จะย่างกรายเข้ามาในโลกมนุษย์

 

กระทั่งอสูรกายที่อยู่ระดับปฐมบทแห่งความโกลาหลที่มีเพียงสองตนในที่นี้ ก็ยังมิกล้าที่จะลงมา

 

พวกมันกำลังเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่ออยู่บนท้องฟ้า โดยคาดหวังว่าเหล่าคนตายจะจากไปโดยเร็วไว

 

ทว่าบรรดาคนตาย กลับไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆเลย

 

ทั้งสองจึงต่างจ้องสบตากันโดยปล่อยให้เวลาไหลผ่านไปเรื่อยๆ

 

จนกระทั่งนาทีสุดท้ายได้ผ่านไป

 

พลันบังเกิดเสียงดังกึกก้องขึ้นบนผืนฟ้า ราวกับมีสายฟ้าที่มองไม่เห็นนับไม่ถ้วนกำลังปะทะเปรี๊ยะๆซึ่งกันและกัน

 

คลื่นความผันหวนที่มองไม่เห็นกระเพื่อมไหว คล้ายดั่งระลอกคลื่นของฝูงม้าที่ย่ำลงควบวิ่ง สั่นสะเทือนไปทั้งโลกหล้า

 

ในเสี้ยววินาทีต่อจากนั้นเอง เผ่ามารที่ยังไม่จากไปต่างก็กรีดร้องโหยหวนออกมา

 

ขณะที่อสูรกายตนแล้วตนเล่าสบถคำรามและค่อยๆถอยกลับไป

 

กำแพงอุปสรรคของโลกใหม่กำลังค่อยๆก่อตัว แพร่กระจายปกคลุมไปตลอดทั้งโลกอย่างช้าๆ

 

เผ่ามารทั้งหมดที่สัมผัสโดนกำแพงอุปสรรคของโลกพลันติดไฟลุกพรึบ! และสลายกลายเป็นขี้เถ้าลอยฟุ้งทันที

 

แม้กระทั่งอสูรกายก็ยังไม่สามารถที่จะต้านทานพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ของโลกได้

 

ในเมื่อกำแพงอุปสรรคของโลกค่อยๆขยายตัวขึ้น พวกมันจึงร้องตะโกนออกมาอย่างไม่ยินยอม และจากโลกมนุษย์ไปด้วยจิตใจหดหู่ในที่สุด

 

ดวงตะวันค่อยๆปรากฏขึ้น

 

ทุกสิ่งอย่างล้วนถูกปกคลุมไปด้วยแสงแดดสว่างไสว

 

ท้องฟ้าสีครามสดใส ไร้ซึ่งเมฆหมอกใดๆ และแน่นอน — ว่าไร้ซึ่งเผ่ามารใดๆให้พบเห็นด้วยเช่นกัน

 

“จบแล้วสินะ?”

 

กู่ฉิงซานบ่นงึมงำ

 

เขาหันไปมองดูหน้าต่างระบบเทพสงคราม

 

เห็นแค่เพียงสองบรรทัดเส้นแสงหิ่งห้อยที่ลอยเด่นอยู่บนนั้น

 

“โลกใหม่ยังคงอยู่ในกระบวนการผสานรวมอย่างต่อเนื่อง”

 

“กำแพงอุปสรรคใหม่ที่คอยคุ้มครองโลกได้ก่อร่างขึ้นแล้วโดยสมบูรณ์”

 

สำเร็จแล้ว!

 

เจ็ดชั่วโมงได้ผ่านพ้นไป และเผ่ามารก็ล้มเหลวในการบุกเข้ามาในโลก!

 

กู่ฉิงซานหันไปมองดูคนตายอีกครั้ง

 

เห็นแค่เพียงเลขบุญของคนตายทั้งหมดกลับกลายเป็น – (ลบ)

 

ถึงแม้ว่าทางเลือกนี้ เหล่าคนตายจะเป็นคนเลือกมันด้วยตนเอง แต่ผลลัพธ์ที่ได้ พวกเขากลับค่อนข้างที่จะมีความสุขมากกว่ารู้สึกหดหู่

 

“ทุกคน ข้าขอโทษ … ”

 

กู่ฉิงซานกำลังจะเอ่ยต่อ แต่ก็ถูกขัดจังหวะเสียก่อน

 

เสียงของเครื่องจักรคำนวณบุญกังวานขึ้นในหูของทุกผู้คน

 

“คนตายทั้งหมดโปรดทราบ”

 

“คนตายทั้งหมดโปรดทราบ”

 

“คนตายทั้งหมดโปรดทราบ”

 

“คนตายทั้งหมดโปรดทราบ”

 

“นับจากนี้ไป เลขบุญของพวกเจ้าจะถูกปรับเปลี่ยน”

 

เหล่าคนตายเงยหน้าขึ้น และแสดงท่าทางตั้งใจฟัง

 

เครื่องจักรคำนวณบุญยังคงกล่าวต่อ “ตลอดทั้งหกอาณาจักรกำลังจะกลับคืนสู่เสถียรภาพอีกครั้ง ดังนั้น มันจึงถึงเวลาอันเหมาสมแล้วที่พวกเจ้าจะได้รับบุญอย่างเต็มที่ .. ตอนนี้ก็มาทำการแจกจ่ายแต้มบุญครั้งสุดท้ายกันเถิด”

 

“ในสงครามปรภพครั้งแรก พวกเจ้าไม่ได้ประสบความสำเร็จในการป้องกันไม่ให้เผ่ามารบุกเข้ามาทำลายโลกมนุษย์ , มิสามารถหยุดการสมคบคิดของอาณาจักรสวรรค์ นั่นจึงหมายความว่าในช่วงเวลานั้น ชีวิตและความตายของตลอดทั้งโลกหกวิถีจึงยังมิได้รับการช่วยเหลือ”

 

“นอกเหนือไปจากนี้ ยังมีเรื่องที่ราชาภูติได้ทำการผสานรวมโลกมนุษย์กับโลกปรภพเข้าด้วยกันอีกด้วย”

 

“ดังนั้นเราจึงสรุปได้ว่า : คราวก่อน คนตายทุกคนไม่ได้ช่วยโลกทั้งหกวิถีเอาไว้ได้ บุญใหญ่ที่ได้รับจึงถูกยกเลิก และจะได้รับเพียงบุญเล็กๆน้อยๆจากการร่วมมือกันไปช่วยเก็บรวบรวมแหล่งกำเนิดธาตุดินและธาตุไม้ ที่จะแบ่งกันอย่างเป็นธรรมเท่านั้น”

 

“หากจะให้อธิบายอย่างเฉพาะเจาะจง ก็จะเป็นดังนี้”

 

“คนตายที่ได้ทำการเลือกกลับไปเกิดใหม่แล้วในช่วงเวลาสุดท้าย พวกเขาได้เผยให้เห็นถึงธาตุแท้ ปลดปล่อยความคิดชั่วร้ายที่มีต่อโลกและมีพฤติกรรมยุยงปลุกปั่นอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งการกระทำดังกล่าวเกือบจะนำไปสู่การล่มสลายของโลกมนุษย์”

 

“ข้อสรุป : พฤติกรรมเช่นนี้เปรียบเสมือนกับการชมชอบมองเห็นผู้อื่นถูกสังหาร มีอำนาจแต่ไม่คิดช่วยเหลือหรือขัดขวางสิ่งเลวร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้น ดังนั้นแต้มบุญที่พวกเขาสมควรจะได้รับก็จะลดลง”

 

“การคำนวณขั้นสุดท้าย สรุปได้ดังนี้ : เหล่าคนตายที่เลือกจะไปกำเนิดใหม่ ที่เดิมทีสมควรจะได้รับแต้มบุญมหาศาล สุดท้ายแล้วจะได้รับแค่บุญจากการช่วยช่วงชิงแหล่งกำเนิดธาตุเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นอกจากนี้แต้มบุญที่ได้มา ยังจะต้องถูกหักออกจากการกระทำความผิดอันได้แก่ การประพฤติชั่ว ยุยงปลุกปั่นให้เกิดความแตกแยก — ความดีชั่วที่กระทำมาหักลบกลบกัน ผลลัพธ์คือ ‘สมดุล’ ”

 

“การพิพากษา : ตัดสินว่าคนตายที่เลือกไปถือกำเนิดใหม่แล้ว ร่างกายใหม่ที่พวกเขาถือกำเนิดจะได้รับแต้มบุญเป็น 0 ”

 

เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ เครื่องจักรคำนวณบุญก็หยุดลงชั่วคราว

 

ขณะที่การแสดงออกทางสีหน้าของคนตายที่ยังไม่จากไปดูปิติยินดีเป็นอย่างยิ่ง

 

สิบตัวตนสุดแกร่งเลือกที่จะไปเกิดใหม่ทันที พร้อมด้วยความคิดชั่วร้ายของพวกเขาครั้งสุดท้ายที่มีต่อโลก ดูเหมือนจะตีกลับตารปัตร มันกลับกลายเป็นการขุดหลุมฝังตัวเอง และถูกตอบโต้โดยการมาถึงของเครื่องจักรคำนวณบุญส่วนบุคคล

 

เมื่อคิดถึงจุดนี้ เครื่องจักรคำนวณบุญก็เริ่มเอ่ยต่อ

 

“ขณะที่คนตายทั้งหมดที่ไม่ได้เลือกไปเกิดใหม่ ได้ทำการช่วยเหลือให้ทั้งสองโลกผสานรวมกันได้จนสำเร็จ”

 

“พวกเขาสามารถปกป้องโลกใบใหม่จนกระทั่งกำแพงอุปสรรคปรากฏขึ้นได้”

 

“และกำแพงอุปสรรคในโลกใหม่นี้ ก็จะนำไปสู่การเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการป้องกันของกำแพงอุปสรรคในโลกอื่นๆทั้งหก”

 

“กล่าวได้ว่าคราวนี้ ‘โลกทั้งหกได้ถูกช่วยเหลือไว้อย่างแท้จริงแล้ว’ ”

 

“สรุป : คนตายที่เลือกว่ายังไม่ได้ไปเกิดใหม่ได้ช่วยเหลือโลกทั้งหกวิถีเอาไว้”

 

“เริ่มทำการคำนวณบุญที่ได้ทำการช่วยเหลือโลกทั้งหก และส่งไปไปยังเหล่าคนตายที่ยังไม่ได้ไปเกิดใหม่”

 

ขณะนั้นเอง แถบตัวเลขเหนือศีรษะของคนตายทั้งหมดก็ปรากฏขึ้น

 

พวกเขาต่างพากันเงยหน้าขึ้นมอง

 

เห็นแค่เพียงตัวเลขที่เปลี่ยนจาก – เป็น 0 และต่อมาก็ขยับขึ้นเป็น +

 

และตัวเลขบวกก็ยังคงขยับขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

บุญกำลังเพิ่มพูนขึ้นอย่างบ้าคลั่ง

 

เหล่าคนตายอดไม่ได้ที่จะโห่ร้องออกมา

 

เห็นได้ชัดว่าการเลือกที่จะอยู่ในโลกใบนี้ส่งผลให้แต้มบุญลดหลั่นลง แต่ในตอนท้ายที่สุด ตนกลับได้รับผลประโยชน์อย่างมหาศาลยิ่งกว่าเดิม!

 

ผ่านไปสักพัก ตัวเลขเหนือศีรษะของคนตายก็ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกต่อไป แต่พวกเขาทุกคนที่แหงนมองต่างก็ล้วนแสดงสีหน้าพึงพอใจออกมา — เพราะเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

 

เครื่องจักรคำนวณบุญส่วนบุคคลประกาศอีกครั้ง

 

“การกลับไปเกิดใหม่ของคนตายทั้งหมด กำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า ตามลำดับแต้มบุญที่ได้รับ”

 

“คนตายจะลืมเรื่องราวในอดีตชาติและปัจจุบันทั้งหมด เพื่อต้อนรับกับชีวิตใหม่ของพวกเขา”

 

“โปรดจัดการสิ่งที่ค้างคาอยู่อย่างรอบคอบด้วย”

 

ว่าจบ เครื่องจักรคำนวณบุญก็หายไป และความเงียบก็กลับคืนมา

 

เบื้องบนท้องฟ้า รังสีแสงอันไพศาลสาดกระทบลงมาราวกับธารน้ำตกอีกครั้ง

 

คนตายหลายแสนล้านต่างโห่ร้องด้วยความดีใจ

 

“ขอบพระคุณท่านราชาภูติ!” คนตายคนหนึ่งตะโกนขึ้น

 

กู่ฉิงซานยิ้มและตะโกนกลับไปว่า “ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้าหรอก! เป็นเจ้าต่างหากที่ช่วยเหลือโลกใบนี้ไว้ เป็นเจ้าต่างหากที่สมควรได้รับความคำขอบคุณจากข้า!”

 

เหล่าคนตายเริ่มโห่ร้องอย่างดุเดือด

 

“พวกเราได้ช่วยโลกมนุษย์เอาไว้!”

 

“ราชาภูติทรงพระเจริญ!”

 

“เจ้าพวกขยะที่รีบไปเกิดใหม่ ฮ่าฮ่าฮ่า ตอนนี้พวกมันคงตกตะลึงกลายเป็นโง่งมกันไปหมดแล้ว!”

 

“ข้าล่ะอยากจะเห็นสีหน้าของพวกมันจริงๆ!”

 

……..

 

ณ โรงพยาบาลของรัฐบาลกลาง

 

“ข้าคงต้องไปแล้วล่ะ” ชูร่าหญิงหันไปมองแม่ที่กำลังโอบอุ้มทารกที่กำลังหลับไหล

 

“ฉันต้องขอบคุณเธอจริงๆ ถ้ายังไงช่วยทิ้งข้อมูลติดต่อเอาไว้จะได้รึเปล่า พอดีว่าฉันอยากจะชวนเธอไปกินอาหารด้วยกันที่บ้านน่ะ” แม่ลูกอ่อนกล่าวด้วยความรู้สึกรู้คุณ

 

“คงไม่จำเป็นหรอก เพราะพวกเราคงไม่ได้พบกันอีกแล้ว” ชูร่าหญิงยิ้มตอบและกล่าวออกมา

 

เธอทะยานตัวสูงขึ้น บินขึ้นไปบนท้องฟ้า และมุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางของวิลล่าบนภูเขา

 

ณ บริเวณพื้นที่เปิดโล่งเบื้องหน้าของวิลล่า

 

ผู้คุมนรกทั้งเจ็ดต่างทยอยกันเข้ามาโอบกอดกู่ฉิงซานทีละคน ทีละคน

 

พวกเขายังคงยึดติดกับฉากนี้ และไม่เต็มใจที่จะเข้าไปในม่านแสง แต่สุดท้ายก็จำต้องจากโลกนี้ไป

 

จนกระทั่งเหลือเพียงชูร่าหญิงเป็นคนสุดท้าย

 

เฝ้ารอจนกระทั่งหกผู้คุมนรกหายไปในม่านแสง เธอจึงเดินเข้ามาหากู่ฉิงซาน

 

“ข้ายังไม่สามารถจากไปในตอนนี้ได้” เธอกล่าว

 

“ทำไมกัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

 

“เพราะเจ้ายังติดค้างสัญญาว่าจะดวลกับข้าอยู่” ชูร่าหญิงกล่าว

 

เธออธิบายว่า “ตัวข้าน่ะคืออาชูร่า และในช่วงชีวิตของข้า หากจากไปดื้อๆโดยยังมิได้ต่อสู้กับตัวตนที่แข็งแกร่งเช่นเจ้า คงมิแคล้วมีสิ่งติดค้างหลงเหลือทิ้งเอาไว้ในจิตใจเป็นแน่”

 

กู่ฉิงซานพยักหน้าอย่างเงียบๆ

 

นั่นก็จริง เพราะอาชูร่าน่ะเป็นเผ่าพันธ์แห่งสงคราม และการต่อสู้ก็เป็นความสุขสำหรับพวกเขา

 

ทั้งสองได้ก้าวผ่านประสบการณ์มากมายมาด้วยกัน และท้ายที่สุดนี้ อาชูร่าหญิงก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเธอมีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะเห็นสหายเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขา!

 

กู่ฉิงซานชักดาบเช่าหยินออกมา และกล่าวอย่างจริงจังว่า “เข้าใจแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็เร่งมือเถอะ ข้าไม่ต้องการให้แต้มบุญของเจ้าถูกหักมากจนเกินไปหรอกนะ”

 

ชูร่าหญิงชักกระบี่ยาวออกจากเบื้องหลังเธอ น้ำเสียงยกสูงขึ้น “และในครั้งนี้ ข้าก็จะไม่แสดงความเมตตาออกมาแล้วเช่นกัน!”

 

ว่าจบ ร่างของเธอก็กระพริบไหว ใบกระบี่สาดแสงระยับ ร่ายระบำออกมาเป็นคมมืดนับไม่ถ้วน ทั้งทิ่มทั้งแทงเข้าใส่กู่ฉิงซานโดยตรง

 

และกู่ฉิงซานก็วาดดาบออกไปต้อนรับเธอ

 

ทั้งสองฝ่ายวูบไหวและแปรเปลี่ยนกระบวนท่าสาดใส่กันไปเรื่อยๆ ในพริบตาก็บังเกิดการปะทะกันอยู่หลายตลบ

 

กระบี่ของอาชูร่าหญิงช่างดุร้ายรุนแรง ทุกการจ้วงแทงล้วนเป็นการลงมือที่หมายจะทำให้ทุกอย่างจบลงในกระบวนท่าเดียว

 

ขณะที่กู่ฉิงซานตอบโต้กลับไปอย่างไม่ยี่หร่ะ

 

ไม่นานนัก กู่ฉิงซานก็มองเห็นช่องว่างของอีกฝ่าย ตนจึงจ้วงดาบยาว ทิ่มแทงออกไปเบื้องหน้าทันที

 

ดาบยาวพุ่งเข้าใส่ตำแหน่งหัวใจของชูร่าหญิง และฝ่ายตรงข้ามดูเหมือนจะไม่ทันวาดคมกระบี่เข้ามาต่อต้าน!

 

ทว่าช่างน่าฉงน แม้จะผ่านไปชั่วขณะแล้ว แต่ชูร่าหญิงยังคงนิ่งงัน ราวกับว่าเธอไม่ทันตระหนักได้ถึงคมดาบของกู่ฉิงซานเลย

 

และทันใดนั้น ปลายดาบยาวก็เจาะเข้าไปทะลุหน้าอกเธอ

 

“นี่เจ้า .. ”

 

กู่ฉิงซานพยายามอย่างเต็มกำลังที่จะเบี่ยงวิถีดาบยาวในวินาทีสุดท้าย

 

แท้จริงแล้ว เป็นชูร่าหญิงเองที่ลวงเขา และยินยอมเสียสละกายเพื่อรับกระบวนท่านี้!

 

อย่างไรก็ตาม คมกระบี่ที่สาดประกายสะท้อนแสงกลับมิได้จ้วงแทงสวนใส่กู่ฉิงซาน มันกลับถูกทิ้งลงบนพื้น

 

และมีเพียงร่างของชูร่าหญิงเท่านั้นที่โผเข้าสู่อ้อมกอดของเขา

 

เธอเอนอิงศีรษะตัวเองเบาๆลงบนไหล่ของกู่ฉิงซาน

 

“เอาจริงๆนะ … ข้าไม่อยากที่จะลืมเจ้าเลย .. ”

 

ปากเอ่ยเสียงกระซิบ

 

และทันใดนั้นเอง ม่านแสงจากท้องฟ้าก็เข้าปกคลุมร่างกายของเธอ

 

น้ำตาที่ไหลอาบหน้าถูกปาดออก ชูร่าหญิงยิ้มให้กู่ฉิงซานอย่างอ่อนโยน

 

ก่อนที่จะบังเกิดกระแสลมพัดผ่าน

 

เธอได้จากไปแล้ว …