EP.117 หลีกเลี่ยงไฟสงคราม

The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา

EP.117****หลีกเลี่ยงไฟสงคราม

ใกล้จะถึงเที่ยงวัน ทหารรักษาพระองค์สองพันกว่านายคุ้มกันฉินอิน ถังเสี่ยวซี ชวีฉู่และคนอื่นกลับมาถึงเมืองหลันเยี่ยน ด้านในเมืองหลวงขบวนทหารม้าเรียงแถวออกมา บนแขนเสื้อของคนเหล่านี้มีตราสัญลักษณ์ที่ดูน่ากลัวดุร้ายอยู่ นั่นก็คือเหยี่ยวสีทองที่กำลังกางกรงเล็บ ทั้งเมืองหลันเยี่ยนค่ายทหารหน่วยเดียวที่ใช้สัญลักษณ์นี้ก็คือค่ายสารวัตรทหาร

……

เซี่ยงอวี้ขี่ม้านำมา ในถือทวนยาวสีแดงเลือด เขาก้าวขึ้นมาข้างหน้าคารวะแล้วกล่าว “องค์หญิงอินเสด็จกลับมาอย่างปลอดภัย ข้าน้อยเซี่ยงอวี้รับคำสั่งองค์จักรพรรดิให้มารอรับเสด็จองค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ!”

ฉินอินยิ้ม “ผู้บัญชาการเซี่ยงไม่ต้องมากพิธี พวกเราเข้าเมืองกันเถอะ!”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

เซี่ยงอวี้หันหัวม้ากลับ ขี่ม้าเคียงคู่กับพวกเฟิงจี้สิง ฉินเหลยตามฉินอินอยู่ด้านหลัง แต่สายตาเขากลับกวาดมองไปที่ด้านหลัง และตกลงที่ร่างของหลินมู่อวี่ที่สวมเครื่องแบบของวิหารศักดิ์สิทธิ์ อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ “เจ้าก็คือผู้ช่วยฝึกดาวสีทองหนึ่งเดียวแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์ หลินจื้อ?”

หลินมู่อวี่ไม่รู้จักเซี่ยงอวี้ผู้นี้ จึงพยักหน้าตอบ “ขอรับใต้เท้า”

“ฮ่า…” เซี่ยงอวี้เงยหน้าขึ้นยิ้ม “หน้าตาหล่อเหลาเช่นนี้ มิน่าทุกคนต่างพูดว่าวีรบุรุษมักมีอายุน้อย ดูท่าต่อไปเมืองหลันเยี่ยนคงขึ้นอยู่กับพวกรุ่นเยาว์อย่างพวกเจ้าแล้วล่ะ”

หลินมู่อวี่ขมวดคิ้ว รู้สึกคำพูดของเขามีนัยยะ แต่ไม่รู้ว่าควรจะพูดรับอย่างไร จึงประสานมือแล้วยิ้มกล่าว “ใต้เท้าชมเชยเกินไปแล้ว”

“ฮึ เจ้าถ่อมตัวเกินไปแล้ว”

เซี่ยงอวี้ตอบโดยไม่ได้ใส่ใจอะไร และก็ไม่ได้พูดอันใดอีก และในตอนนี้เอง ในเมืองก็มีกลุ่มคนในชุดวิหารศักดิ์สิทธิ์กระโดดลงมาจากม้า ผู้ที่นำหน้ามาคือครูฝึกระดับดาวทองเจิ้งชานเหอ มือข้างหนึ่งของเขาถือโล่ สายตามองค้นหาในกลุ่มคน เมื่อเห็นหลินมู่อวี่ก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นยินดี “ท่านหลินจื้อ ท่านกลับมาแล้ว…หาสมุนไพรพบหรือไม่ ผู้ดูแลอาวุโสส่งข้ามารับท่านขอรับ!”

หลินมู่อวี่ควบม้าออกมาจากขบวน พูดอย่างนอบน้อม “ใต้เท้าเจิ้ง ข้าได้สมุนไพรมาแล้ว จะกลับวิหารศักดิ์สิทธิ์กับท่านเดี๋ยวนี้เลย”

“ดี!”

หลินมู่อวี่หันไปทางเฟิงจี้สิงกับฉินเหลยแล้วประสานมือขึ้นกล่าว “ที่วิหารศักดิ์สิทธิ์ยังมีเรื่องที่ต้องจัดการ ข้าขอตัวก่อน พี่เฟิง พี่ฉิน ความปลอดภัยขององค์หญิงทั้งสองต้องเป็นหน้าที่พวกท่านแล้ว!”

เฟิงจี้สิงประสานมือกลับ แล้วยิ้ม “อาอวี่เจ้าไม่ต้องเกรงใจ รีบกลับไปเถอะ ถ้าข้ามีเวลาจะไปเยี่ยมเจ้าที่วิหารศักดิ์สิทธิ์ นานแล้วที่ไม่ได้ประลองฝีมือกับเจ้า…”

“ขอรับ”

ฉินเหลยเองก็ประสานมือขึ้น “อาอวี่ตั้งใจฝึกล่ะ ที่เหลือไม่ต้องกังวล พวกข้าจะจัดการให้เจ้าเอง”

หลินมู่อวี่อดซาบซึ้งใจไม่ได้ “อืม ขอบคุณพวกท่านมาก ข้าลาก่อน โปรดกล่าวลาองค์หญิงแทนข้าด้วย”

“ได้!”

หลินมู่อวี่บังคับม้าตามเจิ้งชานเหอตรงไปวิหารศักดิ์สิทธิ์ เมื่อหันกลับไปมอง ธงและทวนจำนวนได้บดบังร่างของฉินอินและถังเสี่ยวซีเอาไว้ แต่พวกนางเข้าเมืองหลันเยี่ยนแล้ว ต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน มีทหารหมื่นๆ นายทหารคอยคุ้มครอง อย่าว่าแต่ขอบเขตปราชญ์เลย ต่อให้เป็นขอบเขตเทวะก็ไม่อาจจะทำอะไรพวกนางได้

……

ไม่เห็นเพียงแค่ไม่กี่วัน ประตูบานใหญ่สีดำของวิหารศักดิ์สิทธิ์ดูเหมือนจะเป็นมิตรขึ้นมาหน่อย เมื่อหลินมู่อวี่และเจิ้งเหอชานมาถึง ประตูใหญ่ก็เปิดออก เกอหยางควบม้านำกลุ่มคนมาต้อนรับ ใบหน้าฉายแววกระตือรือร้น “อาอวี่ ได้ของที่ต้องการหรือไม่”

“อืม!”

หลินมู่อวี่พยักหน้าหนักแน่น ดวงตามีประกายความมั่นใจอย่างแรงกล้า ยิ้มพูด “ท่านปู่เกอหยางวางใจได้ โปรดนำทางข้าไปที่พักของจางเหว่ย จะได้เริ่มรักษากันเลย”

“ดี!” เกอหยางยิ้มชื่นชม

เสียงฝีเท้าม้าดังขึ้น จางเหว่ยถูกจัดการให้มาพักที่ใจกลางวิหารศักดิ์สิทธิ์ โดยด้านข้างเป็นที่พักของเหลยหง ดูท่าเหลยหงเองก็คงกังวลว่าจางเหว่ยจะถูกลอบทำร้ายอีก ดังนั้นจึงคุ้มกันครูฝึกดาวเงินผู้ซื่อตรงและกล้าหาญผู้นี้ด้วยตนเอง

“อาอวี่!”

เหลยหงเข้ามาต้อนรับ เห็นกลิ่นอายบนตัวหลินมู่อวี่เปลื่ยนไป จึงอดยิ้มไม่ได้ “อาอวี่เจ้าเข้าสู่ขอบเขตนภาแล้ว”

“ขอรับ ท่านปู่เหลยหง!”

หลินมู่อวี่พลิกตัวลงมาจากม้า คุกเข่าทำความเคารพแล้วกล่าว “ขอบคุณที่ปู่เหลยหงดูแล ไม่เช่นนั้นแล้วเกรงว่าข้าคงจะฝึกมาไม่ถึงขั้นนี้”

“เจ้าทำไม…”

เหลยหงชะงัก รีบเข้าไปประคองเขา “อาอวี่ แต่เดิมเจ้าไปไม่ใช่คนพูดจาเหยาะแหยะอะไรแบบนี้นี่ ทำไมถึง…”

ตอนนี้เอง สายตาของเหลยหงมองไปที่หน้าอกของหลินมู่อวี่ และพบว่าบนเสื้อของเขายังชุ่มเลือดอยู่ ด้วยฌาณสัมผัส เหลยหงก็รู้ทันทีว่าหลินมู่อวี่นั้นบาดเจ็บสาหัส บาดแผลนี้เกือบพรากชีวิตของเขา พลันชายชราก็รู้สึกร้อนรุ่มใจ เจ้าเด็กนี่ไปเยือนประตูนรกมารอบหนึ่งแล้ว

แต่สำหรับหลินมู่อวี่แล้ว เหลยหงดูแลปกป้องเขาอย่างดี ราวกับปู่สายเลือดเดียวกัน ในโลกที่ผู้แข็งแกร่งเขมือบผู้อ่อนแอแห่งนี้ มีปู่แบบนี้จะไม่ให้เขาคิดถึงได้อย่างไร

“อาอวี่ ลำบากเจ้าแล้ว…” เหลยหงประคองแขนหลินมู่อวี่ขึ้นมา “เจ้าไม่ทำให้ปู่ผิดหวังจริงๆ…เป็นยังไงบ้าง ได้ยินว่าพวกเจ้า องค์หญิงอิน องค์หญิงซีเข้าไปในส่วนลึกของป่าล่ามังกร ผู้ใดกันที่ทำให้เจ้าได้รับบาดเจ็บเช่นนี้”

“ผู้ที่มีนามว่าชางไป๋เฮ่อ” หลินมู่อวี่ตอบอย่างสบายๆ

แต่เหลยหงและเกอหยางกลับตะลึง เหลยหงหรี่ตาแล้วกล่าวขึ้น “ชางไป๋เฮ่อไอ้เฒ่านี่น่าจะเข้าสู่ขอบเขตปราชญ์แล้วกระมัง ดูท่าแล้วการบาดเจ็บของจางเหว่ยต้องเกี่ยวข้องกับเขาอย่างแน่นอน”

“ท่านจางเหว่ยถูกชางไป๋เฮ่อทำร้ายขอรับ” หลินมู่อวี่กล่าว “ชางไป๋เฮ่อผู้นี้ยังคิดจะสังหารองค์หญิงอินและองค์หญิงซีอีกด้วย!”

“อะไรนะ”

เหลยหงสั่นสะท้านในใจ “เจ้าชางไป๋เฮ่อนับว่าใจกล้ายิ่งนัก! แม้แต่องค์หญิงอินยังกล้าสังหาร…จวนเสินโหววางแผนอะไรอยู่กันแน่ เจิ้งอี้ฝานสติฟั่นเฟื่อนไปแล้วหรือไง!”

เกอหยางที่อยู่ด้านข้างกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ “หลายปีมานี้กำลังพลในมือเจิ้งอี้ฝานนั้นถูกลดทอนไม่หยุด ว่ากันว่าเคียดแค้นองค์จักรพรรดิมานานแล้ว วันนี้ดูท่าน่าจะเป็นเรื่องจริง พวกเราต้องหาทางรับมือแล้วล่ะท่านผู้ดูแลอาวุโส”

“อืม” เหลยหงพยักหน้า “ข้าจะรีบเข้าเฝ้าฝ่าบาทให้เร็วที่สุดแล้วกราบทูลเรื่องนี้กับพระองค์ พวกเจ้าวางใจเถอะ อาอวี่ พวกเรารีบเข้าด้านในรักษาจางเหว่ยเถอะ เขาใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว”

“ขอรับ!”

……

พวกเขาเดินเข้าไปในห้อง จางเหว่ยนอนอยู่ตรงนั้น ยังคงไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ เพียงแต่ใบหน้าหนวดเคราเฟิ้มยังปรากฏความหยิ่งทะนง เห็นผู้ที่เดินเข้ามา นัยน์ตาก็เป็นประกายทันที “ท่านหลินจื้อ ท่านกลับมาแล้ว”

“ข้ากลับมาแล้ว”

หลินมู่อวี่เดินขึ้นมาข้างหน้าแล้วยิ้ม “จางเหว่ย อาการบาดเจ็บของเจ้ามีทางรักษาแล้ว”

“มีทางรักษาหรือ” จางเหว่ยหัวเราะเยาะตนเอง “ข้ากลายเป็นคนพิการไปแล้ว…”

“ไม่ต้องกังวล”

หลินมู่อวี่ล้วงมือเขาไปในอก ล้วงผงต่อเส้นเอ็นออกมาสามขวด ประคองศีรษะของจางเหว่ยป้อนยาให้เขาดื่มลงไป จากนั้นจึงกล่าว “ผงต่อเอ็นจะช่วยฟื้นคืนเอ็นมังกรของเจ้าขึ้นมาใหม่ภายในสองสามวัน ขั้นตอนนี้เห็นผลชัดเจน หลังของเจ้าจะรู้สึกคัน นั่นเป็นเพราะเอ็นมังกรกำลังสมานตัวมันเองอยู่”

“จริงหรือ” จางเหว่ยตื่นเต้น “ท่านหลินจื้อ ท่านหมายถึง…ข้ายังสามารถฝึกยุทธ์ต่อได้เช่นนั้นหรือ”

หลินมู่อวี่ยิ้มตอบอย่างยินดี “แน่นอน แถมพลังของเจ้าก็จะไม่ลดลงด้วย”

“เยี่ยมไปเลย!”

จางเหว่ยตื่นเต้น เดิมทีอยากจะลุกขึ้นมานั่ง แต่แผ่นหลังนั้นไร้เรี่ยวแรง ผลสุดท้ายกระเสือกกระสนอยู่ครู่หนึ่ง ก็ยิ้มอย่างเขินอาย “ข้าจางเหว่ยเป็นคนหยาบกร้าน พูดขอบคุณไม่เป็น นับแต่วันนี้ไป ชีวิตของข้าจางเหว่ยก็เป็นของท่านหลินจื้อ!”

“ไม่ต้องหรอก พวกเราเป็นสหายกัน รับใช้วิหารศักดิ์สิทธิ์ด้วยกัน นี่เป็นสิ่งที่ข้าควรจะทำ”

เหลยหงกล่าว “จางเหว่ย หลินจื้อเพิ่งจะกลับมาถึงวิหารศักดิ์สิทธิ์ ตอนที่เขาไปหาสมุนไพรถูกลอบทำร้าย ได้รับบาดเจ็บหนัก ไม่อาจอยู่ที่นี่นานได้ ให้เขากลับไปพักผ่อนเถอะ”

“เอ๊ะ?” จางเหว่ยตะลึงตกใจ พยายามประสานมือกล่าว “งั้น…ท่านหลินจื้อท่านกลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ”

“อืม”

หลังจากออกมาจากห้อง เหลยหงและหลินมู่อวี่เดินคู่กันมาตามระเบียงทางเดินในวิหาร และพูดขึ้น “อาอวี่ ตามหลักแล้วถึงเจ้าจะเข้าสู่ขอบเขตนภา ก็ไม่อาจหยุดยั้งชางไป๋เฮ่อขอบเขตปราชญ์ไม่ให้สังหารเจ้าได้กระมัง บอกข้ามาเร็วว่าพวกเจ้าหนีมาได้อย่างไรกัน”

แน่นอนว่าหลินมู่อวี่เล่าเรื่องพลังของราชาปีศาจเจ็ดประทีปไม่ได้ จึงพูดว่า “พวกข้าออกเดินทางกันสี่คน นอกจากข้าแล้วยังมีฉินอิน ถังเสี่ยวซีและฉินเหลย ฉินเหลยเป็นผู้บัญชาการทหารองครักษ์อวี้หลิน มีพลังอันน่าตกตะลึง แล้วยังมีโซ่เทวะของสายเลือดมังกร ดังนั้นจึงพอรับมือชางไป๋เฮ่อได้อยู่นิดหน่อย และตอนที่พวกเราใกล้จะสู้ไม่ไหวแล้วนั้น…ท่านปู่ชวีฉู่ก็ปรากฏตัว”

“หืม?” เหลยหงอดยิ้มไม่ได้ “หึ นับว่าตาเฒ่านั่นยังมีประโยชน์อยู่บ้าง หากตอนวิกฤเขาไม่ปรากฏตัวขึ้นมาละก็ เกรงว่าจักรวรรดิคงจะได้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่…”

หลินมู่อวี่งุนงงนิดหน่อยจึงถาม “ท่านปู่เหลยหง สมมุติว่า…ข้าหมายถึงสมมุติ องค์หญิงอินถูกชางไป๋เฮ่อสังหารจริงๆ เช่นนั้นจักรวรรดิจะเป็นอย่างไรหรือ”

“จะเป็นอย่างไรน่ะหรือ” เหลยหงยิ้มแล้วมองเขา “องค์จักรพรรดิเป็นชายที่รักเดียวใจเดียว ทั้งชีวิตของเขารักแค่ผู้หญิงคนเดียว นั่นก็คือเสด็จแม่ขององค์หญิงอิน ซูอวิ๋นหรือฮงเฮาจิ้งเต๋อ หลังจากฮงเฮาซูอวิ๋นเสด็จสวรรคต ฝ่าบาทก็ไม่ได้รับพระสนม ดังนั้นจึงทรงไม่มีพระโอรส มีเพียงแค่ฉินอินพระธิดาองค์เดียวเท่านั้น ตามกฏของจักรวรรดิ ฉินอินจึงเป็นผู้สืบทอดราชวงศ์ฉินที่ถูกต้องเพียงผู้เดียว และก็คือจักรพรรดินีองค์ต่อไปของจักรวรรดิ หากฉินอินสิ้นพระชนม์ เกรงว่าอำนาจของราชวงศ์ก็จะตกอยู่ในมือผู้อื่น ฝ่าบาทมีพี่น้องสองพระองค์ ล้วนแต่เป็นชินอ๋อง พระองค์หนึ่งคือจี้หนิงอ๋อง จี้หนิงอ๋องมีบุตรชายสองคน คนโตฉินเหลยและคนรองฉินเหยียน ส่วนชินอ๋องอีกพระองค์ก็คือเจิ้นหนานอ๋องฉินอี้ แต่เจิ้นหนานอ๋องนั้นอยู่ไกลถึงหลิ่งหนาน ดังนั้นหากฉินอินและฉินเหลยสิ้นพระชนม์ คนที่จะเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่ก็น่าจะเป็นฉินเหยียนโอรสคนรองของจี้หนิงอ๋อง”

พูดจบ เหลยหงส่ายหน้าหัวเราะ “แต่ไม่ว่าใครจะเป็นผู้สืบทอดราชวงศ์ใหม่ล้วนแต่หนีไฟสงครามไม่พ้น ดังนั้นการที่องค์หญิงอินยังมีชีวิตอยู่ย่อมเป็นเรื่องดีที่สุดแล้ว ทั้งต่อประชาราษฎร์เองด้วย อาอวี่เจ้าเองก็ทำได้ไม่เลว ยอมตายที่จะปกป้องชีวิตของฉินอินไว้ ชีวิตของนางนั้นเท่ากับชีวิตนับแสนของราษฏร”

“ขอรับ ท่านปู่เหลยหง”

……

เมื่อกลับถึงที่พัก หลินมู่อวี่ยังคงทำสมาธิฝึกคัมภีร์หลอมกระดูกมังกรต่อในห้องลับ เพิ่มระดับความแข็งแกร่งปราณยุทธ์อย่างต่อเนื่อง เขากระหายพลังมากขึ้นเรื่อยๆ เพียงแต่ว่า…สำหรับพลังเจ็ดประทีปนี้เขาไม่ได้อยากได้มากขนาดนั้นแล้ว พลังที่ย้อนกลับมาแว้งกัดของพลังเจ็ดประทีปนั้นเขาได้สัมผัสมาแล้ว เหมือนกับตายทั้งเป็น พลังชั่วร้ายอย่างนั้นถ้าไม่ใช้ได้จะดีกว่า

ดังนั้นหลายวันมานี้ก็ฝึกพลังอยู่ในวิหารศักดิ์สิทธิ์ ระหว่างนั้นก็ไปเยี่ยมฉู่เหยามาครั้งหนึ่ง พร้อมสอนเคล็ดวิชาฝึกพื้นฐานให้แก่นางเล็กน้อย แถมยังหลอมกระบี่ระดับนิลเล่มหนึ่งมอบให้นาง แล้วเริ่มถ่ายทอดทักษะควบคุมกระบี่ให้ด้วย ฉู่เหยาเองก็นับว่าเฉลียวฉลาด ไม่กี่วันก็พอจับทางได้แล้ว