ภาค 1 บทที่ 90 ซิ่วไฉใจเหี้ยม

จอมศาสตราพลิกดารา

รองนายพลคนนั้นอึ้งไปเล็กน้อย

เขามึนงงไปชั่วขณะ

รองนายพลสามคนที่เหลือที่เผยรอยยิ้มเย็น ยิ้มเหยียดหยามก็ค้างแข็งอยู่บนใบหน้า

เฝิงหยวนซิง หม่าจวินอู่ และเจินเหมิ่งสามคนอ้าปากค้าง ไม่กล้าเชื่อสิ่งที่ตนได้ยิน

เด็กรับใช้บัณฑิตน้อยปกติฉลาดหลักแหลมมากเล่ห์ ทำให้คนรู้สึกว่าเป็นเด็กหนุ่มที่มากประสบการณ์และสุขุมหนักแน่น ในเวลาเช่นนี้ พวกเขารอให้เด็กรับใช้บัณฑิตน้อยแก้ปัญหายาก คิดไม่ถึงว่าเขาจะอดกลั้นไม่อยู่ อ้าปากด่าทอทันทีแบบนี้

“เจ้าเป็นใคร?” รองนายพลคนนั้นตั้งตัวได้ จ้องชิงเฟิงเขม็งอย่างไม่เป็นมิตร

ชิงเฟิงเชิดหน้าหยิ่งทะนง “ข้าคือเด็กรับใช้อันดับหนึ่งข้างกายคุณชาย”

เขาทำท่าทางว่าตนสุดยอดมาก

รองนายพลหัวเราะเสียงเย็น พูดขึ้นว่า “ที่แท้ก็แค่เด็กรับใช้ เจ้าคู่ควรมา…”

“หุบปาก” ชิงเฟิงตวาด “เจ้าเป็นแค่รองนายพลขั้นแปดล่างตัวเล็กๆ เท่านั้น มาอ้าปากหยามหมิ่นขุนนางขั้นเจ็ดบนแห่งจักรวรรดิ นี่คือโทษมหันต์ ข้าถึงแม้จะเป็นคนต่ำต้อยพูดจาไร้น้ำหนัก แต่ก็ขึ้นเสียงกับเจ้าได้เช่นกัน ประชาชนในอำเภอมากมายรอบๆ นี้ต่างเห็นกับตา ได้ยินกับหู คุณชายของข้ามีความชอบธรรมที่จะสังหารเจ้า ปลิดชีพเจ้าได้ง่ายเหมือนเชือดไก่ ยังไม่ขอโทษอีก?”

เด็กรับใช้บัณฑิตทำหน้าดุดัน ท่าทีแข็งกร้าวถึงขีดสุด

เฝิงหยวนซิงขบคิดไปมา ตอนนี้เขาพลันเข้าใจเจตนาของชิงเฟิง

ถูกรองนายพลนั่นด่าติดๆ กัน ทำเอารัศมีอำนาจลดลงไปไม่น้อยจริงตามนั้น

ตามกฎหมายจักรวรรดิ หยามหมิ่นขุนนางชั้นสูงในที่สาธารณะคือโทษฉกรรจ์

ที่จริงไม่ว่าจะเป็นจักรวรรดิฉินตะวันตกหรือจักรวรรดิอีกสองแห่ง พฤติกรรมไม่เห็นขุนนางชั้นสูงในสายตาเป็นสิ่งต้องห้าม หยามหมิ่นซ้ำแล้วซ้ำเล่ายิ่งเป็นการเพิ่มความผิด หากหลี่มู่อยู่ที่นี่ก็สามารถสังหารเขาได้ตรงนั้นทันที

“ข้า…ข้ากลัวคุณชายของเจ้าเสียที่ไหน ฮ่าๆ ข้าคือผู้ที่เดินออกมาจากลานสังหารอสุรภูมิ เคยผ่านสนามรบมาแล้ว ข้า…” รองนายพลคิดจะคิดคำพูดตอบโต้ แต่อย่างไรก็ไม่เหิมเกริมเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว

ชิงเฟิงหัวเราะเสียงเย็นเหมือนผู้ใหญ่ กล่าวว่า “เคยผ่านสนามรบแล้วอย่างไร? คุณชายของข้าใช้ดาบสังหารซือคงจิ้ง ยิงธนูพิฆาตอู่เปียว หนึ่งคนสองหมัดกำราบผู้แข็งแกร่งในยุทธจักรอย่าง ‘หนึ่งกระบี่มังกรฟ้า’ ‘มือเหล็กสะท้านฟ้า’ ‘กระบี่มังกรเมฆา’ ‘กระบี่เขาหิมะ’ และคนอื่นๆ ห้าร้อยกว่าคน ผลงานเช่นนี้เจ้าทำได้หรือไม่?”

ตอนนี้ ผลงานในอำเภอก่อนหน้านี้ของหลี่มู่แพร่สะพัดไปทั่วแล้ว

แต่เดิมเขาคือคนที่ปีศาจเช่น ‘จอมมารจันทราโลหิต’ ท้าทาย ก่อนหน้านี้ก็ดึงดูดความสนใจมาได้ ไม่ใช่คนไร้ชื่อเสียงเรียงนามอีกต่อไป อีกทั้งผ่านการต่อสู้ศึกนี้มา ชื่อเสียงจะต้องแพร่สะพัดออกไปแน่นอน

“ข้า…” ท่าทีของรองนายพลคนนั้นยิ่งอ่อนลงไปอีก

พลังฝึกของเขาเทียบกับ ‘หนึ่งกระบี่มังกรฟ้า’ ตงฟางเจี้ยนไม่ได้เลย หลี่มู่สามารถเอาชนะตงฟางเจี้ยนได้ในหมัดเดียว ย่อมฆ่าเขาได้อย่างง่ายดายอยู่แล้ว

เมื่อตระหนักได้ถึงจุดนี้ ใจเขาก็หล่นวูบทันที

ว่ากันว่าหลี่มู่ขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์เป็นพวกกำเริบเสิบสาน หากสังหารรองนายพลที่หยามหมิ่นเขา ณ ที่นั้น เรื่องแบบนี้ไม่แน่ว่าอาจลงมือจริงๆ ก็ได้

ชิงเฟิงถือโอกาสโจมตีเอาชัยชนะ “เป็นอย่างไร? ยังไม่รีบคุกเข่าขอโทษอีก?”

สีหน้าของรองนายพลย่ำแย่ไปในทันที ที่หน้าผากมีเหงื่อผุดออกมาเป็นเม็ดๆ

“พอแล้ว ก็แค่ล้อเล่นเท่านั้น ขุนนางเมืองหลี่มู่ฐานะสูงส่งเพียงใด แน่นอนว่าไม่ถือสาเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้อยู่แล้ว” เสียงค่อนข้างแหบแห้งดังมาจากรถม้า

มีทหารใส่เสื้อเกราะรุดไปข้างหน้า เปิดประตูรถม้าออกอย่างเคารพนอบน้อม

เด็กสาวรับใช้อายุสิบห้าสิบหกที่สวมเสื้อสีครามสองคนเดินออกมา หนึ่งในนั้นคุกเข่าข้างประตูรถ ก้มตัวลงใช้ร่างดั่งดอกไม้งามต่างเก้าอี้ จากนั้นข้างในก็มีชายหนุ่มแต่งตัวแบบบัณฑิตซิ่วไฉเดินออกมา และเหยียบหลังของเด็กรับใช้สาวคนนั้นลงจากรถม้า

คนหนุ่มผู้นี้ดูไปแล้วประมาณยี่สิบกว่า หน้าตาขาวสะอาด เครื่องหน้างดงาม มองไปแล้วก็นับว่าเป็นบุคคลที่หน้าตาดีคนหนึ่ง แต่แก้มด้านซ้ายมีปานรูปเปลวไฟสีแดงขนาดเท่าฝ่ามือเด็ก ทำลายบุคลิกทั้งหมดของเขา

“อาจารย์เจิ้ง ข้าน้อยไร้ความสามารถ”

รองนายพลคนนั้นหวาดระแวง รีบหันกลับมาขอโทษรับผิด

เฝิงหยวนซิงแค่มองก็รู้ ชายหนุ่มที่หน้ามีปานคนนี้ก็คือบุคคลชั้นยอดที่นั่งตำแหน่งดูแลที่ว่าการเมืองฉางอันในตำนานคนนั้น

เฝิงหยวนซิงอยู่ในแวดวงข้าราชการมานาน เคยได้ยินเรื่องราวของอาจารย์เจิ้งที่คนทั้งเมืองฉางอันขนานนามว่า ‘ซิ่วไฉใจเหี้ยม’ เพียงแต่คาดไม่ถึงว่า บุคคลชั้นยอดที่ทำให้ขุนนางในแวดวงข้าราชการของเมืองฉางอันจำนวนมากหวาดกลัวมากว่ายี่สิบปีจะอายุน้อยเพียงนี้

ในเรื่องเล่าว่ากันว่า ใต้เท้าเจ้าเมืองฉางอันคนปัจจุบันเชื่อถือในตัวอาจารย์เจิ้งยิ่งนัก พึ่งพาอาศัยประดุจแขนขา แทบจะเรียกได้ว่าเชื่อฟังทำตาม ด้วยเหตุนี้ถึงแม้อาจารย์เจิ้งจะไม่ได้เป็นขุนนาง เป็นแค่มันสมองและกุนซือ แต่ทุกการกระทำและคำพูดกลับมากพอที่จะส่งผลกระทบกับชะตาของขุนนางหลายสิบอำเภอในเมืองฉางอันได้

“ข้าเคยบอกแล้วใช่หรือไม่ พวกเจ้าอยู่ในเมืองฉางอันนานเกินไปจนติดนิสัยอวดอ้างถือดี ไปพิจารณาตัวเองให้ดีเสีย คราวหลังระวังหน่อย ถอยไปได้แล้ว”

ชายหนุ่มโบกมืออย่างเฉยชา

รองนายพลคนนั้นก้มหน้า ไม่กล้าพูดแม้แต่ประโยคเดียว ก่อนจะถอยไปข้างๆ

ชายหนุ่มเดินขึ้นมาสองสามก้าว มองไปยังพวกเฝิงหยวนซิง จัดระเบียบเสื้อผ้า จากนั้นประสานมืออย่างจริงจัง  “บัณฑิตเจิ้งฉุนเจี้ยนคาระวะใต้เท้าทุกท่าน” เขาทำท่าทางโค้งต่ำมาก ไม่ได้เชิดหน้าถือดีเหมือนอย่างที่คิดไว้

เฝิงหยวนซิงกลับหวาดผวา รีบร้อนพูดขึ้นว่า “มิกล้า ไม่รู้ว่าอาจารย์เจิ้งเดินทางมาด้วยตนเองเช่นนี้ จึงต้อนรับไม่ทั่วถึง ต้องขออภัยด้วย”

หม่าจวินอู่และเจินเหมิ่งทั้งสองคนที่อยู่ข้างๆ ก็ก้าวขึ้นไปทำความเคารพเช่นกัน

“ข้าน้อยรับคำสั่งจากใต้เท้าหลี่แห่งเมืองฉางอันให้เดินทางมาร่วมกับใต้เท้าฉู่ซูเฟิง ใต้เท้าหนิงจ้งซาน ซึ่งมารับตำแหน่งผู้ช่วยขุนนางเมืองและนายตรวจการคนใหม่ของอำเภอขาวพิสุทธิ์ มีเรื่องต้องรบกวนมากมาย ใต้เท้าทั้งหลายโปรดอย่าได้ถือโทษ” เจิ้งฉุนเจี้ยนใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ใด พูดด้วยท่าทางปกติ

เฝิงหยวนซิงได้ยินแล้วถึงได้รู้ ที่แท้ชายหนุ่มสองคนที่แต่งตัวแบบบุ๋นและบู๊หน้ารถม้านั่นคือผู้ช่วยขุนนางเมืองและนายตรวจการคนใหม่นั่นเอง นี่ทำให้ใจของเขาเกิดความรู้สึกประหลาดทันใด

เมืองฉางอันส่งขุนนางระดับสูงลงมาเป็นผู้ช่วยขุนนางเมืองและนายตรวจการ?

นี่ไม่ค่อยสมเหตุผลเสียเท่าไหร่

ปกติแล้ว ขุนนางเมืองสามารถแต่งตั้งและปลดตำแหน่งขุนนางระดับต่ำกว่าได้ และมีอำนาจในการเลือกสรรระดับหนึ่ง จากที่เขารู้มา ในเอกสารราชการที่หลี่มู่แจ้งไปยังเมืองฉางอัน บุคคลที่คัดเลือกมาเป็นผู้ช่วยขุนนางเมืองและนายตรวจการไม่ใช่สองคนเบื้องหน้านี้อย่างแน่นอน ผลสุดท้ายเห็นได้ชัดว่าเมืองฉางอันปฏิเสธบุคคลที่หลี่มู่เสนอ ไม่ยอมอ่อนข้อส่งขุนนางลงมาสองคน ก่อนหน้านี้ก็ไม่แม้แต่จะแจ้งให้ทราบ

ความหมายที่อยู่ในนั้น ควรค่าให้คิดพิจารณาให้ดี

เจิ้งฉุนเจี้ยนพูดพลางมองไปยังเฝิงหยวนซิง “รบกวนนายทะเบียนเฝิงแจ้งต่อใต้เท้าหลี่มู่ให้ข้าด้วย”

“คือ…” เฝิงหยวนซิงปวดหัวทันที

เขาหันไปมองเด็กรับใช้บัณฑิตน้อยชิงเฟิงโดยไม่รู้ตัว เห็นอีกฝ่ายพยักหน้าก็เข้าใจ จึงทำความเคารพแล้วกล่าว “ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้”

เขาหมุนตัวเดินเข้าไปในที่ว่าการอำเภอ

บรรยากาศหน้าประตูที่ว่าการค่อนข้างพิกล

เจิ้งฉุนเจี้ยนมองประเมินไปรอบๆ ด้วยสีหน้าเย็นชา สุดท้ายสายตาหยุดอยู่ที่เด็กรับใช้บัณฑิตน้อย มุมปากยกยิ้มเย็นดูประหลาด

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง

เฝิงหยวนซิงเดินออกมาจากที่ว่าการ กล่าวด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนว่า “อาจารย์เจิ้ง ประตูห้องฝึกยุทธ์ของใต้เท้าหลี่ปิดสนิท ข้าสั่งให้คนพังประตูก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ ท่านว่า…”

อาจารย์เจิ้งพยักหน้า “ไม่เป็นไร ข้าจะเข้าไปรอใต้เท้าหลี่ออกจากการปิดด่านในที่ว่าการ”

พูดแล้วก็เปลี่ยนบทบาทจากแขกเป็นเจ้าบ้าน ออกคำสั่งบัญชาเป็นชุด จากนั้นก็นำผู้ช่วยขุนนางเมืองคนใหม่ฉู่ซูเฟิง นายตรวจการคนใหม่หนิงจ้งซาน และรองนายพลสามสี่คนพวกนั้นเดินเข้าไปในที่ว่าการ

ขณะเดียวกัน นายทหารชุดเกราะอาวุธครบครันพวกนั้นก็เริ่มจัดวางกำลังข้างนอก ท่าทางวางอำนาจ ไล่มือปราบที่แต่เดิมรักษาการตามที่ต่างๆ ในที่ว่าการอำเภอไปอย่างไม่เกรงใจ

พวกเฝิงหยวนซิงได้แต่ยิ้มขื่น ฟังคำสั่งและปฏิบัติตาม

หลังจากนั้นหนึ่งถ้วยชา

ในโถงที่ว่าการ เจิ้งฉุนเจี้ยนนั่งอยู่บนที่นั่งประธาน มือถือถ้วยชากระเบื้องเคลือบ ปาดฝาถ้วยชาเบาๆ พลางดื่มชาอย่างไม่รีบร้อน

นอกจากพวกเฝิงหยวนซิงสามสี่คน ขุนนางน้อยใหญ่สามสี่สิบคนในอำเภอขาวพิสุทธิ์ต่างยืนอยู่กลางโถงใหญ่ ไม่กล้าหายใจดัง ก้มหน้าไม่กล้าแม้แต่จะมอง ‘ซิ่วไฉใจเหี้ยม’ ผู้นี้แม้แต่น้อย ราวกับกำลังเผชิญหน้าเจ้าเมืองฉางอัน มิใช่บัณฑิตที่ไร้ตำแหน่งขุนนาง

“ในเมื่อใต้เท้าหลี่เก็บตัวไม่ออกมา เช่นนั้นอย่างนี้ก็แล้วกัน นำเอกสารราชการในอำเภอทั้งหมดออกมา มอบให้ใต้เท้าหนิงและใต้เท้าฉู่ตรวจอ่าน เรื่องทั้งหมดในอำเภอ นับแต่นี้มอบให้ใต้เท้าทั้งสองจัดการ”

เจิ้งฉุนเจี้ยนชิงตำแหน่งของเฝิงหยวนซิงที่เป็นผู้นำในที่ว่าการในฐานะคนสนิทของหลี่มู่หลายวันมานี้ไปอย่างง่ายดาย

น้ำเสียงของเขาไม่รีบร้อน แต่จริงจังเด็ดขาด

เฝิงหยวนซิงโอดครวญในใจ แต่กลับไม่กล้าเอ่ยคำว่าไม่ออกมา

ข้างๆ มีขุนนางฝ่ายบุ๋นรับคำ ขนเอกสารราชการออกมาทันที

สายตาของเจิ้งฉุนเจี้ยนกวาดมองไปยังขุนนางฝ่ายบุ๋นทั้งโถง สามารถสัมผัสความยำเกรงและหวาดกลัวในใจของพวกเขาได้อย่างชัดเจน จึงทำให้เขาพอใจมาก

เขาเพลิดเพลินกับความรู้สึกที่ตัวเปล่าไร้ตำแหน่ง แต่กลับทำให้ขุนนางพวกนี้ต้องตัวสั่นงันงกยิ่งนัก

ถึงแม้จะไม่ใช่ขุนนาง ทว่าอยู่เหนือขุนนาง

“นายทะเบียนเฝิง เด็กรับใช้คนเมื่อครู่ชื่ออะไร?” เจิ้งฉุนเจี้ยนถามเหมือนไม่ใส่ใจ

เฝิงหยวนซิงก้มหน้าเอ่ย “ชื่อชิงเฟิง เป็นคนสนิทข้างกายใต้เท้าหลี่”

“อ้อ คนสนิทรึ หึๆ” เจิ้งฉุนเจี้ยนกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา “ว่ากันว่าใต้เท้าหลี่ฝีมือร้ายกาจ คิดไม่ถึงว่าเด็กรับใช้บัณฑิตข้างกายจะฝีปากกล้าเช่นนี้ ฮี่ๆ”

พวกเฝิงหยวนซิงได้ยินเสียงหัวเราะเยาะหยันสุดท้ายนั่นแล้ว ในใจอดปาดเหงื่อเย็นแทนชิงเฟิงไม่ได้

 ‘ซิ่วไฉใจเหี้ยม’ มีนิสัยใจแคบ แม้เรื่องเล็กน้อยก็ต้องแก้แค้น ทั่วทั้งเมืองฉางอันต่างรู้กันดี

“นายทะเบียนเฝิง ได้ยินว่าช่วงที่ผ่านมานี้ ที่แท้เป็นท่านที่คอยจัดการงานราชการของอำเภอขาวพิสุทธิ์?” เจิ้งฉุนเจี้ยนถามขึ้นอีก

เฝิงหยวนซิงรีบตอบ “ใต้เท้าหลี่มีงานราชการมากมาย ข้าน้อยเพียงแค่ช่วยแบ่งเบาเล็กน้อยเท่านั้น”

มุมปากของเจิ้งฉุนเจี้ยนเผยรอยยิ้มเย็น ถามอย่างไม่รีบร้อนอีกว่า “คุณชายน้อยที่ใต้เท้าเจ้าเมืองโปรดปรานที่สุด เมื่อไม่กี่วันก่อนนี้มาเที่ยวเล่นที่อำเภอขาวพิสุทธิ์กับสหายอีกหลายคน แต่ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่ทราบว่านายทะเบียนเฝิงรู้เรื่องนี้หรือไม่?”

เฝิงหยวนซิงใจสั่นสะท้าน

เรื่องอะไรที่ควรจะมา ในที่สุดก็มาแล้ว

แต่ทำไมดันมาในช่วงเวลานี้กัน

……

เมืองอำเภอ โกดังเก็บศพ

โกดังเก็บศพไม่ต่างอะไรกับห้องดับจิตหรือแผนกนิติเวชของโลกเท่าใดนัก แต่ศพที่ไร้ญาติและศพที่เกี่ยวพันกับคดีจะเก็บเอาไว้ที่นี่ มีหน่วยงานราชการตรวจสอบเก็บรักษา นี่คือธรรมเนียมแต่ไรมาของจักรวรรดิฉินตะวันตก

ยอดฝีมือสำนักขาวพิสุทธิ์ที่สวมชุดจอมกระบี่สีขาวสามสี่คนมาถึงในโกดังเก็บศพอย่างรีบร้อน

“หาเจอแล้ว เป็นพวกศิษย์พี่ลู่จริงๆ ด้วย”

“นี่…เป็นไปได้อย่างไร พวกศิษย์พี่ลู่หายตัวไปสี่วัน ถูกสังหารอย่างนั้นรึ?”

“ใครมันกล้าสังหารศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์?”

“รีบไปรายงานผู้อาวุโสโจวเร็ว”

“แก้แค้น พวกเราต้องแก้แค้นให้ได้”

ในโถงใหญ่ของโกดังเก็บศพ ศิษย์สำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์อารมณ์พลุ่งพล่าน หลังจากยืนยันว่าศพไร้ญาติที่นอนอยู่บนพื้นพวกนั้นก็คือพี่น้องสำนักเดียวกันที่หายตัวไปเมื่อหลายวันก่อน นี่ทำให้พวกเขาโกรธแค้นนัก