บทที่ 716 'ซอมบี้' คลานพื้น

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

บทที่ 716 ‘ซอมบี้’ คลานพื้น โดย Ink Stone_Fantasy

ชายสองคนที่ปรากฏตัวนี้เป็นผู้มีความสามารถพิเศษอย่างเห็นได้ชัด จู่ๆ พวกเขาก็เดินออกมาจากในตึก ถ้าไม่ใช่ว่าตอนเดินออกมาพวกเขากำลังคุยกัน เดาว่าคงจะต้องอาศัยการมองเห็นอย่างเดียวถึงจะรู้ว่าพวกเขาเดินออกมาแล้ว

ขณะที่จ้องอีกฝ่าย หลิงม่อก็เฝ้าระวังไปด้วย

ด้านหนึ่ง เตรียมตัวหนีให้พร้อม ในอีกด้าน ก็ลอบต่อว่าตัวเองที่ประมาทเลินเล่อ

เขาไม่ได้พุ่งเป้าความสนใจทั้งหมดไปที่เสี่ยวป๋ายตลอดเวลา ไม่คิดเลยว่าเสี่ยวป๋ายจะเข้าไปใกล้ตัวอาคารขนาดนั้น สถานการณ์อย่างนี้ ยิ่งไม่สามารถสัมผัสได้ถึงเสียงฝีเท้าอยู่ด้วย…

แต่ถึงอย่างไร การค้นหาประเภทนี้ก็เป็นเรื่องถนัดของเสี่ยวป๋าย…

อย่างน้อยเสี่ยวป๋ายก็ตามหามนุษย์เจออย่างรวดเร็ว แต่ถ้าเป็นหุ่นซอมบี้ที่หลิงม่อควบคุม คงทำได้เพียงค่อยๆ เข้าไปใกล้ทีนิดๆ

ฝนตกทำให้ความสามารถของเสี่ยวป๋ายอ่อนลง สำหรับซอมบี้ธรรมดายิ่งร้ายแรงกว่านั้น

ในสภาพแวดล้อมกว้างใหญ่แบบนี้ ซอมบี้ธรรมดาตัวหนึ่งทำได้เพียงเดินเตร็ดเตร่ไปทั่วเท่านั้น

ตอนนี้ ชายสองคนนั้นกำลังยืนมองเสี่ยวป๋ายอยู่นอกพุ่มหญ้า ชายแซ่หลี่คนนั้นทำหน้าตาสงสัย เหมือนพร้อมจะเดินเข้ามาเช็กได้ทุกเมื่อ

ทว่ารออยู่หลายนาทีก็ไม่เห็นมีปฏิกิริยาอะไร สุดท้ายเขาก็หันกลับไปบอกว่า “ไม่มีอะไร อาจเพราะความรู้สึกอ่อนไหวเกิน…เมื่อกี้ดันรู้สึกว่าถูกคนจ้องซะได้”

คนคนนี้มีสัมผัสต่ออันตรายที่ร้ายกาจไม่เบา!

หลิงม่อนึกว่าอีกฝ่ายสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของเสี่ยวป๋าย แต่ตอนนี้ดูเหมือนสาเหตุจะเป็นเพราะสายตา…

“หึหึ…” ชายอีกคนหัวเราะอย่างไม่คิดอะไรมาก เขาบอกว่า “ถ้าหากเป็นซอมบี้คงพุ่งออกมาจากพุ่มหญ้านานแล้ว…พูดถึงซอมบี้ สามวันก่อนมีซอมบี้ตัวหนึ่งโผล่มาที่แถวๆ ตึก 3 แม่งน่าขำสิ้นดี…”

“วิ่งไปถึงตึก 3 เลยหรอ? ถูกฆ่าไปแล้วสินะ…”

“ยังต้องถามอีกหรือ? น่าตลกสิ้นดี…”

เสียงพูดคุยลอยห่างออกไปเรื่อยๆ พร้อมกับที่หัวใจของหลิงม่อกลับมาเต้นเป็นปกติ

โชคดี ที่ความสามาถในการอำพรางกายของเสี่ยวป๋ายยอดเยี่ยมดังคาด…

สาเหตุที่ให้เสี่ยวป๋ายมาทำหน้าที่นี้ แทนที่จะเลือกควบคุมหุ่นซอมบี้มามั่วๆ เพราะหลิงม่อมีเหตุผล…

ที่นี่มีผู้มีความสามารถพิเศษรวมตัวกันอยู่มากมาย ยากที่จะรับประกันได้ว่าไม่มีผู้มีพลังจิตที่แข็งแกร่งรวมอยู่ด้วย

หากถูกจับได้ คนคนนั้นอาจมองเห็นสิ่งผิดปกติเกี่ยวกับหุ่นซอมบี้ได้ทันที

ในทางกลับกัน เสี่ยวป๋ายที่เก่งเรื่องอำพรางกาย และเคลื่อนไหวรวดเร็ว ถึงแม้จะถูกจับได้มันก็ยังวิ่งหนีออกมาได้อย่างรวดเร็ว

ถึงแม้จะเป็นผู้มีความสามารถพิเศษด้านศักยภาพร่างกาย ก็ไม่มีทางไล่ตามหมีแพนด้ากลายพันธุ์ได้ทันแน่นอน

สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ สีขนของมันเป็นสีป้องกันตัวเอง ทำให้มันลักลอบเข้าไปใกล้ได้มากพอ…

แต่ว่า…เกิดอะไรขึ้นกับนิพพานสำนักงานใหญ่ ทำไมถึงได้มีซอมบี้โผล่มาได้ล่ะ?

“เมื่อกี้ สมาชิกชายคนนั้นบอกว่าตึกหมายเลข 3…ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่ามีตึกหมายเลข 1 และตึกหมายเลข 2 ด้วยน่ะสิ?

เรื่องนี้ไม่ต่างจากที่หลิงม่อคาดเดาไว้มาก มหาลัยแพทย์แห่งนี้มีอาคารก่อสร้างครบครันหลายหลัง ไม่ว่าสมาชิกนิพพานจะมีมากขนาดไหน ก็คงมากไม่เกินกว่าจำนวนคนที่มหาลัยแห่งหนึ่งจะสามารถจุได้ในสมัยก่อน

ลักษณะของที่นี่แตกต่างจากฟอลคอนที่เปิดรับผู้รอดชีวิตที่มาจากทุกทิศ…

หลังฟังการพูดคุยไม่กี่ประโยค ถึงแม้หลิงม่อจะได้ข้อมูลมาเล็กน้อย แต่เขาก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี

ซอมบี้เข้าออกได้ตามใจชอบ นี่มันดูไม่เหมือนสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยเลย…

“สมาชิกของที่นี่ดูเหมือนจะเดินเพ่นพ่านไปทั่วนะ แค่แป๊บเดียวก็เจอตั้ง 2 คนแล้ว…แต่ถึงอย่างไรฝนก็กำลังตกอยู่ จำนวนคนจะต้องน้อยกว่าเวลาปกติแน่ๆ หากไม่ฉวยโอกาสนี้สำรวจให้ดี อีกหน่อยก็คงหาโอกาสอย่างนี้ยากแล้ว พอตกกลางคืน ไม่แน่ว่าเวรยามอาจแน่นหนากว่าเดิม พอถึงตอนนี้อาจไม่ได้อะไรกลับมาเลยก็ได้…”

หลิงม่อไม่คิดจะลักลอบเข้าไปในตึกกลางดึก ใครจะไปรู้ว่าในตึกมีอะไรอยู่ ผลีผลามไปก็มีแต่จะแหวกหญ้าให้งูตื่น ไม่ใช่การกระทำที่ฉลาดนัก

ครั้งนี้พอมีประสบการณ์ หลิงม่อจึงสั่งให้เสี่ยวป๋ายออกห่างตึกอาคารเหล่านั้น และเคลื่อนไหวในพื้นที่สีเขียวเท่านั้น

รอให้เห็นมนุษย์ก่อน แล้วค่อยหาจังหวะเข้าไปแอบฟังใกล้ๆ ก็พอแล้ว…

ทว่า ในหนึ่งชั่วโมงต่อมา มันกลับไม่พบเจอมนุษย์อีกเลย

หลังจากเดินผ่านสนามแห่งหนึ่งมา จู่ๆ ข้างหน้าก็มีลานกว้างรูปครึ่งวงกลมอยู่

และหลังจากแหวกหญ้าเพื่อมองออกไปข้างนอก หลิงม่อถึงได้เข้าใจทันทีว่า ที่แท้ที่นี่ต่างหากที่เป็นศูนย์กลาง!

ตึกอาคารที่ตั้งติดกันเป็นแถวอยู่ในลานกว้าง ก็คือนิพพานสำนักงานใหญ่ที่แท้จริง

และเมื่อมาถึงที่นี่ เสี่ยวป๋ายก็ยากที่จะเข้าไปใกล้ๆ โดยไม่ส่งเสียงอีกต่อไป

ซ่อนตัวอยู่ในพุ่มหญ้าแล้วมองออกไปข้างนอก มองเห็นเพียงตาข่ายเหล็กที่มักใช้ล้อมรั้วสนามบาสฯ ถูกนำมาล้อมลานกว้างแห่งนั้นจนทั่ว ทางเข้าออกเดียวที่มีก็มียามเฝ้าอยู่ 2 คน ด้านข้างยังมีเฮลิคอปเตอร์จอดไว้อีกหนึ่งลำ

และด้านในลานกว้างนั้น ตรงบานหน้าต่างที่อยู่แถบหน้าสุด มีจุดสีดำอยู่หนึ่งจุด เห็นชัดว่าเป็นจุดยิงปืน

ตำแหน่งอื่นๆ ไม่อาจมองเห็นผ่านมุมมองสายตาของเสี่ยวป๋ายได้ แต่ก็มั่นใจได้ว่าจะต้องมีเวรยามเฝ้าทุกทิศอย่างแน่นอน

ดูตากรูปการ “ตึก 3” ที่ชายคนนั้นพูดถึง ก็ต้องหมายถึงอาคารที่ถูกจัดอยู่นอกตาข่ายเล็กโดยไร้การคุ้มกันใดๆ

“ทำไมต้องระบุหมายเลขตึกที่อยู่นอกสำนักงานใหญ่ด้วยล่ะ…” หลิงม่อไม่เข้าใจ จึงปล่อยผ่านไปก่อน กว่าจะตามหานิพพานสำนักงานใหญ่เจอไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เขาจะต้องถือโอกาสนี้สังเกตการให้ดี

ตึกเหล่านั้นล้วนถูกเชื่อมต่อเข้าด้วยกันโดยทางเดินเชื่อมระหว่างอาคาร สไตล์ตึกทันสมัยมาก ทว่าความจริงระยะห่างของแต่ละตึกถือว่าค่อนข้างไกล

หากเป็นอย่างนี้ ก็แสดงว่าสภาพแวดล้อมด้านในจะต้องซับซ้อนมากอย่างแน่นอน…

“ช่างเถอะ รู้อยู่แล้วว่าเป็นเรื่องยาก ตอนนี้ก็แค่ดูยากกว่าเดิมนิดหน่อยเท่านั้น อีกอย่างสภาพแวดล้อมซับซ้อนก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นเรื่องร้ายเสมอไป ตรงกันข้าม เรากลับจะสามารถแยกย้ายกันไป อาจทำให้เคลื่อนไหวได้ง่ายขึ้นก็ได้”

หลิงม่อมองไปยังอาคารสีแดงที่สูงที่สุดอยู่ครู่หนึ่ง ตึกนั่นเป็นใจกลางของระบบป้องกันตาข่ายเหล็ก ไม่แน่ว่าที่นั่นอาจเป็นสถานที่ที่สำคัญที่สุดของนิพพานสำนักงานใหญ่ก็ได้…

แต่ในตอนนั้นเอง จู่ๆ หลิงม่อกลับรู้สึกเหมือนคลื่นดวงจิตของเสี่ยวป๋ายรุนแรงขึ้นชั่วขณะ

จู่ๆ มารุนแรงขึ้นในเวลาอย่างนี้ ต้องไม่ใช่เพราะเห็นอะไรแน่นอน แต่เป็นเพราะ…

ข้างหลังมีอะไรบางอย่างอยู่!

ไม่ต้องรอให้หลิงม่อออกคำสั่ง เสี่ยวป๋ายรีบวิ่งเข้าไปยังส่วนลึกของดงหญ้าอย่างเงียบเชียบ จากนั้นก็หันไปมองตรงนั้นช้าๆ

เหลือบมองแวบแรก หลิงม่อก็รู้สึกหนังศีรษะชาไปทันที

ซอมบี้ตัวหนึ่งที่เดินด้วยแขนขาทั้งสี่ข้าง ดวงตาเป็นสีแดงเลือด กำลังถูกชายคนหนึ่งจูงด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบอารมณ์นัก มันกำลังค่อยๆ คลานเหมือนหมาอยู่ท่ามกลางพุ่มหญ้า

มันสูดจมูกฟุดฟิดเป็นบางครั้ง เหมือนกำลังตามหาอะไรบางอย่างอยู่

“น่ารำคาญ…ที่นี่มันสำนักงานใหญ่แล้วนะ จะไปมีอะไรที่ไหนล่ะ…ซวยชิบเป๋ง อุตส่าห์ได้มาสำนักงานใหญ่ แต่สุดท้ายก็ยังได้เป็นแค่ตัวสำรอง…ตัวสำรองแม่แกน่ะสิ…”

ชายคนนั้นอารมณ์เสียอย่างเห็นได้ชัด เขาสะบัดโซ่เหล็กในมือหนึ่งครั้ง แล้วซอมบี้ตัวนั้นก็อ้าปากร้องครวญครางทันที

หลิงม่อเพิ่งสังเกตเห็นว่าอีกด้านหนึ่งของโซ่เหล็กเป็นที่จับแบบพิเศษ ฟังจากเสียงกระแสไฟที่ดังเมื่อกี้ เดาว่านั่นคงจะเป็นเครื่องปล่อยกระแสไฟ…

เอาของอย่างนี้มาทรมานซอมบี้ ได้ผลไม่เลวอย่างเห็นได้ชัด

แต่ซอมบี้ที่คลานอยู่กับพื้นตัวนั้นดูไม่เหมือนซอมบี้จริงๆ ด้วยระดับของมันยังไม่น่าจะมีปฏิกิริยากับความรู้สึกเจ็บปวดมากนัก…

แต่ในเสี้ยววินาทีที่ซอมบี้ตัวนั้นอ้าปากหลิงม่อก็มองเห็นอะไรบางอย่างเข้า ในปากของมัน มีเพียงลิ้น ไม่มีฟัน…

“เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มันกัดคนงั้นหรอ? ดูจากรูปการ นิพพานสำนักงานใหญ่คงจะใช้ซอมบี้ที่คลานกับพื้นเป็นสุนัขยามสินะ…”

หลิงม่อขมวดคิ้วทันที ถึงแม้ซอมบี้กับมนุษย์จะยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน แต่การวิจัยของนิพพานกลับไม่ละเว้นทั้งกับมนุษย์และซอมบี้ พวกเขาไม่มีทางรู้วิธีทำให้ซอมบี้สัตว์เชื่อฟังอย่างแน่นอน ซอมบี้คลานพื้นประเภทนี้ ไม่แน่ว่าอาจถูกสร้างขึ้นมาจากมนุษย์ก็เป็นได้…

“จำนวนมนุษย์มีไม่มากอยู่แล้ว พวกเขาสนใจแค่ความเป็นความตายของคนกลุ่มน้อย…ถ้าหากทำเพื่ออยู่รอดอย่างเดียวก็แล้วไป แต่นี่พวกเขาทำเพื่อเพิ่มพลังให้ตัวเองชัดๆ…”

หลิงม่อรู้ดีถึงเหตุผลที่นิพพานสำนักงานใหญ่ทำวิจัยเหล่านี้ ไม่ว่าผู้มีความสามารถพิเศษจะแกร่งอีกซักแค่ไหน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าซอมบี้ก็กลายเป็นมนุษย์ผู้อ่อนแออยู่ดี โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญหน้ากับซอมบี้ฝูงใหญ่ มนุษย์ยิ่งกลายเป็นผู้อ่อนแอหนักกว่าเดิม

แม้จะเป็นค่ายกึ่งกองกำลังทหารอย่างฟอลคอน เมื่อต้องต่อสู้กับซอมบี้ฝูงใหญ่ก็ยังต้องเผชิญหน้ากับการสูญเสียครั้งใหญ่อยู่ดี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่าก่อนสู้ พวกเขาจะต้องเตรียมความพร้อมอย่างรอบคอบขนาดไหน…

เป็นค่ายผู้รอดชีวิตขนาดใหญ่เหมือนกัน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่หลิงม่อจะไม่เอาฟอลคอนกับนิพพานสำนักงานใหญ่มาเปรียบเทียบกัน

ถึงแม้พื้นฐานจะแตกต่างกัน แต่ท้ายที่สุดพวกเขาต่างทำไปเพื่อมีชีวิตรอด

ทว่านิพพานสำนักงานใหญ่ กลับดูมีปัญหาในด้านนี้…

เสี่ยวป๋ายซ่อนตัวอย่ที่เดิมอย่างเงียบเชียบ น้ำฝนสามารถกลบกลิ่นของมันได้ และมันก็เก็บซ่อนกลิ่นอายไว้อย่างมิดชิด ถึงจะอยู่ในระยะห่างไม่ถึง 20 เมตร หากอีกฝ่ายยังมองไม่เห็นตัวมัน ก็ไม่มีทางที่จะสัมผัสถึงการมีอยู่ของมันได้

ตรงกันข้าม กลับเป็นเสี่ยวป๋ายที่สามารถกระโจนออกไปได้ทุกเมื่อ แค่แพนด้ากระโดดทับกระบวนท่าเดียว ก็มากพอที่จะฆ่าหนึ่งคนหนึ่งซอมบี้ให้ตายคาที่ได้

เจ้าซอมบี้คลานพื้นตัวนั้นยังไม่ก้าวข้ามระดับธรรมดา ชายคนที่อยู่ข้างหลังนั่นก็ดูไม่ได้มีพลังแกร่งกล้าอะไร

ถ้าแกร่งคงไม่ต้องมาทำหน้าที่จูงสุนัขเฝ้าเวรยามอย่างนี้แล้ว แถมยังในวันที่ฝนตกอย่างนี้อีก…

ไม่แปลกที่สมาชิกคนนี้จะอารมณ์เสีย เป็นใครก็คงอารมณ์เสียกันทั้งนั้น…

—————————————————————————–