ตอนที่ 138 ฝีมือการแพทย์พัฒนา ท่านซื่อจื่อวางอำนาจ (4)

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

เหยาเฟิ่งเกอมองเหยาเหยียนอี้ทำท่าทางที่ลำพองใจ จึงอดยิ้มไม่ได้ และไม่ได้ถามอะไรให้มากความอีกต่อไป

เหยาเยี่ยนอวี่ไปถึงเรือนชิงผิง นางกลับสังเกตเห็นเฟิงฮูหยินมารดาของเฟิงเฟิงฮูหยินน้อยและลู่ฮูหยิน จึงคาดคิดไม่ถึงว่าพวกนางยังคงอยู่ที่นี่ หลังจากที่เข้าไปน้อมทำความเคารพฮูหยินทั้งสองท่านแล้ว ลู่ฮูหยินจึงเชิญเหยาเยี่ยนอวี่เข้าไปจับชีพจรให้เฟิงฮูหยินน้อยที่เรือนของนาง

เช้าวันนี้ เฟิงฮูหยินน้อยตื่นขึ้นมาก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้นเยอะ กลับสามารถลุกขึ้นมานั่งกินข้าวบนเตียง แล้วยังให้ไฉ่จูและไฉ่อวี้ล้างหน้าแปรงฟัน หวีผมและมวยผม แล้วใช้ปิ่นทองหนึ่งอันปักตรงผมมวย หัวของปิ่นทองเป็นรูปดอกเหมยอันงดงาม ตรงเกสรดอกเหมยยังมีพู่ที่ห้อยลงมาสองนิ้ว เฟิงฮูหยินน้อยแต่งกายเช่นนี้ ทำให้สีหน้าของนางดูดีขึ้นมาก

“น้องสาว!” เฟิงฮูหยินน้อยเห็นหน้าเหยาเยี่ยนอวี่ก็รีบยื่นมือออกมาด้วยความซาบซึ้ง “มานี่เร็วเข้า”

เหยาเยี่ยนอวี่เดินไปข้างหน้า แล้วค้อมตัวลงเล็กน้อย “น้อมทำความเคารพฮูหยินท่านซื่อจื่อเจ้าค่ะ”

“น้องสาวไม่ต้องพิธีรีตองอะไร รีบมานี่เร็วเข้า” เฟิงฮูหยินน้อยยื่นมือไปจูงมือเหยาเยี่ยนอวี่แล้วดึงนางไปนั่งตรงหน้าเตียง และรู้สึกตื้นตันใจยิ่งนัก “ข้าได้ยินมาว่าเมื่อคืนเจ้ารักษาข้า จนตนเองเกือบจะเป็นลมเป็นแล้งไปใช่หรือไม่ นี่จะทำให้ข้ารู้สึกสบายใจได้อย่างไร”

เหยาเหยี่ยนอวี่ยกยิ้ม แล้วพูดขึ้น “ฮูหยินไม่จำเป็นต้องคิดมาก นี่เป็นเพราะฝีมือการแพทย์ของข้าไม่เก่งกาจมากพอต่างหาก”

“พูดเช่นนี้ได้อย่างไร” เฟิงฮูหยินน้อยกุมมือเหยาเยี่ยนอวี่ไว้ “ไม่มีเจ้า ข้าคงสิ้นใจไปนานแล้ว”

“ฮูหยินอย่าพูดคำพูดที่อัปมงคลเช่นนี้เลย โบราณได้กล่าวไว้ว่า ตอนป่วย เร็วเหมือนภูเขาถล่ม พอหายป่วย ก็ช้าเหมือนการคลี่รังไหม เดิมทีร่างกายของท่านก็อ่อนแออยู่แล้ว หลังจากที่ได้ผ่านเรื่องราวพวกนั้นมา ก็ยิ่งทำให้อ่อนแอกว่าเดิม แค่ตั้งใจบำรุงรักษาให้ดี ก็ยังมีความหวังว่าร่างกายจะกลับมาดีเหมือนเดิม”

“น้องสาวพูดจริงหรือ เจ้าไม่ใช่แค่ต้องการปลอบโยนข้าใช่หรือไม่” เช้านี้เฟิงฮูหยินน้อยรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นเยอะ ทีแรกก็ยังนึกว่าสีหน้าของตัวเองคงจะดูสดใสขึ้นก่อนที่จะสิ้นใจ หลังจากได้ยินเฉินซินพูดก็รู้ว่านี่เป็นผลของการรักษาจากเหยาเยี่ยนอวี่ ดังนั้นหัวใจที่มัวหมองของนางก็เกิดความหวังอีกครั้ง ครั้งนี้ได้ยินคำพูดของเหยาเยี่ยนอวี่ ก็ยิ่งรู้สึกรื่นเริงยินดี

“ข้าไม่ได้ปลอบโยนฮูหยิน ฮูหยินเองก็คงรู้สึกได้เอง” เหยาเยี่ยนอวี่แย้มยิ้ม แล้วพลิกข้อมือไปจับชีพจรให้เฟิงฮูหยินน้อย แล้วพูดขึ้น “ฮูหยินอย่าเพิ่งพูดอะไรเลย ข้าจะจับชีพจรให้ท่านก่อน”

“ได้” เฟิงฮูหยินน้อยจึงรีบตอบตกลงแล้วปิดปากเงียบ จากนั้นก็หายใจให้คงที่ แล้วปล่อยให้เหยาเยี่ยนอวี่จับชีพจรอย่างเงียบๆ

ผลของการฝังเข็มครั้งนี้ทำให้เหยาเยี่ยนอวี่คาดคิดไม่ถึง ตามแผนที่นางวางไว้ก่อนหน้านี้ อย่างน้อยต้องฝังห้าครั้งถึงจะเกิดผลเช่นนี้ นึกไม่ถึงว่าแค่ฝังเข็มเพียงครั้งเดียวเมื่อคืนนี้ก็สามารถทำให้บรรลุผลแล้ว หรือว่าเหตุเพราะพลังชี่กระนั้นหรือ

มือของเหยาเยี่ยนอวี่วางอยู่บนจุดชีพจรของเฟิงฮูหยินน้อย นางสัมผัสการเต้นของชีพจร ในขณะเดียวกันนางก็นึกย้อนถึงขั้นตอนของการฝังเข็มของเมื่อคืนนี้

ผ่านไปสักพัก มือของเหยาเยี่ยนอวี่จึงดึงออกจากจุดชีพจรของเฟิงฮูหยินน้อย นางก็ถามอย่างเร่งด่วน “น้องสาว เป็นเช่นไรบ้างแล้ว”

เหยาเยี่ยนอวี่แย้มยิ้ม “ฮูหยินวางใจเถอะ อาการป่วยครั้งนี้มีหวังว่าจะหายดีเจ้าค่ะ”

“จริงหรือ” เฟิงฮูหยินน้อยกุมมือเหยาเยี่ยนอวี่ด้วยความตื่นเต้นดีใจ “น้องสาวพูดจริงหรือ”

เหยาเยี่ยนอวี่ตบหลังมือของนาง แล้วพูดขึ้น “จริงเจ้าค่ะ ทว่าวันข้างหน้าฮูหยินอย่าวิตกกังวลเกินไป ต้องใช้ชีวิตอย่างมีความสุข อาการจะได้หายเร็วกว่าเดิม อืม…เช่นนั้น ช่วงเช้าของวันมะรืนข้าจะมาฝังเข็มให้ท่านอีกรอบ ดีหรือไม่”

“ดี ดี!” เฟิงฮูหยินน้อยดีใจจนน้ำตาไหล นางจับมือของเหยาเยี่ยนอวี่ไว้แน่นๆ แล้วพูดขึ้น “ขอบคุณน้องสาวมากๆ! น้องสาวช่วยชีวิตข้ามาสองครั้งแล้ว ชีวิตนี้ข้าจะไม่มีวันลืมบุญคุณอันยิ่งใหญ่ของน้องสาว”

เหยาเยี่ยนอวี่มองสูตรปรุงยาของเฟิงฮูหยินน้อย จากนั้นก็ปรับเปลี่ยนสูตรใหม่ นางเพิ่มปริมาณยาซานชีมากขึ้น จากนั้นก็กำชับเวลาที่ควรต้มยาให้กับเฉินซิน แล้วจึงจะกล่าวคำอำลา

เฟิงฮูหยินและลู่ฮูหยินเห็นเหยาเยี่ยนอวี่ต่างก็รู้สึกดีใจ ลู่ฮูหยินถามขึ้นก่อน “วันนี้ข้าดูจากสีหน้าของนางค่อยยังชั่ว คุณหนูเหยาว่าอย่างไรบ้าง”

เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้า “อาการดีขึ้นมากแล้ว ทว่ายังต้องทำการรักษาต่อเนื่องเจ้าค่ะ”

“ดีขึ้นก็ดีแล้ว!” เฟิงฮูหยินยื่นมือไปจับมือเหยาเยี่ยนอวี่ก่อน แล้วเปรยขึ้น “ขอบคุณคุณหนูเหยาเป็นอย่างยิ่ง! หากไม่มีเจ้า บุตรีผู้น่าสงสารคนนี้ของข้าจะทำอย่างไร”

เหยาเยี่ยนอวี่ดึงมือออกด้วยสีหน้าที่ไม่สื่ออารมณ์ใดๆ แค่แย้มยิ้มบางๆ “ฮูหยินเกรงใจเกินไปแล้วเจ้าค่ะ”

เฟิงฮูหยินพูดขึ้นต่อ “บุญคุณที่ช่วยชีวิตครั้งนี้ของคุณหนูเหยา ตลอดชีวิตนี้พวกเราไม่มีวันลืมแน่นอน! วันข้างหน้าหากคุณหนูมีอะไรที่อยากจะให้พวกเราช่วย ก็ว่ามาได้เลย”

เหยาเยี่ยนอวี่ยกยิ้ม แล้วหันไปหาลู่ฮูหยินก่อนจะกล่าวว่า “ฮูหยินเกรงใจเกินไปแล้วเจ้าค่ะ เมื่อครู่ตอนข้ามา พี่สาวบอกว่ายังมีธุระคุยกับข้า สูตรยาต้มสมุนไพรของฮูหยินท่านซื่อจื่อข้าก็ได้ปรับเปลี่ยนใหม่แล้ว ให้ดื่มยานี้สักสองวันก่อน รอวันมะรืนข้าจะมาฝังเข็มให้นางอีกครั้ง เยี่ยนอวี่ขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”

ลู่ฮูหยินพยักหน้า “นี่ก็ใกล้จะถึงวันเฉลิมฉลองตรุษจีนแล้ว ไม่เช่นนั้นคุณหนูก็ย้ายมาอยู่ที่นี่เถอะ ถึงเวลาจะได้ฉลองและร่วมสนุกในเทศกาลตรุษจีนไปด้วยกัน”

เหยาเยี่ยนอวี่คลี่ยิ้มบางๆ พลางปฏิเสธกลับอย่างอ้อมค้อม “นี่ก็ใกล้จะถึงเทศกาลตรุษจีนแล้ว ในจวนโหวมีคนเข้าออกมากมาย ฮูหยินต้องยุ่งวุ่นวายทุกวี่ทุกวัน พี่สาวตั้งครรภ์จึงไม่สามารถแบ่งเบาภาระของฮูหยินได้ ข้ากับพี่ชายจึงไม่อาจรบกวนฮูหยินเจ้าค่ะ”

ลู่ฮูหยินถอนหายใจ “เด็กคนนี้มักจะเกรงใจเช่นนี้”

เหยาเยี่ยนอวี่คลี่ยิ้มและไม่พูดอีก จากนั้นก็ค้อมตัวทำความเคารพฮูหยินทั้งสองท่านเป็นการอำลาแล้วเดินจากไป

เฟิงฮูหยินเข้าไปดูบุตรีของนางด้วยความดีอกดีใจ ลู่ฮูหยินจึงหาข้ออ้างว่ามีธุระ และกลับเรือนตัวเองก่อน

ซูอวี้ผิงส่งเหยาเยี่ยนอวี่ออกจากประตูด้วยตนเอง เหยาเยี่ยนอวี่จึงหันกลับมาและพูดขึ้น “ท่านซื่อจื่อส่งถึงที่นี่ก็พอแล้ว”

“คุณหนูเดินช้าๆ ด้วย” ซูอวี้ผิงพยักหน้าแล้วมองเหยาเยี่ยนอวี่เดินจากไปด้วยความเกรงใจ

บังเอิญกับที่ซูอวี้เสียงกลับมาจากข้างนอก พอเห็นพี่ใหญ่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูแล้วมองข้างหลังของเหยาเยี่ยนอวี่อย่างเหม่อลอย ทันใดนั้นภายในใจจึงรู้สึกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ จากนั้นจึงสาวเท้าเดินไปข้างหน้า แล้วแสยะยิ้มเยาะและเอ่ยถาม “พี่ใหญ่ช่างมีความรักที่แน่นแฟ้นกับพี่สะใภ้ของข้าจริงๆ”

ซูอวี้ผิงสีหน้าแปรเปลี่ยนไปทันที แล้วขมวดคิ้วพลางมองซูอวี้ผิง สักพักจึงถามกลับด้วยเสียงเย็นชา “น้องสาม เจ้าหมายความว่าอะไร”

“ไม่ได้หมายความอะไร” ซูอวี้เสียงยิ้มอย่างเย้ยหยัน “แค่รู้สึกตกตะลึงในคุณธรรมสตรีของพี่สะใภ้ใหญ่เป็นอย่างยิ่ง ต่อให้ป่วยหนักเพียงนั้นแล้วยังวางแผนอนาคตให้กับพี่ใหญ่เป็นอย่างดี แม้กระทั่งภรรยาคนใหม่ของพี่ใหญ่ยังเลือกไว้ให้แล้ว แค่ไม่รู้ว่าหลังจากได้รับการรักษาจากน้องสาวภรรยาของข้า ความปรารถนาของพี่สะใภ้ใหญ่จะได้รับผลกระทบอยู่หรือไม่”

ซูอวี้เสียงถูกลู่ฮูหยินเลี้ยงดูอย่างตามใจมาตั้งแต่เด็ก จึงทำให้เขามีนิสัยที่ไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน คนในครอบครัว ก็มีเพียงติ้งโหวเท่านั้นที่เขารู้สึกกลัว ปกติแล้วเขาไม่เคยเห็นพี่ใหญ่คนนี้ในสายตาเลย ตอนนี้เรื่องของเหยาเยี่ยนอวี่สะกิดโดนใจของเขา เขาจะคำนึงถึงความแตกต่างของลำดับอาวุโสได้อย่างไร

“น้องสาม!” ซูอวี้ผิงตวาดด้วยความโมโห “เจ้ากำลังพูดเหลวไหลอะไรอยู่!”

“ข้าพูดอะไรพี่ใหญ่ฟังไม่รู้เรื่องหรือไร ถ้าให้ข้าพูด ต่อให้พี่จะเลือกภรรยาคนใหม่ ก็ควรกลับไปเลือกทางฝั่งตระกูลพ่อตาของพี่ ท่านไม่ควรวางแผนเลือกคนทางฝั่งข้า”

“น้องสาม เจ้าช่างไม่รู้จักเคารพผู้ที่อาวุโสกว่า ไม่รู้จักกาลเทศะ!” ความเกรี้ยวโกรธที่อยู่ภายในใจของซูอวี้ผิงกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เขาชี้หน้าซูอวี้ผิงแล้วกัดฟันพูด “วันนี้ข้าจะใช้ฐานะที่เป็นพี่ชายคนโตมาสั่งสอนเจ้า เจ้าตามข้ามา!”

“เหตุใดข้าต้องตามท่านไปด้วย” ซูอวี้เสียงมองซูอวี้ผิงที่โมโหจนหน้าแดง ภายในใจก็รู้สึกกลัวเล็กน้อย

“เจ้าตามข้ามา!” ซูอวี้ผิงดึงข้อมือของซูอวี้เสียงไว้ แล้วลากตัวเขาเดินไปข้างๆ อย่างไม่ปล่อยให้เขาโต้เถียงกลับ ซูอวี้เสียงถูกเลี้ยงดูอย่างเอาอกเอาใจมาแต่เด็ก จะเปรียบเทียบกับซูอวี้ผิงที่เป็นแม่ทัพในสนามรบได้อย่างไร หากพวกเขาทั้งสองสู้กัน ซูอวี้เสียงมีสิทธิ์แค่แหกปากตะโกนเสียงดังอย่างเดียว