บทที่ 124 อาหารเปี่ยมด้วยพลังปราณนามว่าดอกไม้เพลิงเบ่งบาน

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

พอจีเฉิงเสวี่ยจากไป ร่างมอซอร่างหนึ่งก็เดินเข้าร้านมาพร้อมด้วยผู้ติดตามอีกสองคน

ปู้ฟางหันไปมองทางนั้นแล้วก็เห็นหนี่หยันกับศิษย์ทั้งสอง หนี่หยันเดินถือกล่องข้าวกลางวันทำจากไม้ ซึ่งห่อหุ้มด้วยพลังปราณเที่ยงแท้ของนางเพื่อป้องกันไม่ให้อากาศหนาวภายนอกแทรกตัวเข้าไปได้ จนทำให้รสชาติอาหารเสียหมด

“เถ้าแก่ปู้ ข้าทำอาหารเสร็จแล้ว ลองกินดูสิถูกปากเจ้าไหม!” หนี่หยันมั่นใจเป็นอันมาก นางเปิดผ้าคลุมหน้าออก เผยให้เห็นดวงตาเป็นประกายเหมือนพลอยล้ำค่า

ปู้ฟางอุทานออกมาเล็กน้อย เขาไม่ได้คาดคิดว่านางจะทำอาหารมาให้จริงๆ

เนื่องจากไม่มีรายการอาหารที่ลูกค้าสั่งค้างอยู่ ชายหนุ่มจึงรู้สึกอยากกินขึ้นมาเช่นกัน เขานั่งลงบนโต๊ะแล้วบุ้ยใบ้ให้หนี่หยันเอาอาหารออกมาให้ตนดู

อวี่อ๋องกำลังกินข้าวอยู่แถวนั้น เมื่อเขาเห็นหนี่หยันและศิษย์ทั้งสองก็ตกใจเล็กน้อยเพราะจำอีกฝ่ายได้ ความโกลาหลที่สตรีนางนี้ก่อไว้เมื่อคืนไม่ใช่เรื่องเล็กๆ

“ผู้ฝึกตนหญิงขั้นนักพรตยุทธการอารมณ์ร้ายคนนี้มาที่ร้านเถ้าแก่ปู้ด้วยรึ สองคนนี้มาจากถิ่นเดียวกันหรืออย่างไร” อวี่อ๋องคิด

ปู้ฟางไม่ได้คิดอะไรมาก เขาตั้งหน้าตั้งตารออาหารของหนี่หยันพอตัวเลยทีเดียว นางเป็นถึงแม่ครัวอันดับหนึ่งของสำนักความลับแห่งสวรรค์ที่รสมือทำให้ทุกคนในสำนักต้องศิโรราบ แปลว่าความสามารถในการทำอาหารของนางต้องใช้ได้อย่างแน่นอน

หนี่หยันวางกล่องข้าวกลางวันที่ทำจากไม้ลงบนโต๊ะ แล้วปล่อยให้พลังปราณเที่ยงแท้สลายไป ทันใดนั้นกลิ่นหอมของพืชผักสดใหม่ก็ลอยออกจากกล่องทันที

ปู้ฟางสูดหายใจเข้าลึก เขาเลิกคิ้วขึ้นแล้วพยักหน้าอย่างไม่ยินดียินร้าย ดมจากกลิ่นก็รู้ว่าอาหารที่นางทำมาน่าจะรสชาติดีเลยทีเดียว กลิ่นนี้หอมพอจะทำให้ชายหนุ่มรู้สึกน้ำลายสอได้

เมื่อนางเอาอาหารออกมาดวงตาของชายหนุ่มก็หรี่ลงเล็กน้อย เขาเงยหน้าขึ้นมองหนี่หยันด้วยสายตามีความนัย

นี่เป็นอาหารที่ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ ดูก็รู้ว่านางทุ่มเทพลังกายไปเยอะในการทำ

อาหารนี้เป็นผลไม้ขนาดเท่ากำปั้น เปลือกเป็นสีเปลวเพลิง ทั้งยังมีไฟเผาไหม้อยู่บนพื้นผิว หนี่หยันผ่าครึ่งผลไม้ นำเนื้อออกแล้วใส่เมล็ดข้าวสีทองเข้าไปแทน ข้าวแต่ละเมล็ดปกคลุมด้วยซอสที่มีกลิ่นหอมไม่เหมือนสิ่งใด และยังคงร้อนกรุ่นจนมีควันขาวลอยออกมา

“อาหารจานนี้ชื่อว่าอะไร” ปู้ฟางถามหลังจากสูดกลิ่นเข้าไปแล้ว

“มันคืออาหารจานเด็ดของข้า ดอกไม้เพลิงเบ่งบาน นี่เป็นอาหารจานที่ข้าควบคุมพลังปราณได้นิ่งที่สุด โดยมีพลังปราณเหลืออยู่ร้อยละสามสิบด้วยกัน” นางพูดอย่างตั้งใจ

อาหารจานนี้มีพลังปราณอยู่ภายใน ปู้ฟางเริ่มสังเกตเห็นได้เช่นกันเนื่องจากอาหารจานนี้คล้ายอาหารของเขามาก ไม่ใช่แค่มีกลิ่นหอมเท่านั้น แต่ยังมีพลังปราณแฝงอยู่ด้วย

ชายหนุ่มหยิบช้อนกระเบื้องออกมาแล้วค่อยๆ ตักข้าวสีทองมาเต็มช้อน กลิ่นที่ลอยออกจากข้าวนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าข้าวผัดไข่ของเขาแม้แต่น้อย

กลิ่นนี้อัดแน่นไปด้วยกลิ่นของผลไม้หลากหลายชนิด ทั้งยังมีกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของซอสเปรี้ยวแสนอร่อยอีกด้วย

ปู้ฟางนำข้าวเมล็ดสีทองเข้าปาก ข้าวนั้นอร่อยและเหนียวนุ่มเป็นอันมาก ทำให้เขารู้สึกราวกับกำลังกินขนมเคี้ยวนุ่มอยู่ พอกินเข้าไปแล้ว ข้าวแต่ละเมล็ดก็กระเด้งกระดอนอยู่ในปาก ก่อให้เกิดสัมผัสที่ไม่เหมือนใคร

นอกจากนี้รสชาติยังอร่อยด้วยเช่นกัน รสชาติของเนื้อผลไม้และซอสเข้าโอบล้อมต่อมรับรสของเขาเอาไว้ทันที

ดวงตาของปู้ฟางสว่างขึ้น เขาส่งข้าวอีกสองช้อนเข้าปาก หลังจากที่เคี้ยวอยู่สักพักชายหนุ่มก็เอ่ยออกมา “ไม่เลว”

“ดอกไม้เพลิงเบ่งบาน” นี้เป็นอาหารที่ไม่แย่จริงเสียด้วย ถึงพลังปราณที่อยู่ในอาหารจานนี้จะน้อยกว่าข้าวผัดไข่สูตรธรรมดาที่ร้านเขาเสียอีก แต่รสชาติอร่อยมากทีเดียว

“ข้าเลือกใช้ผลไม้พลังปราณระดับสองนามว่าผลไม้ปราณเพลิงในการทำอาหารจานนี้ เนื้อและเปลือกของผลไม้ชนิดนี้คนละสีกัน แต่รสชาติเข้ากันเป็นอย่างมาก ทั้งหวานเปรี้ยวอร่อยกลมกล่อมและยังมีพลังปราณสะสมอยู่อีกด้วย ข้าวสีทองข้านำไปแช่ในน้ำผึ้งของผึ้งหัวเพลิง จากนั้นก็นำไปปรุงพร้อมเนื้อของผลไม้ปราณเพลิง หลังจากที่ปิดเปลือกผลไม้ลงไปบนข้าวแล้วนำไปนึ่งต่อสักพัก เพียงเท่านี้ดอกไม้เพลิงเบ่งบานก็เป็นอันเสร็จพร้อมกิน” หนี่พยันพูดด้วยความรู้สึกพอใจในอาหารจานเด็ดของตน

ปู้ฟางต้องการให้นางทำอาหารจานที่ดีที่สุดให้ชิม นางจึงลงมือทำเพื่อให้เขายอมจำนนในที่สุด

แต่ในอึดใจต่อมาสีหน้าของผู้ชนะก็ต้องแข็งทื่อ

ปู้ฟางเอามือลูบคางแล้วมองหน้าหญิงสาวก่อนเอ่ย “รสชาติของอาหารจานนี้จัดว่าไม่แย่ มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์มาก แต่ก็ยังมีข้อผิดพลาดอยู่หลายประการด้วยกัน… เจ้านำเปลือกของผลไม้ปราณเพลิงไปปิดข้าวสีทองก่อนนำไปนึ่งต่อ จึงต้องเที่ยงตรงเรื่องระยะเวลาการนึ่งมากกว่านี้ และตรวจดูให้แน่ใจว่าน้ำผึ้งห่อหุ้มข้าวทุกเมล็ดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ดูก็รู้ว่าตอนทำเจ้าไม่ได้ตรวจสอบสองขั้นตอนนี้ให้ถูกต้องแม่นยำ”

เมื่อปู้ฟางเริ่มประเมินแล้วเขาก็ไม่มีทางยอมอ่อนข้อให้แน่นอน แม้แต่หนี่หยันเองก็ยังไม่รู้ว่าอาหารของตนมีข้อผิดพลาดมากถึงเพียงนี้

“ปัญหาหลักของข้าคือข้าไม่สามารถควบคุมพลังปราณในอาหารได้ หากข้าเพิ่มพลังปราณในอาหารได้มากกว่านี้อีกหน่อย รสชาติของอาหารจานนี้จะต้องดียิ่งกว่าเดิมแน่นอน!” หนี่หยันพูด รู้สึกไม่เชื่อคำแนะนำของอีกฝ่ายเล็กน้อย

ปู้ฟางเหลือบมองนางก่อนตอบเสียงเบา “ปริมาณพลังปราณในอาหารไม่ได้เป็นตัวชี้วัดความอร่อยของรสชาติ เจ้ากำลังจะสื่อว่าอาหารไม่มีทางอร่อยได้ถ้าไม่มีพลังปราณอย่างนั้นรึ ความคิดเช่นนี้ไม่ใช่ความคิดของพ่อครัวแม่ครัวที่ดีเลยนะ”

ถังอิ่นและลู่เซียวเซียวอึ้งเป็นอันมาก ทั้งสองยืนอยู่หลังหนี่หลัน สีหน้าดูตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน

นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นคนวิจารณ์ข้อผิดพลาดในอาหารของอาจารย์มากขนาดนี้… สมแล้วที่เป็นศิษย์พี่สุดเทพ!

“ดังนั้นข้าจึงแนะนำให้เจ้าเริ่มจากพื้นฐานก่อน หากเจ้าสามารถทำให้ผู้คนส่วนใหญ่พึงพอใจกับอาหารรายการธรรมดาที่ไม่มีพลังปราณได้ แปลว่าฝีมือของเจ้าดีขึ้นอีกขั้นแล้ว” นี่เป็นคำแนะนำของปู้ฟางต่อหนี่หยัน และเป็นคำแนะนำที่ทำให้นางคิดทบทวนอยู่เป็นเวลานาน

เมื่อรัตติกาลมาเยือน พายุหิมะที่พัดโหมกระหน่ำอยู่ทั้งวันก็หยุดลงในที่สุด มีเพียงเสียงลมหวีดหวิวเท่านั้นที่ทำลายความเงียบในค่ำคืนอันหนาวเหน็บ

สุดท้ายแล้วปู้ฟางก็ไม่ได้สอนวิธีรักษาพลังปราณในอาหารให้หนี่หยัน แต่เขาบอกให้นางไปฝึกทำอาหารจานธรรมดาสามัญ และกลับมาอีกครั้งหลังจากที่นางพอใจกับผลงานของตนเองแล้ว

ภายใต้แสงส่องสว่างอ่อนโยนของห้องครัว ชายหนุ่มกำลังเริ่มฝึกซ้อมการทำอาหารโอสถทิพย์อย่างมีสมาธิ ด้วยความที่เซียวเยวี่ยนำวัตถุดิบมาให้พอทำได้จานเดียวเท่านั้น ปู้ฟางจึงไม่กล้าทำอาหารจานนี้อย่างสุ่มสี่สุ่มห้าโดยไม่ฝึกจนมั่นใจเต็มที่เสียก่อน เนื่องจากมีโอกาสทำไม่สำเร็จได้อยู่เหมือนกัน

ไอน้ำลอยล่องไปทั่วครัว กลิ่นหอมเข้มของหอยเป๋าฮื้อและกลิ่นสมุนไพรรวมกันเป็นหนึ่ง

และค่ำคืนนั้นก็ดำเนินไปเช่นนี้…

วันรุ่งขึ้น ชายหนุ่มตื่นตามเวลาปกติและเริ่มฝึกทักษะการแกะสลักกลุ่มดาวกระบวยใหญ่ ทุกๆ วันเขาจะฝึกทักษะตามหลักสูตรที่ระบบจัดเอาไว้ให้ ปู้ฟางเข้าใจดีว่าไม่มีทางลัดสู่ความสำเร็จ เขาต้องพยายามมากกว่าทุกคนหากต้องการจะเป็นพ่อครัวเทพ ความสำเร็จนั้นมาจากการกระทำไม่ใช่คำพูด

ร้านเปิดและปิดตามปกติ พอถึงเวลากลางคืนชายหนุ่มก็ฝึกทำอาหารโอสถทิพย์อีกครั้ง

ในที่สุดหลังจากฝึกมาเป็นเวลาสองวัน เส้นตายที่เขาวางเอาไว้ก็มาถึง วันนี้ปู้ฟางต้องใช้วัตถุดิบจริงในการทำอาหารโอสถทิพย์เพื่อรักษาผู้ป่วยที่ได้รับการกระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง

ณ จวนตระกูลเซียว เซียวเหมิงได้รับคำเชิญจากองค์ชายสามที่บอกว่าอยากปรึกษาเรื่องสำคัญกับเขา ด้วยสถานการณ์ภายในนครหลวงที่ไม่สู้ดีนัก แม่ทัพใหญ่จึงไม่กล้าเพิกเฉยต่อคำเชิญนี้ เขาจึงออกจากที่พักมุ่งหน้าไปยังตำหนักขององค์ชายสาม

หลังจากที่เซียวเหมิงออกไป เซียวเยวี่ยในหมวกไม้ไผ่และผ้าคลุมหน้าสีดำพร้อมด้วยกระบี่ยาวในมือ ก็ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางพายุหิมะ มุ่งหน้าตรงไปยังจวนตระกูลเซียวสุดโอฬาร

…………………