ทั้งสองคนทำความเคารพซึ่งกันและกันแล้วการต่อสู้ก็เริ่มต้นขึ้น หลังจากที่ต่อสู้กันไปมาหลายกระบวนท่า เสียงของลูกเรือที่เดิมทียังคงโห่ร้องดังเกรียวกราวก็เริ่มเบาลง สุดท้ายสายตาของพวกเขาก็ถูกการต่อสู้ในสนามของทั้งสองคนดึงดูดไป
“ไอ้เด็กนั่นเรียนการต่อสู้พื้นฐานมาไม่เลวเลย พื้นฐานแน่นมาก”
“ต่อสู้ได้เยือกเย็น รอบคอบมากเหมือนกันนะ ไม่ได้ใช้ไอ้ที่เรียกว่าท่าไม้ตายลับมาทำลายความสมบูรณ์ของทักษะการต่อสู้พื้นฐานเลย อาฉวนหาช่องโหว่ของอีกฝ่ายไม่เจอเลย”
“การโจมตีของอาฉวนถูกอีกฝ่ายจัดการได้แล้ว” การโจมตีและการป้องกันของทักษะการต่อสู้พื้นฐานสมดุลมาก นอกเสียจากคนที่มามีระดับขอบเขตการต่อสู้เหนือกว่าหลินจงชิงแล้ว ไม่อย่างนั้นก็จะทำลายทักษะกายภาพพื้นฐานที่ฝึกฝนมาอย่างแน่นปึกนี้ได้ยากมาก
…..
“นักเรียนของนาย การโจมตีกลับครั้งนี้สมบูรณ์แบบมาก เหอะ คราวนี้ไอ้เด็กเวรพวกนี้ต้องเก็บหางนกยูงหยิ่งยโสของพวกมันได้แล้ว” ภายในห้องกัปตัน เหล่าเหลียนจ้องมองหน้าจอขนาดใหญ่ พอเห็นลูกเรือใต้บังคับบัญชาของเขาแสดงผลงานได้ไม่ค่อยดีนักก็โมโหสุดขีด
เหล่าเหลียนย่อมดูการสื่อสารระหว่างหลิงหลานกับอู่จย่งออก และก็พอใจจิตวิญญาณต่อสู้ที่ไม่ยอมแพ้ของพวกเขามาก อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเห็นหลิงหลานให้หลินจงชิงออกไปต่อสู้ และรู้จากในคำแนะนำของเฉิงหย่วนหังว่า ความสามารถของหลินจงชิงไม่ได้อยู่ในอันดับต้นๆ ของห้องเอ เขาก็เริ่มสงสัยว่าเจ้าเด็กนี่มั่นใจในตัวเองอย่างไม่ลืมหูลืมตาไปบ้างหรือเปล่า
ถึงแม้ว่าอาฉวนคนนั้นจะเป็น JMC บนยานเขา ทักษะการต่อสู้อยู่ด้านล่างสุดในหมู่ลูกเรือทั้งหมด แต่ว่าลูกเรือของเขาไม่ใช่ลูกเรือธรรมดานะ! พวกเขาแต่ละคนต่างเคยผ่านการเจิมในสงครามที่ไร้เมตตามาแล้ว เป็นนักรบโหดเหี้ยมที่คลานออกมาจากภูเขาซากศพทะเลเลือด….
เหล่าเหลียนเชื่อว่า ต่อให้เป็นอาฉวนที่อ่อนแอที่สุดในหมู่พวกเขาตรงนี้ก็เป็นคู่ต่อสู้ที่ไม่อาจเอาชนะได้สำหรับนักเรียนห้องเอของสถาบันลูกเสือเหล่านี้ เพียงแต่ไม่นึกเลยว่าเขาถูกความจริงที่เห็นเบื้องหน้าตบหน้าเขาแรงๆ….
เฉิงหย่วนหังที่นั่งอยู่ด้านข้างแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นใบหน้าของเหล่าเหลียนที่เหมือนจานสี เขาจิบชาในมือด้วยความสงบนิ่งมาก ไม่ส่งเสียงออกมา อย่างไรก็ตาม มุมปากเผยรอยยิ้มบางๆ บ่งบอกว่าตอนนี้เขาอารมณ์ดียิ่ง
…..
“หลินจงชิง สู้ๆ!” “หลินจงชิง สู้เค้านะ!”
พวกเด็กนักเรียนห้องเอของสถาบันลูกเสือตื่นเต้นขึ้นมา และทยอยกันให้กำลังใจเพื่อนร่วมชั้นของตน แม้กระทั่งหลี่อิงเจี๋ยที่ไม่ถูกกับหลินจงชิงมาตลอดก็ยังทำหน้าเคร่งขรึมกับสถานการณ์นี้ หวังว่าหลินจงชิงจะแสดงผลงานออกมาได้ยอดเยี่ยม กู้หน้าของห้องเอพวกเขากลับได้บ้าง
ในเวลานี้เอง อาฉวนที่โจมตีไม่เข้าอยู่นานก็คล้ายกับกระวนกระวายใจอยู่บ้าง ทักษะการต่อสู้ที่เดิมทียังนับว่าอยู่ในมาตรฐานก็ปรากฏช่องโหว่เล็กๆ ออกมา….
โอกาสหรือว่ากับดัก? หลินจงชิงใจกระตุก เวลานี้ข้างหูเขาคล้ายกับได้ยินเสียงตะโกนอย่างรุนแรงของหลิงหลานว่า “โจมตีที่สีข้างด้านขวาแรงๆ!” จุดนั้นคือตำแหน่งช่องโหว่ของอีกฝ่าย
หลินจงชิงไม่อาจใคร่ครวญได้เลย เขาเพียงแต่ทำตามคำสั่งนั้น ใช้เรี่ยวแรงทั่วทั้งร่างต่อยเข้าไปอย่างหนักหน่วง
“ผัวะ!” นี่คือเสียงกำปั้นชกเข้าที่เนื้อ กระบวนท่านี้ของหลินจงชิงรวดเร็วมาก ทำให้อีกฝ่ายรับมือไม่ทัน ไม่สามารถหลบออกได้ก่อนโดนโจมตีทันที!
จากนั้นก็เห็นอาฉวนถอยกรูดติดต่อกันไปหลายก้าว มือขวากดที่สีข้างด้านขวาของตัวเองตามจิตใต้สำนึก ใบหน้าของเขาซีดเผือด และยังเผยความรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงออกมา ดูท่าหมัดของหลินจงชิงจะต่อยใส่เขาอย่างเต็มที่ ไม่สามารถปัดแรงออกไปได้เลย
ลูกเรือคนหนึ่งที่ปักกากบาทสีแดงบนแขนสีหน้าเปลี่ยนไปก่อนจะข้ามฝูงชนออกมาทันที เขาหยิบอุปกรณ์รักษาฉุกเฉินที่แขวนอยู่บนเอวออกมาสแกนที่ร่างกายอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นก็เอ่ยด้วยความร้อนใจว่า “อวัยวะภายในเสียหายเลือดออก รีบพาอาฉวนเข้าไปในแคปซูลรักษาเร็วเข้า” คนผู้นี้น่าจะเป็นแพทย์ประจำยานพวกเขา
คำพูดของแพทย์ประจำยานทำให้ลูกเรือหลายคนที่มีเรี่ยวแรงเยอะรีบดำเนินการทันที พวกเขาพาอาฉวนไปส่งที่แคปซูลรักษา พวกลูกเรือที่เดิมทีทำหน้าเบื่อหน่ายเริ่มเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังขึ้นมา พวกเขาพบว่าพวกเด็กเมื่อวานซืนกลุ่มนี้ไม่ได้ธรรมดาเหมือนกับที่พวกเขาจินตนาการเอาไว้ขนาดนั้น
ภายในห้องประลองเกิดความเงียบงันไปชั่วขณะ หลิงหลานเห็นพวกลูกเรือของยานอวกาศจริงจังกับพวกเธอแล้วก็ค่อยส่งสายตาให้หลินจงชิงทีหนึ่ง
หลินจงชิงได้รับสัญญาณบอกใบ้ของหลิงหลานก็เอ่ยปากขึ้นอีกครั้งว่า “ทักษะการต่อสู้ของผมยังไม่เชี่ยวชาญนัก จนทำร้ายพี่ชายคนนั้นไป ได้โปรดยกโทษให้ด้วยครับ!”
“แต่ถ้าหากลูกเรือของยานคุณมีความสามารถแบบนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องมีการประลองแลกเปลี่ยนความรู้ต่อไปแล้วนะครับ” คำพูดของหลินจงชิงทำให้สีหน้าของพวกลูกเรือเปลี่ยนเป็นแดงสลับเขียวไม่หยุด นี่เป็นการโจมตีกลับคำพูดดูถูกของพวกเขาในตอนแรกชัดๆ
“พูดแบบนี้หมายความว่า ความสามารถของนักเรียนคนอื่นในห้องพวกเธอยังแข็งแกร่งกว่าเธออีกใช่ไหม?” เสียงเย็นชาหนึ่งดังออกมาจากด้านหลังพวกลูกเรือ
พวกลูกเรือก้าวเท้าหลีกทางให้ด้วยสีหน้าจริงจัง จากนั้นก็ทยอยกันตะโกนขึ้นมาว่า “ครูฝึก!”
ดวงตาสองข้างของหลิงหลานหรี่ลงน้อยๆ ชายคนหนึ่งที่สวมชุดเครื่องแบบทหารสหพันธรัฐ ทั่วทั้งร่างแผ่ไอเย็นยะเยือกปรากฏตัวขึ้นมา เขาอายุประมาณสามสิบห้าสามสิบหกปี นับว่าเป็นคนอายุน้อยในหมู่ลูกเรือ แต่เขากลับทำให้พวกลูกเรือที่อายุมากกว่าเขาแสดงท่าทีเคารพอย่างยิ่งยวด ถึงขนาดที่มีความเกรงกลัวอยู่ด้วย
แรงกดดันที่ส่งมาจากอีกฝ่ายทำให้หลิงหลานรู้ว่าคนผู้นี้น่าจะเป็นคนที่มีความสามารถแข็งแกร่งที่สุดในหมู่ลูกเรือพวกนี้
กลิ่นอายของอีกฝ่ายส่งผลต่อหลินจงชิงเช่นเดียวกัน หลินจงชิงรู้สึกว่าตัวเองถูกแรงกดดันไร้รูปอัดจนแทบจะล้ม อย่างไรก็ตาม เขามีความหยิ่งทระนงอย่างยิ่งยวดอยู่ลึกๆ ไม่อยากทำให้สถาบันขายหน้า ทำให้ทีมหลิงหลานขายหน้า เขากัดฟันแรงๆ ยืมความเจ็บปวดจากฟันที่กัดเนื้อในช่องปากทำให้ตัวเองกลับมาทำหน้าหยิ่งผยองตามเดิม หลังจากนั้นเขาก็ตอบว่า “จากความสามารถของผม อย่างมากสุดก็เบียดเข้าไปได้แค่สิบอันดับแรกเท่านั้น แต่ว่าสำหรับห้าอันดับแรก ต่อให้ผมอยากแตะก็ไม่มีคุณสมบัติ….”
“งั้นเหรอ? ถ้างั้นฉันก็อยากดูว่าห้าอันดับแรกที่เธอไม่มีคุณสมบัติไปแตะต้องของห้องพวกเธอนั้นจะแข็งแกร่งสักแค่ไหนเชียว” ครูฝึกกวาดตามองไปยังลูกเรือรอบๆ ทำให้บรรดาลูกเรืออดยืนตัวตรงอกผายขึ้นมาไม่ได้
“ทีมจินหลิน (เกล็ดทอง)”สุดท้ายสายตาของครูฝึกก็ทอดมองไปยังทีมหนึ่ง “ครั้งนี้ให้พวกนายออกไปสู้!”
“ครับ ครูฝึก!” ชายหกคนในทีมจินหลินรู้สึกประหลาดใจจนยากที่จะปกปิดไว้ พวกเขาไม่นึกเลยว่าครูฝึกจะส่งพวกเขาออกไปสู้
การส่งคนออกไปประลองของครูฝึกทำให้เหล่าลูกเรือคนอื่นๆ ตกตะลึงมากเช่นกัน พวกเขาไม่คาดคิดเลยว่าครูฝึกจะจัดการแบบนี้ ส่งสมาชิกทีมหุ่นรบไพ่ราชันของพวกเขาออกไปสู้ หรือว่าเด็กเมื่อวานซืนพวกนี้จะแข็งแกร่งขนาดนั้นจริงๆ?
“เรียกห้าอันดับแรกของห้องพวกเธอออกมาได้หรือยัง?” หลังจากที่ครูฝึกจัดเตรียมลูกเรือออกรบของยานอวกาศแล้ว เขาก็หันหน้าไปถามหลินจงชิงอย่างเรียบๆ
หลินจงชิงมองไปที่หลิงหลานตามจิตใต้สำนึก หลิงหลานห้อยมือขวาลงต่ำ ดีดนิ้วขึ้นมาเบาๆ
หานจี้จวินที่ยืนอยู่ข้างกายหลิงหลานรู้สึกได้ว่าตัวเองถูกพลังอ่อนๆ สายหนึ่งผลักออกไป ร่างกายเขาอดถลันออกไปข้างหน้าติดกันสองก้าวไม่ได้ เดินมาอยู่เบื้องหน้าพวกหลิงหลาน ทำเหมือนกับว่าเขาเห็นคำถามของหลินจงชิงก็เลยออกมาอธิบายเองก็ไม่ปาน
หานจี้จวินเป็นเด็กเฉลียวฉลาด พริบตาเดียวก็เข้าใจแล้วใครผลักเขาออกมาเป็นโล่กำบัง เขายืนนิ่งแล้วแนะนำห้าอันดับแรกในห้องพวกเขาให้กับครูฝึกคนนั้นทันทีว่ามี ฉีหลง อู่จย่ง หลี่อิงเจี๋ย ลั่วล่าง หลิงหลาน
อู่จย่งมองหานจี้จวินกับหลินจงชิงในสนาม จากนั้นก็เอ่ยถามเบาๆ ว่า “จะจัดการกันยังไงดี?”
“จะเอาชนะหรือว่าแลกเปลี่ยนความรู้เพียงอย่างเดียวล่ะ?” หลิงหลานส่งคำถามกลับไป
“หมายความว่ายังไง?” อู่จย่งขมวดคิ้ว
“ถ้าอยากชนะ ก็ต้องอาศัยวิธีเถียนจี้แข่งม้า[1] ถ้าอยากแลกเปลี่ยนความรู้ล้วนๆ เพื่อเรียนรู้อะไรบางอย่างได้ ทางที่ดีก็ต้องปะทะกันตรงๆ” ก็ดูว่าพวกอู่จย่งจะเลือกยังไง อันที่จริงหลิงหลานไม่สนใจเรื่องแพ้ชนะเลย สายตาของเธอจับจ้องไปที่ครูฝึกคนนั้น เธอไม่สนใจทีมจินหลิน ถ้าเกิดต้องต่อสู้กับครูฝึกคนนี้สิ อาจจะน่าสนุกกว่า
อู่จย่งกับหลี่อิงเจี๋ยปรึกษากันสองคนสักพัก ก็เลือกเอาชนะการประลอง พวกเขากระหายชัยชนะอย่างรุนแรง ไม่อยากยอมรับความพ่ายแพ้
ฉีหลงกับลั่วล่างไม่มีความคิดเห็น พวกเขาแสดงท่าทีว่าเชื่อฟังการวางแผนของหลิงหลาน
การตัดสินใจของอู่จย่งกับหลี่อิงเจี๋ยทำให้หลิงหลานขมวดคิ้วน้อยๆ ความคิดเรื่องกลัวความพ่ายแพ้แบบนี้ไม่ค่อยดีนัก อย่างไรก็ตาม หลิงหลานก็ไม่ได้พูดอะไรมากมาย เธอเพียงแต่พยักหน้าบ่งบอกว่าทราบแล้ว ทีมจินหลินมีทั้งหมดหกคน หลิงหลานมองไปครั้งเดียวก็ดูออกว่าคนไหนค่อนข้างอ่อนแอ คนไหนค่อนข้างแข็งแกร่ง ดวงตาของเธอกรอกไปมา หลังจากนั้นก็ให้ฉีหลงเรียกหานจี้จวินกลับมาปรึกษากัน
สุดท้าย พวกเขาก็ตัดสินใจยื่นเงื่อนไขเอง ทางสถาบันลูกเสือให้นักเรียนเลือกคู่ต่อสู้ได้ตามใจชอบ ถึงยังไงพวกเขาก็เป็นฝ่ายอ่อนแอ การจะยื่นเงื่อนไขนิดหน่อยก็เป็นเรื่องปกติมาก
หานจี้จวินบอกความคิดของพวกหลิงหลานให้กับครูฝึก จากนั้นครูฝึกก็รับทันทีโดยที่ไม่ได้ลังเลเลยสักนิดเดียว
หลี่อิงเจี๋ยเป็นคนแรกที่ออกไป คู่ต่อสู้ที่หลิงหลานเลือกให้เขาคือคนที่ความสามารถด้อยที่สุดของทีมจินหลิน ครูฝึกเลิกคิ้วน้อยๆ ชมการต่อสู้ของหลี่อิงเจี๋ยด้วยความจริงจังท่ามกลางความตกตะลึง จากนั้นเขาก็เห็นว่าหลี่อิงเจี๋ยมีความสามารถไม่เลวเลยจริงๆ ต่อสู้กับลูกเรือคนนั้นได้อย่างสูสี ไม่ได้เสียเปรียบเลยแม้แต่น้อย
“เถียนจี้แข่งม้าเหรอ? น่าสนใจดีนี่” มุมปากของครูฝึกเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย เด็กกลุ่มนี้มีความคิดต้องการเอาชนะรุนแรงมาก แต่ว่านี่ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร ถ้าเกิดไม่มีความรู้สึกรุนแรงแบบนี้ละก็ พวกเขาก็ไม่ใช่เด็กหนุ่มเลือดร้อนแล้ว?
ทักษะการต่อสู้พื้นฐานของหลี่อิงเจี๋ยด้อยกว่าหลินจงชิงอย่างชัดเจน และคู่ต่อสู้ก็เป็นคนที่เหนือกว่าคู่ต่อสู้ของหลินจงชิงหลายเท่านัก มีหลายครั้งที่เขาเกือบจะถูกอีกฝ่ายจับช่องโหว่บนการเคลื่อนไหวของเขาแล้วเอาชนะไปได้ แต่โชคดีที่วิชาลับและวิชาการต่อสู้ที่ถ่ายทอดกันมาในตระกูลของหลี่อิงเจี๋ยเป็นของระดับสูง ทุกครั้งที่เขาสัมผัสได้ว่าย่ำแย่แล้ว เขาก็จะใช้กระบวนท่าช่วยชีวิตของตระกูลหลี่ออกมา ทำให้เขาหลบกระบวนท่าสังหารที่โจมตีเข้ามาได้หลายครั้ง
พวกเขาต่อสู้กันไปมามากกว่าหนึ่งร้อยกระบวนท่าเช่นนี้เอง สมาชิกของทีมจินหลินรู้สึกว่าตัวเองขายหน้ามากที่จัดการเด็กเมื่อวานซืนแบบนี้ไม่ได้…เขาเงยหน้ามองไปที่ครูฝึก โดยมีการอ้อนวอนแฝงอยู่ข้างใน
ครูฝึกขมวดคิ้วแน่น ส่ายหน้าโดยที่ไม่ไตร่ตรองเลยสักนิดเดียว เขาย่อมรู้ว่าอีกฝ่ายร้องขออะไร แต่ว่าการเคลื่อนไหวนั้นเป็นไพ่ตายของหุ่นรบ นอกจากนี้เขาก็ไม่คิดว่าการใช้ไพ่ตายเอาชนะนักเรียนเหล่านี้จะไปมีความหมายอะไร
เมื่อลูกทีมไม่ได้รับคำอนุญาตจากครูฝึกก็เหมือนกับไม่มีความต้องการจะสู้ต่อ หลี่อิงเจี๋ยจับช่องโหว่การเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายที่ปรากฏออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจแล้วก็โจมตีใส่อีกฝ่ายจนเขาถอยหลังติดกันสามก้าว
ลูกทีม คนนั้นตกตะลึงและก็โมโหแล้ว เขาอยากจะกู้หน้าทันที ท่วงท่าของสองมือเขาเปลี่ยนไปฉับพลัน นิ้วมือทั้งห้ากุมเข้าหากันน้อยๆ เผชิญหน้าหลี่อิงเจี๋ยที่อยู่ไกลๆ
สีหน้าของครูฝึกเปลี่ยนไป ตะโกนเสียงดังว่า “หยุดมือ!” ลูกทีมถูกเสียงตะโกนดังลั่นนี้เรียกสติกลับมา หน้าผากเขาหลั่งเหงื่อเย็นๆ รีบเก็บท่วงท่าในมือและไปยืนที่ด้านข้าง
“รอบนี้พวกเรายอมแพ้” ครูฝึกกล่าวอย่างเย็นชา “L19 กลับไปกักตัวสามวันทันที”
“ครับ!” L19 ก้มหน้ารับคำ เนื่องจากปัญหาเรื่องส่วนสูงของร่างกาย หลิงหลานจึงมองเห็นความรู้สึกซับซ้อน แล้วก็ร่องรอยความดีใจบนใบหน้าของเขา
…………………………………………………….
[1] เป็นกลยุทธ์การแข่งม้า ซุนปินได้ให้คำแนะนำแก่แม่ทัพเถียนจี้ที่ต้องทำการแข่งขันขี่ม้ากับอ๋องฉีเวยว่า ความเร็วฝีเท้าม้าแบ่งออกเป็นสามระดับ หนึ่งคือม้าชั้นดี สองคือม้าชั้นกลาง สามคือม้าชั้นเลว ถ้าเอาม้าชั้นดีมาสู้กับม้าชั้นกลาง เอาม้าชั้นกลางสู้กับม้าชั้นเลว เอาม้าชั้นเลวมาสู้กับม้าชั้นดี ก็จะได้รับชัยชนะสองในสาม