ตอนที่ 163 คืนนี้ข้าเลี้ยงเอง

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

ตอนที่ 163 คืนนี้ข้าเลี้ยงเอง

อีกด้านหนึ่ง

หลังจากเย่ฉางชิงดีดเพลงฮั่วฟานจนจบ

ทันใดนั้นมิว่าจะเป็นภายในหอสายลมจันทรา หรือบริเวณรอบ ๆ หอสายลมจันทรา

เพียงแค่เสียงพิณนี้ดังไปถึง ต่างก็ไร้ซึ่งเสียงใด ๆ ถึงขนาดที่ของตกลงพื้นก็ยังสามารถได้ยินอย่างชัดเจน

วินาทีนี้ทุกคนกำลังเข้าสู่ภวังค์บางอย่าง

ราวกับได้พบเรื่องราวของเซียนและมนุษย์อันน่าสะเทือนใจ ทำให้อดมิได้ที่จะหวั่นไหวตามไปด้วย

หลังจากนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ทั้งภายในและภายนอกของหอสายลมจันทราก็เกิดความโกลาหลขึ้นมาทันที

“ทำไม ทำไมถึงให้ข้าได้ยินเพลงที่ไพเราะเช่นนี้ หากต่อไปข้ามิได้ยินอีกจะทำเช่นไรดี ? ”

“ฮือ ๆ ๆ …”

“จริงด้วย ข้ามิเคยได้ยินเพลงที่ไพเราะเช่นนี้มาก่อน มิเพียงตัวเพลงจะไพเราะอย่างไร้ที่ติแล้ว ความแตกฉานในวิถีดนตรีของผู้ที่บรรเลงเพลงนี้ คงยากที่จะมีผู้ใดเทียบเคียงได้”

“เพลงนี้คงมิใช่เซียนท่านนั้นเป็นผู้บรรเลงหรอกกระมัง ? ”

“ไม่ใช่อย่างแน่นอน ! ข้าชอบฟังดนตรีมาตั้งแต่เด็ก เวลานี้อายุก็ปาเข้าไปเกินหกสิบแล้ว แม้จะฟังเพลงมามิถึงพันเพลง แต่ก็นับว่าได้ฟังมาหลายร้อยเพลงแล้ว ความแตกฉานทางด้านดนตรีของเซียนท่านนั้นแม้จะนับว่าสูงส่ง แต่หากเทียบกับคนผู้นี้แล้วยังถือว่าห่างชั้นกันอีกไกลนัก”

“ใช่แล้ว ข้าเองก็มิเคยฟังเพลงที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้มาก่อน”

“จริงสิ เสียงพิณนี้มาจากหอสายลมจันทรา เช่นนั้นผู้ที่บรรเลงเพลงนี้คงจะยังอยู่ที่หอสายลมจันทราสินะ”

“ใช่แล้ว รีบไปหอสายลมจันทราดูโฉมหน้าของยอดฝีมือท่านนี้กันเถิด”

ทันใดนั้น ด้านนอกหอสายลมจันทราก็มีผู้คนมากมายคราคร่ำมุ่งหน้ามาที่แห่งนี้

ทันทีที่เห็นภาพตรงหน้า เหล่าทหารองครักษ์ที่ประจำการอยู่บริเวณใกล้เคียงต่างก็ปรากฏตัวขึ้น

เวลาเพียงมิกี่อึดใจ ด้านนอกหอสายลมจันทราก็มีกลุ่มบุรุษวัยกลางคนที่สวมชุดธรรมดากลุ่มหนึ่งปรากฎตัวขึ้น

พวกเขาแต่ละคนมีร่างกายแข็งแกร่ง ท่าทางเย็นชา ทั่วร่างมีไอที่ความน่าเกรงขามแผ่ออกมา

บุรุษวัยกลางคนผู้เป็นหัวหน้ายืนอยู่ด้านหน้าของทุกคน ก่อนจะหยิบป้ายคำสั่งทองคำชิ้นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ แล้วเอ่ยเสียงเข้มว่า “ทุกคนไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ มิเช่นนั้นจะต้องถูกสังหารโดยมิมีการละเว้น ! ”

ขณะเดียวกันร่างของบุรุษวัยกลางคนก็แผ่ไอสังหารที่เหยียบเย็นจนเข้ากระดูกดำออกมา ก่อนที่ไอสังหารนั่นจะพุ่งไปยังกลุ่มคนภายในพริบตา

ทันใดนั้นผู้คนต่างก็มีท่าทีตะลึงงัน หลังจากได้สติก็มีสีหน้าตื่นตกใจทันที ทั่วทั้งร่างชุ่มไปด้วยเหงื่อที่เย็นเฉียบ ก่อนจะก้าวถอยหลังออกไปอย่างห้ามมิได้

แน่นอนว่าภายในกลุ่มคนนั้นย่อมต้องมีลูกหลานของเหล่าขุนนางในราชสำนักรวมอยู่ด้วย พวกเขาบางคนเคยเข้าออกวังหลวงมาแล้ว เช่นนั้นย่อมต้องจำได้ว่าบุรุษวัยกลางคนผู้นี้เป็นใคร

หัวหน้าองครักษ์คนปัจจุบัน !

อวี๋เค่อสุ่ย !

เช่นนั้นเดาได้มิยากว่าเวลานี้คนของวังหลวงจะต้องอยู่ในหอสายลมจันทราแห่งนี้ มิเช่นนั้นหัวหน้าองครักษ์ท่านนี้จะมาอยู่ที่นี่ได้เยี่ยงไร ?

มินานทุกคนก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังชั้นบนสุดของหอสายลมจันทรา ก่อนจะยอมกลับไปอย่างจำใจ

หลังจากเห็นผู้คนทยอยจากไปแล้ว ในที่สุดอวี๋เค่อสุ่ยผู้เป็นหัวหน้าองค์รักษ์ก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

เพราะคำสั่งที่เขาได้รับมาก็คือ หากท่านเย่ผู้ลึกลับยังอยู่ในเมืองหลวง ภายในเขตที่เขาอยู่ ห้ามเกิดความวุ่นวายใด ๆ ขึ้นทั้งสิ้น มิเช่นนั้นจะมีโทษสถานหนัก

การที่ผู้คนจากไปแล้วเช่นนี้ จึงหมายความว่าสามารถระงับความวุ่นวายเอาไว้ได้แล้ว

ต่อมาภายในภัตตาคารหลังหนึ่งที่อยู่ตรงข้ามกับหอสายลมจันทรา

“หัวหน้าอวี๋ ดูท่าภารกิจของเราครานี้จะไม่สบายเท่าไรเลยนะ ! ”

บุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับอวี๋เค่อสุ่ย เม้มริมฝีปากเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยความในใจออกมา

“ก็ใช่น่ะสิ แต่ว่าท่านเย่ผู้นี้เป็นเทพมาจากที่ใดกัน ภายในวันเดียวถึงกับสามารถแก้กลหมากปริศนาของหอสายลมจันทราได้ถึง 12 ภาพ บัดนี้ยังเล่นเพลงที่ไพเราะจับใจเช่นนี้ได้อีก”

บุรุษวัยกลางคนอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้นบ้าง

“จริงด้วย เพลงนี้ช่างไพเราะยิ่งนัก แม้แต่คนหยาบกระด้างเช่นข้าเมื่อฟังแล้วยังเกือบจะร้องไห้ออกมาเสียให้ได้”

คนอีกผู้หนึ่งดื่มชาไปหนึ่งอึก ก่อนจะทอดถอนใจออกมา

อวี๋เค่อสุ่ยที่นั่งอยู่ริมหน้าต่าง มิได้แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมา เพียงแค่เอ่ยขึ้นเรียบ ๆ ว่า “คำที่มิควรพูดก็อย่าพูด มิควรถามก็อย่าถาม จำฐานะของพวกเจ้าเอาไว้ให้ดี”

เอ่ยเพียงเท่านั้น อวี๋เค่อสุ่ยก็อดมิได้ที่จะปรายหางตาไปทางหอสายลมจันทรา

ความจริงแล้วในบรรดากลุ่มองครักษ์ มีเพียงเขาเท่านั้นที่ทราบว่าท่านเย่ผู้นี้เป็นเทพมาจากที่ใดกันแน่

ท่านเย่ก็คือตัวจริงของเทพที่สักการะกันในอารามฉางชิง บนยอดเขาตะวันออก !

ขณะเดียวกันก็เป็นยอดบุรุษที่เกี่ยวข้องกับโชคชะตาของแคว้นต้าเยี่ยนอีกด้วย

เขารู้ว่าต่อให้ตัวเองต้องตาย ก็มิอาจให้ใครมาสร้างความวุ่นวายรบกวนการเดินทางของท่านเทพฉางชิงได้

นี่คือภารกิจของเขา !

ขณะเดียวกัน บนชั้นพิณที่อยู่ด้านบนสุดของหอสายลมจันทรา

หลังจากบรรเลงเพลงฮั่วฟานจบ เย่ฉางชิงก็อดมิได้ที่จะยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มพึงพอใจ

หลังบรรเลงเพลงฮั่วฟานจบ เขารู้สึกว่าความแตกฉานในวิถีดนตรีของตนนั้นได้เพิ่มขึ้นมาอีกแล้ว

แน่นอนว่าสำหรับเขาแล้ว เรื่องนี้ถือว่ายากนักที่จะสามารถพัฒนาขึ้นจากเดิมได้อีก

เขาค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา ก่อนจะหันไปมองทุกคนที่อยู่ทางด้านหลัง

“ทุกท่าน เพลงนี้เป็นเช่นไรบ้าง ? ”

เย่ฉางชิงมองทุกคนที่มีสีหน้าน่าประหลาดใจด้วยความเคยชิน พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มเป็นนิจ

ได้ยินเช่นนั้นทุกคนที่กำลังตะลึงงันอยู่ก็ได้สติขึ้นมาทันที พวกเขาสบตากันเล็กน้อย ก่อนจะเผยสีหน้าสับสนออกมา

‘เพลงนี้เป็นเช่นไรบ้าง ? ’

‘อาศัยความแตกฉานเพียงเล็กน้อยในวิถีดนตรีของพวกข้าแล้ว มีคุณสมบัติที่จะเอ่ยคำวิจารณ์ออกมางั้นหรือ ? ’

หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ทุกคนต่างก็ยิ้มออกมาอย่างฝืดเฝื่อน ก่อนจะหันไปมองถานไถชิง เสวี่ยที่ยืนอยู่ตรงกลาง

ในบรรดาทุกคนที่อยู่ที่นี่ มีเพียงถานไถชิง เสวี่ยที่มีความแตกฉานในวิถีดนตรี เช่นนั้นจึงมีแค่นางเท่านั้น

ถานไถชิง เสวี่ยขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาแปลก ๆ รอบกาย ก่อนเอ่ยอย่างครุ่นคิดว่า “ท่านเย่ ข้ารู้สึกว่า… เหมือนว่าวิถีดนตรีของท่านจะก้าวหน้าขึ้นเจ้าค่ะ”

‘ก้าวหน้าขึ้น ? ’

ทุกคนที่ได้ยินต่างตะลึงงัน มีท่าทีสับสนเผยออกมาอย่างห้ามมิได้

‘ยอดบุรุษเช่นผู้อาวุโสเย่ยังก้าวหน้าขึ้นได้อีกเยี่ยงนั้นหรือ ? ’

‘เดิมทีเขาก็มีฝีมือสูงส่งอยู่แล้วมิใช่หรือ ? ’

ทุกคนชะงักไปเล็กน้อย พร้อมกับมองไปทางเย่ฉางชิง

แต่สิ่งที่พวกเขาคาดมิถึงก็คือ เย่ฉางชิงกลับพยักหน้ารับ

ใช่แล้ว !

พวกเขามิได้มองผิด ผู้อาวุโสเย่พยักหน้ารับจริง ๆ !

“ถูกต้อง เหมือนจะพัฒนาขึ้นเล็กน้อย แต่ถือว่ายังน้อยยิ่งนัก”

เย่ฉางชิงยิ้มออกมาบาง ๆ พร้อมกับเอ่ยขึ้น

ได้ยินเช่นนั้นทุกคนต่างก็นิ่งอึ้งไป แล้วจึงหันไปมองถานไถชิง เสวี่ยด้วยสายตาอิจฉา

สมกับที่เป็นยอดวีรสตรีจริง ๆ สามารถฟังเสียงพิณของผู้อาวุโสเย่ออกว่า ผู้อาวุโสเย่นั้นมีการบรรลุในวิถีดนตรีเพิ่มขึ้นได้

มิธรรมดา !

มิธรรมดาจริง ๆ !

แต่จะว่าไป

สตรีที่ไร้เทียมทานราวกับเทพธิดาผู้นี้มาจากที่ใดกันแน่ ?

เหตุใดก่อนหน้านี้ถึงมิเคยได้ยินมาก่อน !

ตอนนั้นเองเย่ฉางชิงก็เอ่ยเปลี่ยนเรื่องขึ้นว่า “แม่นางชิง เสวี่ย เจ้าสามารถฟังออกว่าข้ามีการพัฒนาขึ้น เช่นนั้นแสดงว่าเจ้าคงจะรู้แล้วสินะ ว่าตนเองนั้นมีปัญหาตรงไหนใช่หรือไม่ ? ”

ถานไถชิง เสวี่ยคำนับให้เย่ฉางชิงอย่างนอบน้อม ก่อนจะเอ่ยอย่างมิปฏิเสธว่า “ขอเรียนท่านเย่ตามตรงว่า แม้หลังจากที่ได้ฟังเพลงที่ท่านดีดแล้วจะพอรู้บ้าง แต่… ชิง เสวี่ยโง่เขลานัก ยังมิสามารถเข้าใจอย่างถ่องแท้ได้เจ้าค่ะ”

โง่เขลา ?

ทุกคน “……”

สตรีที่ไร้เทียมทานเช่นนี้ยังนับว่าโง่เขลา เช่นนั้นพวกเขานับว่าเป็นตัวอะไรกัน

เย่ฉางชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะหันไปสบตากับเยี่ยนเทียนซานแล้วเอ่ยว่า “แม่นางชิง เสวี่ยช่วงนี้เจ้ายังอยู่ที่เมืองหลวงหรือไม่ ? ”

ถานไถชิง เสวี่ยนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยอย่างลำบากใจว่า “ช่วงนี้ชิง เสวี่ยยังมิไปไหนเจ้าค่ะ”

เย่ฉางชิงพยักหน้าแล้วยิ้มให้กับเยี่ยนเทียนซานพลางเอ่ยว่า “ท่านเยี่ยน เรือนจิ่งหลันหยวนเหมือนจะมีห้องว่างอีกมาก มิสู้ให้แม่นางชิง เสวี่ยพักสักระยะ เพื่อที่ข้าจะได้คอยชี้แนะนาง ท่านเห็นว่าเยี่ยงไร ? ”

‘หืม ? ! ’

เยี่ยนเทียนซานถึงกับตกตะลึง ก่อนจะมีท่าทางตื่นเต้นยินดี

หากสามารถสร้างไมตรีกับยอดสตรีเช่นนี้ได้ เท่ากับเป็นการประทานโชควาสนาให้แก่แคว้นต้าเยี่ยนอีกครั้ง

และเขามิเชื่อว่ายอดสตรีเช่นนี้จะเป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น ?

“ท่านเย่กล่าวเกินไปแล้ว ขอเพียงท่านต้องการ คุณหนูท่านนี้ย่อมสามารถเข้าพำนักที่เรือนจิ่งหลันหยวนได้ตลอดเวลา”

เยี่ยนเทียนซานเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

เอ่ยจบ เยี่ยนเทียนซานก็ส่งสายตาให้แก่เยี่ยนปิงซินทันที

เยี่ยนปิงซินเมื่อได้สติ จึงรีบเอ่ยพร้อมกับยิ้มหวานว่า “ท่านเย่ พี่สาวท่านนี้งดงามยิ่ง มิหนำซ้ำยังดีดพิณได้จับใจคนเช่นนี้ ข้าเห็นด้วยอย่างยิ่งที่จะให้นางพักที่เรือนจิ่งหลันหยวนด้วยเจ้าค่ะ”

“เช่นนั้นคงต้องรบกวนแล้ว”

ถานไถชิง เสวี่ยพยักหน้าให้พร้อมรอยยิ้ม

ตอนนั้นเองเย่ฉางชิงก็ได้ลุกขึ้นยืน พร้อมเอ่ยกับเยี่ยนปิงซินพร้อมรอยยิ้มว่า “จริงสิ คุณหนูเยี่ยน แถวนี้มีภัตตาคารที่มีชื่อเสียงหรือไม่ คืนนี้ข้าขอเลี้ยงเอง”