สำหรับมณีธาตุของโจวเหว่ยชิง มีเพียงมณีดวงแรกของเขาเท่านั้นที่สามารถกักเก็บทักษะทั้งหมดได้สำเร็จ สำหรับมณีดวงที่ 2 ของเขา เขากักเก็บเอาไว้เพียงทักษะธาตุลมชนิดหนึ่งซึ่งเป็นทักษะที่เขาชื่นชอบและกักเก็บมาจากหนึ่งในหมีสวรรค์วิญญาณน้ำแข็งของเขา ด้านซ่างกวนปิงเอ๋อร์เองก็ทำเช่นเดียวกัน
เพื่อให้เขาสามารถใช้พลังได้อย่างเต็มที่ เขาจึงต้องผ่านการกักเก็บทักษะอีกเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ทักษะธาตุบางอย่างเช่นธาตุมืดหรือธาตุกาลเวลานั้นก็แทบจะหามากักเก็บไม่ได้เลย ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับโชคเช่นเดียวกับมณีดวงแรกของเขา อย่างไรก็ตาม พลังของเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าจ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณี 3 ชุดเลยด้วยซ้ำ ท้ายที่สุดแล้วเขาก็มีทักษะธาตุมากมาย อีกทั้งทักษะระดับสูงที่เก็บไว้ในมณีดวงแรกของเขาก็ยังวิวัฒน์ขึ้นจนมีพลังเทียบเท่ากับทักษะในระดับมณีดวงที่ 3 แล้ว แม้ว่าจะการกักเก็บทักษะของเขาจะค่อนข้างยากลำบากไปบ้าง แต่โจวเหว่ยชิงก็พอใจที่ทักษะพวกนั้นพัฒนาขึ้นทุกครั้งที่จำนวนมณีเพิ่มขึ้น
หลังจากผ่านไป 2-3 วัน โจวเหว่ยชิงก็พบว่าถ้าเขาใช้แค่ปราณสวรรค์ธาตุลมเพื่อเร่งความเร็ว ด้วยอัตราการฟื้นฟูที่บ้าคลั่งของวิชาเทพอมตะ พลังปราณสวรรค์ของเขาก็แทบจะไม่มีวันหมด!
ภายใต้พลังการดูดกลืนของจุดตายฉีไห่ อัตราการฟื้นตัวที่น่าเหลือเชื่อของวิชาเทพอมตะก็แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการฟื้นฟูที่ดีขึ้นเรื่อยๆ
การเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึงที่สุดสำหรับโจวเหว่ยชิงคือความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นของเขา เขาไม่รู้ว่าสำหรับจ้าวมณีสวรรค์ประเภทความแข็งแกร่งคนอื่นๆ นั้นเป็นเช่นไร แต่เขามั่นใจมากว่าความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นนั้นไม่ธรรมดาอย่างแน่ นอน จากการประมาณการของเขา กำลัง 3000 จิน ที่เขารู้สึกได้ก่อนหน้านั้นถือว่าเป็นกำลังขั้นต่ำสุดของเขาเท่านั้น และเขาก็ยังไม่รู้ว่ามันจะสามารถเพิ่มขึ้นไปได้มากสุดแค่ไหน สิ่งที่เขารู้ก็คือเขาสามารถฉีกต้นไม้ขนาดใหญ่ได้ง่ายๆ ด้วยมือเปล่า!
เพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะไม่พลาดเวลานัดกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ โจวเหว่ยชิงจึงวิ่งทั้งกลางวันและกลางคืน พยายามหยุดพักให้น้อยที่สุดและยังกินอาหารระหว่างที่วิ่งด้วย ในเวลาเดียวกันนั้น เขาก็ใช้โอกาสนี้ทำความคุ้นเคยกับร่างกายและความสามารถใหม่ของเขา ในที่สุด หลังการเดินทางวันที่ 14 เขาก็มาถึงเมืองหลวงของอาณาจักรเฟยหลี่เสียที
โจวเหว่ยชิงกวาดสายตามองไปยังเมืองเฟยหลี่ จากนั้นเขาก็อดรู้สึกแปลกใจและหวาดกลัวไม่ได้ เมืองข้างหน้าเขานี้ถือเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดที่เขาเคยเห็นมาตั้งแต่เขาเกิดเลยก็ว่าได้
มองจากระยะไกลๆ เมืองเฟยหลี่ดูเหมือนสัตว์ร้ายขนาดมหึมาที่กำลังนอนตะแคงอยู่ ที่ตั้งของมันมีตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ที่ยอดเยี่ยม ด้านตะวันตกและด้านเหนือล้วนปกคลุมไปด้วยภูเขาสูง ส่วนทางทิศตะวันออกคือทะเลสาบเฟยหลี่ที่มีชื่อเสียง การมีเมืองหลวงตั้งอยู่ริมภูเขาและทะเลสาบเช่นนี้ถือได้ว่าเป็นพื้นที่เหมาะสมสำหรับตั้งเป็นจุดศูนย์กลางของการติดต่อค้าขาย การเมือง และการทหารของอาณาจักรทั้งหมดได้เลยทีเดียว
กำแพงเมืองด้านหน้าสูงเกือบ 100 เมตร มีหอสังเกตการณ์พร้อมปืนใหญ่ทุกๆ 20 เมตร ฝั่งใต้ของเมืองเป็นที่ที่โจวเหว่ยชิงกำลังเผชิญอยู่ มันเป็นที่ราบโล่งกว้างและมีประตูเมืองขนาดใหญ่ 6 ประตู คูน้ำที่เชื่อมต่อกับทะเลสาบเฟยหลี่มีความกว้างเกือบ 100 เมตร และประตูทั้ง 6 บานก็มีกำแพงขนาดใหญ่กั้นอยู่ตลอดแนว
กำแพงเมืองดูเรียบง่ายและไม่มีการตกแต่งอะไรมากนัก บนนั้นมีสัญลักษณ์ดาบไขว้ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความรุ่งเรืองของอาณาจักรเฟยหลี่ ตราสัญลักษณ์นี้มีสีทองและเปล่งประกายแวววาวท่ามกลางแสงแดด
โจวเหว่ยชิงเคยได้ยินมาว่าประชากรของเมืองหลวงเฟยหลี่นั้นมีจำนวนมากกว่าประชากรทั้งหมดของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์เสียอีก แม้แต่ทั่วทั้งดินแดนไร้ขอบเขต มันก็ติด 1 ใน 10 เมืองที่ดีที่สุดและเป็นเมืองที่เจริญเป็นอันดับต้นๆในทวีปตะวันตก เทียบได้กับเมืองหลวงป่ายต้าของอาณาจักรป่ายต้าเลยทีเดียว
โจวเหว่ยชิงรีบเก็บสีหน้าตื่นตะลึงเอาไว้ จากนั้นก็เดินข้ามสะพานแห่งหนึ่งไป เขาเห็นทหารรักษาการณ์กว่า 100 นายยืนคุมอยู่ที่ประตูเมืองแต่ละประตู อย่างไรก็ตาม ทุกประตูต่างก็เปิดกว้างและไม่มีจุดตรวจใดๆ
ผู้คุมที่ประตูทุกคนถือหอกยาว และสวมเสื้อเกราะอย่างดี แต่ละคนยืนเป็นยักษ์ปักหลั่นและเชิดอกผึ่งผาย แผ่รังสีสังหารออกมาเล็กน้อย พวกเขาเป็นทหารที่ดูก็รู้ว่าเป็นยอดนักรบผู้มีประสบการณ์
นี่คือตัวแทนบ่งบอกถึงอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ใช่หรือไม่? ข้าสงสัยนักว่าอาณาจักรของเราจะมีเมืองที่เจริญรุ่งเรืองเช่นนี้ได้เมื่อไหร่ โจวเหว่ยชิงกรุ่นคิดกับตัวเองพร้อมทั้งถอนหายใจออกมา เมื่อเปรียบเทียบกับอาณาจักรขนาดใหญ่เช่นอาณาจักรเฟยหลี่แล้ว อาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ถือได้ว่าอ่อนแอเกินไป แม้ว่าอาณาจักรเฟยหลี่จะเป็นพันธมิตรกับพวกเขา แต่แล้วยังไงล่ะ? ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการพึ่งพาตัวเองอยู่แล้วนี่นา
ในสมองของเขาเต็มไปด้วยความคิดมากมาย แต่ทว่าในที่สุดเขาก็เดินเข้าสู่เมืองเฟยหลี่ไปจนได้ สิ่งแรกที่เข้ามาในสายตาคือถนนใหญ่ที่มีความกว้างขนาดนำรถม้าบรรทุกเกวียนมาวางเรียงกันได้ 15 คัน! บนถนนที่กว้างขวางแห่งนี้ปูด้วยหินแกรนิตคุณภาพเยี่ยม มีร้านค้าขนาด 3 ชั้น ตั้งอยู่เรียงรายเต็มสองฝั่งถนน มองจากสายตาแล้วราวกับว่าถนนเส้นนี้มีความยาวไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งบนถนนและร้านค้าต่างก็คึกคักไปด้วยผู้คน นี่คือเมืองที่เจริญรุ่งเรืองจริงๆ
โจวเหว่ยชิงคิดคำนวณอย่างรวดเร็ว เขาคาดว่าตนน่าจะยังมีเวลาอีก 2 วันก่อนถึงเวลานัดพบกับซ่างกวนปิง เอ๋อร์ ก่อนหน้านี้พวกเขาได้นัดเจอกันที่ประตูทางเข้าของโรงเรียนทหารเฟยหลี่ในวันลงทะเบียนและจะเข้าไปลงทะเบียนพร้อมกัน
ทั้งสองคนไม่มีความรู้ใดๆ เกี่ยวกับโรงเรียนแห่งนี้เลย สิ่งเดียวที่พวกเขารู้คือมันมีกฏที่เข้มงวดมาก และเป็นหนึ่งในโรงเรียนทหารชั้นนำของอาณาจักรเฟยหลี่ ไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดาสามัญหรือชนชั้นสูง การจะเข้าสู่โรงเรียนแห่งนี้ได้พวกเขาต้องผ่านการทดสอบที่ค่อนข้างสาหัสเอาการ นอกจากนี้ยังมีการจำกัดอายุนักเรียนให้ไม่เกิน 20 ปีอีกด้วย ทว่านอกเหนือจากที่กล่าวไปก่อนหน้านั้น ทั้งโจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ไม่รู้รายละเอียดอื่นๆอีกแล้ว แน่นอนว่าพวกเขาไม่รู้เกี่ยวกับการทดสอบจึงไม่อาจจะเตรียมการล่วงหน้าใดๆ ได้เลย
โจวเหว่ยชิงพลันรู้สึกโล่งอกที่เขาไม่ได้มาสาย ในที่สุดหลังเขาก็มาถึงเมืองหลวงเฟยหลี่เสียที! อืม มีเวลาสองวัน ข้าจะทำอะไรดี? หึๆ งั้นข้าจะกินอาหารสักมื้อก่อนแล้วกัน!
ในขณะที่ครุ่นคิดว่าจะขยับตัวไปทางไหนดี โจวเหว่ยชิงก็ตัดสินใจไปหาอาหารอร่อยๆ กินก่อน จากนั้นก็เดินลึกเข้าไปในตัวเมืองและมองหาที่พัก นอกจากนั้นเขายังต้องตามหาด้วยว่าโรงเรียนทหารเฟยหลี่ตั้งอยู่ที่ไหน แน่นอนว่าเขายังมีเงินเหลืออยู่ แต่มันก็ไม่เพียงพอสำหรับทุกอย่างที่เขาจะต้องทำอยู่ดี อย่างไรเสียก็มี 2 สิ่งที่ต้องทำให้สำเร็จ ก่อนอื่นคือการขายม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ระดับพื้นฐาน 10 ใบที่เขามีเพื่อหาทุน ส่วนอย่างที่ 2 ก็คือการมุ่งหน้าไปยังวังกักเก็บทักษะ เขารู้ว่าการจะกักเก็บทักษะที่ต้องการทั้งหมดให้เสร็จสมบูรณ์ไม่ใช่สิ่งที่จะสำเร็จได้ภายใน 2 วัน อย่างไรก็ตาม ด้วยมีอาชีพเสริมเป็นอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ เขาจึงไม่ค่อยกังวลเท่าไหร่ว่าตนจะเงินจะขาดมือในอนาคต
ถ้าสามารถหาที่พักดีๆ ใกล้กับโรงเรียน…อยู่ร่วมกับปิงเอ๋อร์ ฮิๆ! นั่นจะยอดเยี่ยมไปเลย! ในขณะที่เขาคิดเช่นนั้น รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยเพลิงปรารถนาก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าอย่างไม่อาจควบคุมได้
หลังจากทานอาหารที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งจนอิ่มแล้ว โจวเหว่ยชิงก็ถามทางไปยังโรงเรียนทหาร และวังกักเก็บทักษะ บังเอิญเหลือเกินที่ทั้งคู่ตั้งอยู่ทางตะวันออกของเมืองเฟยหลี่พอดี! ส่วนทางตะวันออกของเมืองนั้นอยู่ติดกับทะเลสาบเฟยหลี่และเป็นส่วนที่คึกคักและเฟื่องฟูที่สุดของเมือง พระราชวังของอาณาจักรเฟยหลี่นั้นตั้งอยู่อีกด้านหนึ่ง ทางตอนเหนือและหันหน้าไปทางทิศใต้
โจวเหว่ยชิงรีบวิ่งไปทางทิศตะวันออกอย่างตื่นเต้น เขาต้องคอยถามทางอยู่ตลอดเวลาเนื่องจากเมืองแห่งนี้ใหญ่เกินไป ถึงกระนั้น เขาก็ยังต้องวิ่งไปอีกเป็นระยะเวลาประมาณ 4 ชั่วโมงจึงพบสิ่งที่เขาตามหาในที่สุด!
วังกักเก็บทักษะที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ก็ดูเหมือนกับสำนักที่ตั้งอยู่ในเมืองภูเขาลอยฟ้า แตกต่างก็แค่ที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นมีขนาดใหญ่กว่ามาก
อาคารขนาดใหญ่สูงประมาณ 30 เมตร นี่มันใหญ่เป็น 2 เท่าของวังกักเก็บทักษะเมืองภูเขาลอยฟ้าด้วยซ้ำ! เสาหินขนาดใหญ่ 36 เสาตั้งรองรับอาคารอยู่ อีกทั้งพวกมันยังมีขนาดใหญ่เท่าผู้ชาย 5 คนโอบ รอบๆ อาคารมีรูปแกะสลักจำนวนมากตั้งอวดโฉมอยู่ แต่ละชิ้นเป็นตัวแทนของอสูรสวรรค์ที่ต่างชนิดกัน
ด้านบนของวังกักเก็บทักษะยังเปล่งประกายเจิดจ้าไปด้วยตราสัญลักษณ์สีทองของอาณาจักร นั่นก็คือตรารูปดาบไขว้ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งแผ่กลิ่นอายที่น่าเกรงขามออกมา ที่นี่คือสำนักงานใหญ่ของวังกักเก็บทักษะอาณาจักรเฟยหลี่! ช่างเป็นสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่เสียจริง น่าเกรงขามยิ่งกว่าพระราชวังของจักรพรรดิที่บ้านเสียอีก! โจวเหว่ยชิงคิดกับตัวเองขณะที่เขาก้าวเข้าไปในวังกักเก็บทักษะ
ก่อนที่โจวเหว่ยชิงจะทันได้เข้าไปในอาคาร เขาก็ถูกทหารอาวุธหนัก 4 คนขวางเอาไว้ก่อน พวกเขาต่างก็สวมชุดเกราะสีทองเจิดจ้า ดูราวกับกำแพงติดอาวุธที่เดินได้
“อ้อ ใช่แล้วๆ” โจวเหว่ยชิงชะงักชั่ววินาทีก่อนที่จะจดจำกฏของวังกักเก็บทักษะได้ เขายกมือขวาขึ้น จากนั้นก็เพ่งสมาธิไปที่มณียุทธ์ของเขา ไม่นานหยกน้ำแข็ง 3 ดวงก็พลันปรากฏกายขึ้นมาหมุนวนรอบข้อมือของเขา เกิดเป็นไอหมอกสีขาวขึ้นมารอบๆ
ผู้คุมทั้ง 4 ที่ขวางทางโจวเว่ยชิงอยู่นั้นต่างก็พากันสะดุ้งอย่างเห็นได้ชัด ที่จริงแล้วรูปลักษณ์ในปัจจุบันของโจว เหว่ยชิงนั้นดูโทรมมาก หลังจากต้องเดินทางนานกว่า 10 วันโดยไม่ได้พักผ่อน ท่าทางของเขาจึงดูอิดโรยมาก เส้นผมล้วนยุ่งเหยิง หนวดเคราก็ไม่ได้โกน ด้วยรูปลักษณ์ดังกล่าว เขาก็ดูไม่เหมือนเด็กหนุ่มอายุ 16 ปีและอาจจะเหมือนขอทานเร่ร่อนอายุ 30 ปีด้วยซ้ำ โชคดีที่เขาเก็บกระเป๋าของเขาไว้ในสร้อยมิติแล้ว ไม่เช่นนั้นเขาก็อาจจะดูแย่ลงไปกว่านี้อีก แน่นอนว่าตอนนี้เขาไม่ได้ดูเหมือนจ้าวมณีสวรรค์เลยแม้แต่น้อย
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ผู้คุมทั้ง 4 ก็หลีกทางให้เขาพร้อมกับกล่าวถ้อยคำแสดงความเคารพ “ยินดีต้อนรับจ้าวมณีระดับปฐมขั้นสูงสุด”
โจวเหว่ยชิงยิ้มและกล่าวว่า “ขอบคุณ ขอบคุณ” เมื่อเขาพูดจบ เขาก็เดินเข้าไปในห้องโถงหลักของวังกักเก็บทักษะทันที
เช่นเดียวกับรูปลักษณ์ภายนอก ด้านในของวังกักเก็บทักษะก็ยังคงคล้ายกับสำนักที่เมืองภูเขาลอยฟ้า แต่ก็เป็นขนาดที่ใหญ่กว่าเช่นเคย หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง โจวเหว่ยชิงก็เดินไปทางประตูที่นำไปสู่กรงอสูรสวรรค์ธาตุมิติ
ด้วยแหวนปกปิดตัวตนที่ถังเซียนมอบให้เขา โจวเหว่ยชิงจึงเลือกเปิดใช้แค่มณีธาตุมิติเพื่อปลอมตัวเป็นจ้าวมณีธาตุมิติ มณีที่ว่านั่นก็คือไพฑูรย์ตาแมวสีเขียวทอง อย่างไรเสียเขาก็จำเป็นต้องใช้สถานะอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ของเขาในการค้าขายคัมภีร์อยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้เขาจึงตัดสินใจที่จะกักเก็บทักษะธาตุมิติของเขาให้เสร็จสมบูรณ์เพื่อให้เขาสามารถปลอมตัวได้ดีขึ้น
ในขณะที่โจวเหว่ยชิงเดินตามทางไป เขาก็สังเกตเห็นว่าทางกำลังเอียงลาดลงไปอีกครั้ง หลังจากผ่านไปประมาณ 300 เมตรและเลี้ยวอีกสองครั้ง ในที่สุดเขาก็มาถึงห้องโถงขนาดใหญ่อีกห้องหนึ่ง โจวเหว่ยชิงรู้ดีว่าที่นี่คือที่ๆ เขาสามารถเลือกอสูรสวรรค์สำหรับกักเก็บทักษะได้
ที่ด้านข้างของห้องโถงมีโต๊ะและมีชายวัยกลางคน 2 คนนั่งอยู่ เมื่อพวกเขามองเห็นชุดซอมซ่อโจวเหว่ยชิง คนทั้งสองต่างก็ขมวดคิ้วแน่น อย่างไรก็ตาม โจวเหว่ยชิงไม่ได้สนใจพวกเขานักเนื่องจากมีบางสิ่งกำลังดึงดูดความสนใจของเขาอยู่ ทันทีที่เขาก้าวเข้าไปในห้องโถง เขาก็ต้องตกตะลึงเมื่อพบบางอย่าง
โจวเหว่ยชิงเห็นชัดเจนว่าในห้องโถงนี้ไม่ได้มีทางเข้า 3 ทางเหมือนสำนักที่เมืองภูเขาลอยฟ้า แต่ที่นี่มี 4 ทาง! นอกจากทางเข้าระดับปฐม ระดับปรมะ และระดับเทวะตามปกติแล้ว ยังมีอีกทางเข้าอีก 1 ทางที่มีคำว่า ‘ราชา’ ติดอยู่ ดูจากลักษณะของมันแล้ว ทางเข้านี้ดูเหมือนจะใหม่กว่าอีก 3 ทางมาก
ราชา? หรือว่าจะเป็นอสูรสวรรค์ระดับราชา?
“หากเจ้าต้องการเข้าไปกักเก็บทักษะ เจ้าจะต้องจ่ายเงินก่อน” น้ำเสียงเย็นเยียบดังขึ้นขัดจังหวะความคิดของโจวเหว่ยชิง เขารีบหันหลังกลับไปมองและมุ่งหน้าไปยังชายวัยกลางคนทั้ง 2 ก่อนจะเอ่ยถามอย่างสงสัย “ผู้อาวุโส นี่เป็นครั้งแรกของข้าในเมืองเฟยหลี่ ทางเข้าที่มีคำว่า ‘ราชา’ คืออสูรสวรรค์ระดับราชาหรือขอรับ?”
ชายที่อยู่ทางซ้ายพยักหน้าและกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “อืม นั่นคืออสูรสวรรค์ระดับราชา ไม่เพียงแต่จะเป็นสิ่งหายากในอาณาจักรเฟยหลี่ของเราเท่านั้น แต่ยังอาจเป็นเพียงตัวเดียวในบรรดาวังกักเก็บทักษะทั้งหมดของครึ่งทวีปฝั่งตะวันตก หนุ่มน้อย เจ้าเป็นจ้าวมณีสวรรค์ธาตุมิติหรือ?”
…………………………….