บทที่ 72 ศิษย์เหนืออาจารย์
“พลังกระดูกเหล็กหัวแข็งที่เจิงคุนฝึกนั้นมีแรงป้องกันสูงมาก ทว่ากลับไม่สามารถต่อต้านหนึ่งหมัดของหลัวซิวได้เช่นนั้นรือ?”
“ไม่ใช่ว่าเจิงคุนนั้นอ่อนแอ แต่เป็นหลัวซิวที่แข็งแกร่งเกินไป ปราณแท้ของเขาบริสุทธิ์และทรงพลัง พลังกระดูกเหล็กหัวแข็งของเจิงคุนมิอาจต้านทานได้”
“หลัวซิวเคลื่อนไหวรวดเร็วมากจริง ๆ ถอยเพื่อตั้งรับ เอาชนะในกระบวนท่าเดียว?”
คิดมาถึงตรงนี้ ผู้คนไม่น้อยได้แข็งทื่อไปอีกครั้ง ต่างประหลาดใจขึ้นมา
ตามหลักแล้ว หลัวซิวฝึกวิชากระบี่ระดับ4 จนถึงขั้นบริบูรณ์ จักต้องชำนาญวิชาดาบอย่างไม่ต้องสงสัย และเขายังแสดงวิชาหมัดระดับ2 ออกมาได้อย่างร้ายกาจเช่นนี้ เยี่ยงนั้นวิชากระบี่ของจะร้ายกาจ และเร็วเพียงใด?
“ถ้าใช้กระบี่ เกรงว่าเขาคงสามารถปลิดชีวิตเจิงคุนได้ในกระบี่เดียว!”
“มิน่าเขาถึงไม่ใช้กระบี่ เพราะไม่อยากทำร้ายคนงั้นลือ?”
เจ้าสำหนักลู่ผู้สูงส่ง มาถึงวันนี้ยังอดไม่ได้ที่จะประเมินหลัวซิวคนนี้ใหม่อีกครั้ง
“ลู่เมิ่งเหยา สายตาของเจ้าไม่เลวเลย” จ้องมองไปยังบุตรสาวที่อยู่ด้านข้าง เขาก็พูดประโยคนี้ขึ้นมาอย่างฉับพลันทันที
ลู่เมิ่งเหยาชะงัก “ท่านพ่อ ท่าน……”
“ไม่มีใครรู้จักบุตรสาวดีไปกว่าพ่อ พ่อจะมองความคิดของเจ้าไม่ออกได้เยี่ยงไรเล่า? เพียงแต่คิดจะเทียบเคียงบุตรสาวของข้า เว้นแต่ว่าก่อนอายุสิบแปดปีเขาจะสามารถขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของศิษย์นอกสำนัก และเข้าเป็นศิษย์ภายในของสำนักได้ถึงจะได้!” ลู่เฟยเฉินยิ้มกล่าว
“ท่านพ่อ……” ครั้งนี้ลู่เมิ่งเหยาฟังเข้าใจความหมายของบิดาของตนเองแล้ว ใบหน้าโฉมสะคราญแดงปลั่งขันมาทันที
หลัวซิวเดินลงมาจากเวทีประลองยุทธ์ สำหรับสายตาอิจฉาหรือริษยา เคารพยำเกรงเหล่านั้น เขาล้วนทำเป็นมองไม่เห็น ทว่าได้เลื่อนสายตาไปที่ลู่เมิ่งเหยาที่นั่งอยู่ข้างกายผู้นำนอกสำนักแทน
เขามั่นใจในฝีมือของตนเองเป็นอย่างมาก ปราศจากการขัดขวางของจางหลู่เหลียง เขามั่นใจเป็นอย่างมากที่จะคว้าอันดับหนึ่งในการทดสอบมาครอง
“เจ้าบอกกับข้าว่า จะรอข้าที่สำนักเซียวเหยา วันนี้ข้ามาแล้ว……” นี่คือเสียงในใจของหลัวซิวในเวลานี้!
ลู่เมิ่งเหยาเองก็พบเห็นสายตาที่หลัวซิวมองมา แก้มที่แดงปลั่งร้อนผ่าวขึ้นมาทันที ดูเหมือนไม่กล้าจะประสานสายตากับเขาสักเท่าไรนัก
เดิมทีนางคิดว่าคงอีกสักปีสองปีหลัวซิวถึงจะสามารถเข้าสำนักเซียวเหยาได้ คิดไม่ถึงว่าวันนี้ จะมาถึงเร็วเช่นนี้ กะทันหันเยี่ยงนี้
“นี่ใช่ความรู้สึกของการชอบใครสักคนหรือเปล่า?”
ความคิดเช่นนี้ปรากฏขึ้นมาในใจของลู่เมิ่งเหยา ถึงแม้นางจะอายุมากกว่าหลัวซิวถึงเก้าปีก็ตาม ทว่าสำหรับคนที่ฝึกวรยุทธ์แล้ว ตราบใดที่ทะลวงถึงแดนพรสวรรค์ ก็จะมีอายุขัยสามร้อยถึงห้าร้อยปี ระยะห่างเพียงแค่เก้าปีไม่นับอะไร
โรคชีพจรขาดธาตุไฟไม่มีอยู่อีกต่อไป ลู่เมิ่งเหยามีความมั่นใจที่จะก้าวไปถึงขั้นแดนพรสวรรค์ หรือแม้แต่ขั้นแดนเทพยุทธ์
และหลัวซิวนั้นมีพรสวรรค์ยิ่งกว่าเธอด้วยซ้ำ เพียงแค่บิดาเห็นด้วย เช่นนั้นโอกาสที่ทั้งสองคนจะได้อยู่ด้วยกันนับว่ามีมากเลยทีเดียว
ในตอนที่ลู่เมิ่งเหยากำลังคิดเรื่องเหล่านี้อยู่ภายในใจนั่นเอง การทดสอบบนเวทีประลองยุทธ์ยังคงดำเนินต่อไป
ผู้ใดที่พ่ายจะตกรอบทันที ผู้ชนะจะได้รับคะแนนเพิ่มขั้นขึ้น
ไม่นาน การประลองยุทธ์รอบที่หนึ่งก็ได้จบลง
จางหลู่เหลียงลุกยืนขึ้น ประกาศกติกาการแข่งขันในรอบที่สอง “ทั้งยี่สิบห้าคนที่เหลืออยู่ ผู้ใดที่มีคะแนนต่ำ สามารถท้าประลองคนที่มีคะแนนสูง ถ้าหากสามารถเอาชนะได้ ก็จะได้อันดับของอีกฝ่ายไปครอง สุดท้ายผู้ที่อยู่ในสามอันดับแรก ก็จะกลายเป็นศิษย์นอกสำนักเซียวเหยาอย่างเป็นทางการ!”
ณ เวลานี้ หลัวซิวอยู่ที่อันดับหนึ่ง อันดับสองคือหวางช่าน และตามด้วยสวีผิง
มิต้องสงสัย ผู้ที่มีอันดับต่ำลงมาหากต้องการช่วงชิงสิทธิ์ในการเข้าเป็นศิษย์นอกสำนัก พวกเขาทั้งสามคนจักต้องรับการท้ามากมาย
อันดับแรก ดรุณีที่อยู่ในอันดับที่ยี่สิบห้านางหนึ่งได้เดินขึ้นไปบนเวทีประลองยุทธ์ ผู้ที่นางจะท้าประลองด้วย คือสวีผิงที่อยู่ในอันดับสาม
ช่วงเวลาเพียงแค่สั้น ๆ การท้าประลองล้มเหลว!
จากนั้น ผู้ที่อยู่ในอันดับที่ยี่สิบสี่ ยี่สิบสาม ยี่สิบสอง……ขึ้นเวทีประลองไปทีละคน บางคนท้าประลองสวีผิง บางคนท้าประลองหวางช่าน
ทว่าอย่างไรก็ตามผลลัพธ์สุดท้าย กลับไม่มีข้อยกเว้น ต่างท้าประลองล้มเหลวทั้งหมด!
สวีผิงและหวางช่านต่างอยู่ในขั้นแดนวิชาชี่ไห่ขั้น3 แดนบรรลุผลวิชายุทธ์ระดับ4 ฝีมืออยู่ในอันดับต้น ๆ
แต่ในหมู่คนที่อยู่ในอันดับต่ำลงไป ก็มียอดฝีมือแดนวิชาชี่ไห่ขั้น3 ทว่าเมื่อเทียบกันแล้วอายุมากกว่าเล็กน้อย ล้วนอายุสิบเจ็ดสิบแปดปี
ในเวลานี้เอง มีดรุณีอีกนางเดินขึ้นไปบนเวทีประลองยุทธ์ นางเป็นอัจฉริยะที่มาจากสำนักซินฉือ เนี่ยเสี่ยวเตี๋ย!
คะแนนของนาง อยู่ในอันดับที่สิบสาม!
นางถือหอกยาวไว้ในมือ เนี่ยเสี่ยวเตี๋ยสวมชุดสีแดง ท่าทางองอาจห้าวหาญ กล่าวได้ว่าดึงดูดสายตาของผู้คนทั้งหมดที่อยู่ตรงนั้น
สตรีนางหนึ่ง พรสวรรค์สูง ความสามารถสูง และยังมีหน้าตางดงาม เป็นจุดสนใจที่ดึงดูดสายตายิ่งกว่าหลัวซิวเสียอีก
ในขณะที่ทุกคนกำลังคาดเดาว่าเนี่ยเสี่ยวเตี๋ยจะท้าประลองผู้ใดอยู่นั่นเอง เห็นเพียงนางยกมือขาประดุจหยกขึ้นมา ชี้ไปยังหลัวซิว “ข้าขอท้าประลองกับเจ้า!”
“นางท้าประลองหลัวซิวงั้นรึ?”
ผู้คนต่างส่งเสียงฮือฮา ก่อนหน้าได้มีการท้าประลองไปหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีผู้ใดเลือกที่จะท้าประลองหลัวซิว เพราะถึงยังไงการประลองระหว่างหลัวซิวและเจิงคุน ก็ได้แสดงพลังทรงพลานุภาพออกมาแล้ว
สำหรับเรื่องที่เนี่ยเสี่ยวเตี๋ยถ้าประลองตนเองนั้น หลัวซิวไม่ได้รู้สึกประหลาดใจใด ๆ เลยแม้แต่น้อย เนื่องด้วยหลังจากที่เนี่ยเสี่ยวเตี๋ยได้พ่ายแพ้ให้กับตนเองในตอนที่อยู่สำหนักชิงหยุน ก็ได้ประกาศมาตลอดว่าจักต้องเอาชนะตนเองให้ได้
ศึกครั้งนี้ มิอาจหลีกเลี่ยง
หลัวซิวก้าวเท้าเดินขึ้นไปบนเวทีประลองยุทธ์ เอ่ยเรียบ ๆ : “ลงมือเถอะ”
ในตอนนั้นเขาไม่ได้ชักกระบี่ออกมา อาศัยเพียงกำลังภายในพลังหยางบริสุทธิ์กำสามารถเอาชนะนางได้ ในวันนี้ ความสามารถของเขายิ่งมีการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง ยิ่งไม่มีทางที่เนี่ยเสี่ยวเตี๋ยจะเป็นคู่แข่งของเขาได้
แต่คำกล่าวเช่นนี้ เป็นธรรมดาที่หลัวซิวจะไม่เอ่ยออกมา มิเช่นนั้นจะกลับกลายเป็นการดูหมิ่นสร้างความอัปยศให้กับเนี่ยเสี่ยวเตี๋ย
“ท่าเชื่อมนภาเมฆาเขียว!”
ร่างบอบบางงดงามของเนี่ยเสี่ยวเตี๋ยกระโดดลอยตัวขึ้น ชุดแดงปลิวไสว หอกยาวเปล่งแสงสีฟ้าเขียว แทงหอกออกมา ดุจดั่งลำแสงสีฟ้า ตัดผ่านอากาศ หวีดหวิวดุจสายลมพัด
นางฝึกฝนวิชาหอกระดับสี่ของสำนักซินฉือ ถึงแดนบรรลุผล ยกเว้นว่าผลการฝึกตนด้อยกว่าสวีผิงและหวางช่าน ด้านอื่น ๆ ล้วนสามารถทัดเทียมได้
เท้าของหลัวซิวเคลื่อนไหวเป็นแนวนอน เราร่างพลันหายไปตรงที่ตรงนั้น ทำให้หอกที่ดุเดือดรุนแรงของเนี่ยเสี่ยวเตี๋ย แทงโดนอากาศ
“เร็วมาก!”
เนี่ยเสี่ยวเตี๋ยพึมพำในใจว่าแย่แล้ว นับจากที่พ่ายแพ้ให้กับหลัวซิว เธอก็ฝึกฝนอย่างหนัก คิดว่าความสามารถของตัวเองได้พัฒนาขึ้นมาไม่น้อย กลับไม่คาดฝันว่า การเคลื่อนไหวของหลัวซิวรวดเร็วขึ้นยิ่งกว่าในตอนนั้น!
“วิชาท่าร่างระดับ4 ขั้นบริบูรณ์!?” มีเสียงอุทานดังขึ้นอีกครั้ง
บุคคลผู้หนึ่ง มีวิชายุทธ์ระดับ4 ขั้นบริบูรณ์สองชนิดอยู่ในตัว นี่มันเป็นพรสวรรค์เช่นใดกันแน่!
“ท่าเสือพิฆาต!”
เงาร่างของหลัวซิวปรากฏขึ้นที่ด้านขวาของเนี่ยเสี่ยวเตี๋ย หนึ่งหมัดซัดผ่านอากาศออกไป
หมัดนี้ของหลัวซิวดูแสนธรรมดา แต่กลับตามมาด้วยเสียงก้องกังวานดั่งเสือคำราม
ลำแสงของปราณแท้พรั่งพรูออกมา ดั่งได้กลายเป็นเสือร้ายสีขาว กระโจนเข้าหาเนี่ยเสี่ยวเตี๋ย
หมัดแฝงไปด้วยเสียงคำรามดั่งเสือ ราวกับมีคลื่นเสียงที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตากระจายเป็นระลอกคลื่นลอยอยู่ในอากาศ ทำให้ผู้คนไม่น้อยที่อยู่ด้านล่างรู้สึกแก้วหูสั่น เลือดลมปั่นป่วน
“เป็นวิชาหมัดที่ร้ายกาจจริง เข้าถึงแก่นแท้ของหมัดเสือมังกร และยังคงอยู่เหนือขอบเขตระดับสอง ก้าวสู่ระดับใหม่ทั้งหมด!”
ภายในผู้คนเหล่านั้น หากเอ่ยถึงวิสัยทัศน์ จักต้องเป็นลู่เฟยเฉินผู้นำนอกสำนักอย่างไม่ต้องสงสัย เขาสามารถมองออกได้ในพริบตา หมัดเสือมังกรวิชายุทธ์ระดับ2 เมื่อถูกใช้ออกมาโดยหลัวซิว ได้กระโดดออกจากตัววิชาหมัดเองโดยสมบูรณ์แบบ เหนือกว่าขั้นบริบูรณ์
ดังคำกล่าวที่ว่าศิษย์เหนืออาจารย์ เหนือกว่าขั้นบริบูรณ์ นั้นก็คือขึ้นที่สุดของที่สุด สามารถใช้ทักษะยุทธ์ที่แสนธรรมดา แสดงอานุภาพออกมาเหนือกว่าที่ควรจะเป็น!