บทที่ 63

ฟีเรนเทียไม่เดินเข้าไปอยู่ข้างกายแคลอฮัน

เพียงแค่ยืนนิ่งห่างออกไปจากหน้าประตู สนทนากับเครย์ลีบันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันหลังเดินกลับออกไปเท่านั้น

ภาพนั้นทำให้แคลอฮันได้แต่ยิ้มขมขื่น ก่อนจะเอ่ยพูดกับลอรีล

“ลอรีล ช่วยเตรียมตัวพาเทียเข้านอนทีได้มั้ย”

“…ค่ะ ท่านแคลอฮัน”

ลอรีลก้มหน้าลง วิ่งตามหลังฟีเรนเทียออกไป

ตอนนี้คนที่ยังอยู่ภายในห้องกับแคลอฮัน จึงเหลือเพียงแค่รูลลักที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เหมือนเคย กับเครย์ลีบันที่ยืนอยู่หน้าประตูเท่านั้น

“ต่อไปคงต้องยืมมือขอความช่วยเหลือจากหนูลอรีลมากกว่าเดิม เรื่องใหญ่เลยนะครับเนี่ย”

ต่อไปจะมีเรื่องที่เขาไม่อาจทำได้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

ตอนนี้อาจจะเป็นเพียงแค่ขาข้างเดียว แต่ไม่อาจรู้ได้เลยว่าอาการชาเป็นอัมพาตนี่มันจะลุกลามไปถึงส่วนอื่นเมื่อไหร่

“ครึ่งปี…”

นั่นคือเวลาที่เหลืออยู่ของเขาตามที่ดอกเตอร์โอมัลลี่บอก

หลังจากที่เกิดอาการของโรคเทรนด์บลู ปกติแล้วจะอยู่ได้อีกไม่เกินครึ่งปี แล้วเสียชีวิตลง

“พรุ่งนี้จะเรียกตัวหมออื่นมาเพิ่ม จะได้ลองตรวจร่างกายดูใหม่อีกรอบ”

“ท่านพ่อ…”

“โรคที่เกิดขึ้นได้ยากขนาดนั้น ตรวจแค่ครู่เดียวจะไปรู้อะไรได้ ลองให้หมอคนอื่นตรวจวินิจฉัยดูเถอะเจ้าเป็นโรคเทรนด์บลูอย่างนั้นหรือ มันเป็นไปไม่ได้หรอก…”

เสียงพึมพำของรูลลักทำให้ใบหน้าของเครย์ลีบันนิ่งงัน

“เทรนด์บลู…”

“บอกแล้วไงว่าไม่ใช่!”

สุดท้ายรูลลักก็ตะคอกเสียงดังด้วยความโมโหใบหน้าของชายชราบิดเบี้ยวจนไม่น่ามอง ท่าทางโมโหมากเสียจนบอกได้ยากว่านี่เป็นคนคนเดียวกันกับรูลลักที่ปกติมักจะเย็นชาและสงบนิ่งอยู่เสมอ

“แคลอฮันไม่มีทางเป็นโรคร้ายแบบนั้นแน่!”

“ท่านพ่อ…”

แคลอฮันมองรูลลักที่กำลังโมโห ก่อนจะพยักหน้าลงพลางเอ่ยพูด

“ข้าจะลองรับการตรวจจากหมอท่านอื่นดูครับ”

“ดี ดีมาก ฝีมือของดอกเตอร์โอมัลลี่คงจะขึ้นสนิมไปแล้วกระมัง”

รูลลักลุกพรวดขึ้นจากที่นั่ง

“เดี๋ยวพรุ่งนี้ขาก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้งแล้ว”

แต่ถึงจะพูดแบบนั้น สายตาของรูลลักกลับไม่อาจละออกไปจากขาของแคลอฮันที่เกร็งนิ่งไม่ขยับเขยื้อนได้เลย

มองจากภายนอกก็เป็นปกติดีแท้ๆ

“เจ้ายังหนุ่มยังแน่น แคลอฮัน”

หนุ่มเกินกว่าจะปล่อยให้เป็นโรคร้ายไร้ซึ่งยารักษา

รูลลักเหลือทิ้งไว้เพียงแค่คำพูดประโยคนั้น แล้วหมุนตัวหันหลังกลับ

“และเรื่องนี้อย่าปล่อยให้หลุดออกไปได้ล่ะ เจ้า…เพียงแค่ไปร่วมงานเลี้ยงในวังแล้วเกิดสะดุดจนขาหักเท่านั้น เข้าใจมั้ย”

“…ขอบคุณครับ ท่านพ่อ”

หากข่าวลือแพร่ออกไปว่า สุขภาพของแคลอฮันซึ่งช่วงหลังมานี่กำลังโดดเด่นทั้งในสายตาของผู้คนนอกและในตระกูลมีอะไรผิดปกติ คลื่นกระทบที่ตามมาจะมากมหาศาลทีเดียว

สำหรับคู่แข่งที่กำลังเล็งหาโอกาสมันจะกลายเป็นข่าวดีที่พวกเขาเฝ้ารอ สำหรับผู้คนที่คาดหวังอยากจะทำงานร่วมกันกับร้านขายเสื้อผ้าแคลอฮัน มันจะกลายเป็นอุปสรรคชิ้นโต

“อาจจะมีใครแวะมาเยี่ยมก็เป็นได้ ยังไงก็เข้าเฝือกขาข้างนั้นเผื่อไว้ก่อน”

“ฮ่าฮ่า ครับ ท่านพ่อ”

แคลอฮันหัวเราะ ส่วนรูลลักเพียงแค่กล่าวกับบุตรชายที่หัวเราะเช่นนั้นว่า ‘เจ้าเด็กโง่’ แล้วเดินออกไปจากห้อง

ประตูถูกปิดลงเสียงดังแกรก พร้อมกับรอยยิ้มที่จางหายไปจากใบหน้าของแคลอฮัน

แคลอฮันเอ่ยพูดกับเครย์ลีบันด้วยเสียงนิ่งสงบ

“คุณเครย์ลีบัน”

“ครับ ว่ามาได้เลยครับ”

“ท่าทางคงจะต้องเตรียมการอะไรหลายเรื่องหน่อยแล้วละครับ”

“พูดเรื่องอะไรกันครับ”

แคลอฮันถอนหายใจเสียงแผ่วให้กับคำถามของเครย์ลีบัน

“เตรียมการเอาไว้เผื่อว่าโรคที่ข้าเป็นมันจะใช่โรคเทรนด์บลูจริงๆ ยังไงล่ะครับ”

เสียงถอนหายใจนั่นมันใกล้เคียงกับความรู้สึกของคนที่พร้อมจะปลดเกษียณ มากกว่าที่จะรู้สึกอึดอัดใจที่จะต้องวางมือในทุกเรื่อง

“เทียจะต้องเหลือตัวคนเดียวไม่ใช่หรือครับ”

เครย์ลีบันไม่อาจพูดอะไรตอบแคลอฮันที่ยิ้มกว้างอย่างที่เคยชินได้เลย

เขาได้แต่กำหมัดแน่นจนกระดาษโน้ตที่ฟีเรนเทียเขียนส่งให้มันยับยู่ยี่เสียจนส่งเสียงดังกรอบแกรบ

ยามเช้าอันแสนสดใส

เฟเรสถือดาบเดินมุ่งหน้าไปยังลานฝึกประจำวังโฟอิรัคด้วยความเคยชินจนติดเป็นนิสัย

วันแรกที่พบฟีเรนเทีย

หลังจากวันนั้นที่ได้ยินนางบอกว่า ‘ต้องฝึกฟันดาบ’ เขาก็ฝึกยามเช้ามาโดยตลอด ไม่เคยพักแม้แต่วันเดียว

ถึงแม้เมื่อคืนกว่างานเลี้ยงจะเลิกก็เลยเที่ยงคืนไปแล้ว ทั้งยังได้หลับตานอนเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง

แต่วันนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

ร่างกายที่หนักอึ้ง พอถูกเขาดึงเอาออร่าออกมาใช้ ความรู้สึกพวกนั้นก็พลันจางหายไปในพริบตา

เฟเรสซ้อมจนเหงื่อไหลอาบท่วมกาย เขานั่งลงบนพื้นลานฝึก ครุ่นคิดนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน

ในตอนที่ได้พบกันครั้งแรกในป่าลึก ฟีเรนเทียก็ได้ช่วงชิงเอาทุกอย่างของเฟเรสไปจนหมดสิ้น แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปแค่ไหน นางก็ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

สำหรับเฟเรสแล้ว เขายังคงมองเห็นเพียงแค่ฟีเรนเทีย

ไม่ว่าจะในตอนที่เดินเข้าไปในโถงงานเลี้ยงเป็นครั้งแรก

ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาอันแสนหอมหวานริมระเบียงที่ผ่านไปไวมากเหลือเกิน

หรือแม้กระทั่งตอนที่อาสทาน่าชักดาบออกมา

สิ่งที่เฟเรสมองเห็น ก็ยังคงมีเพียงแค่ฟีเรนเทียคนเดียวเท่านั้น

แม้กระทั่งในตอนที่แคลอฮันล้มลง และทุกคนมัวแต่มองไปที่แคลอฮัน

เฟเรสก็ยังคงเอาแต่มองฟีเรนเทีย

“จะเป็นอะไรหรือเปล่านะ”

ฟีเรนเทียสนิทสนมกับบิดาของนางมากต่างจากเขา

เขาเอาแต่นึกภาพใบหน้ายามเม้มปากแน่นมองแคลอฮันล้มนอนอยู่บนพื้นโดยไม่อาจลุกขึ้นมาได้อยู่เรื่อย

หากแวะไปหาได้ก็คงดี

แต่ฟีเรนเทียบอกเอาไว้ว่า จะให้โดนจับได้ว่าพวกเรารู้จักกันไม่ได้เด็ดขาด

เฟเรสเก็บดาบเข้าฝัก พยายามอดกลั้นความรู้สึกในใจ แต่เขาก็ยังคงคิดถึงนางอยู่ดี

ไหล่ของเฟเรสยามเดินกลับเข้าไปในวังถึงได้หดลู่ลงด้วยความเหนื่อยล้า

“อะ…องค์จักรพรรดินี!”

ในตอนที่เดินกลับเข้ามาถึงวังโฟอิรัคเสียงตื่นตระหนกของแคทเธอรีนทำให้เฟเรสต้องเงยหน้าขึ้น

เขามองเห็นจักรพรรดินีเปิดประตูรถม้าออกอย่างแรง แล้วสาวเท้าก้าวเข้ามาทางเขาและเห็นมือข้างขวายกขึ้นสูงเพื่อตบลงมาบนแก้มของตน

สำหรับเฟเรสแล้ว มันเป็นการเคลื่อนไหวที่เชื่องช้ามากเสียจนเขาแทบจะอ้าปากหาวรอ

‘จะปล่อยให้ตบดีมั้ยนะ’

ชั่วขณะ ความคิดเช่นนั้นผุดขึ้นมาในหัวสมองของเฟเรส

เพราะเริ่มคาดเดาได้ว่า เหตุใดจักรพรรดินีถึงได้คิดที่จะตบแก้มของเขา

เฟเรสที่ยืนนิ่งอยู่เฉยๆ จึงเบี่ยงกายเล็กน้อยในวินาทีสุดท้าย

มือของจักรพรรดินีจึงเฉียดใบหน้าของเฟเรสไปอย่างหมิ่นเหม่

“ฮึ่ม!”

โทสะของจักรพรรดินีจึงยิ่งพลุ่งพล่านมากกว่าเดิม

“คนชั้นต่ำอย่างเจ้า! กล้าดี! กล้าดียังไงถึงชี้ดาบใส่บุตรชายของข้า!”

ราวีนี่ด่าทอเช่นนั้น ในขณะเดียวกันก็พยายามที่จะลงมือตบหน้าเฟเรส แต่ทุกครั้งที่นางจะตบลงมา เฟเรสก็หลบมันได้อย่างเฉียดฉิวทุกครา

“จับไอ้เด็กชั้นต่ำนั่นไว้!”

จักรพรรดินีออกคำสั่งแก่เหล่าอัศวินที่ติดตามมาคอยอารักขา

แต่บรรดาอัศวินที่พยายามจะเดินเข้าไปใกล้ต่างก็ได้แต่เหลือบมองดาบที่ห้อยอยู่ที่เอวของเฟเรส ก่อนจะผวาเฮือก