ตอนที่ 83 แยกจาก

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 83 แยกจาก

ไม่ว่าจะเพราะเงินเป็นเหตุ หรือเพราะตัวตนของฟู่เสี่ยวกวนที่อยู่ภายในใจของพวกเขานั้นสูงส่ง แต่โดยสรุปแล้วหลังจากการประชุมครั้งแรก ผู้ประสบภัยและชาวซีซานในวันนี้ ก็เริ่มมีการเคลื่อนไหวดำเนินการเปลี่ยนแปลงกันอย่างฮึกเหิม

ภายใต้การประสานงานของอี้หยู่และจางเช่อ ก็ได้ทำการเลือกหัวหน้าในด้านต่าง ๆ และให้อยู่ภายใต้การดูแลของเหล่าผู้นำ การประชุมที่ซีซานครั้งที่ 2 ของฟู่เสี่ยวกวนได้แสดงออกถึงจิตวิญญาณที่มุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยว

ชาวซีซานและอดีตผู้ประสบภัยเหล่านั้นได้เดินทางไปยังที่ต่าง ๆ ตามที่ฟู่เสี่ยวกวนได้แจกแจงเอาไว้ตั้งแต่ต้น ที่เพิงพักชั่วคราว หลังจากผ่านไปสองถึงสามวัน ก็เงียบสงัด ส่วนที่เหลืออยู่นั้นก็มีเพียงคนชราที่ป่วยและคนพิการ พวกเขาเหล่านี้เข้าสู่ช่วงบั้นปลายของชีวิตแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ให้พวกเขาไปทำงาน แต่กลับจัดคนจำนวนไม่น้อยมาดูแลชีวิตประจำวันของพวกเขา

คุณชายมีจิตใจเมตตาถึงเพียงนี้ ข้าที่คิดจะหากำไรจากเงินของคุณชาย ข้ามัน…มิต่างจากสุกรหรือสุนัขเลย !

เหล่าผู้เฒ่าที่ประสบภัยต่างก็กุมไม้เท้าและเดินทางออกไปยังที่ต่างๆ ผู้ใดก็ดึงรั้งเอาไว้ก็มิอยู่ หากขัดขวางพวกเขาก็มีแต่จะเดือดดาล

“ข้าชราแล้วจริง ๆ รึ ? ข้าอยากไปช่วยสังเกตการณ์ให้คุณชาย หากเจ้าหนุ่มพวกนั้นกล้าขี้เกียจ ไม้เท้านี้ของข้าจะตีกบาลพวกมันให้แตก ! ”

“ข้ามีประสบการณ์การทำถนนและซ่อมสะพานมาบ้าง แผนที่นั้นของคุณชายข้าก็ได้เห็นมาหมดแล้ว  มันมีความยากยิ่งนัก ข้าต้องไปดูสถานที่ด้วยตาของตนเอง การวางเส้นทางเยี่ยงนี้จึงจะสมเหตุสมผลยิ่งกว่า”

“แม่เฒ่าอย่างข้าช่วยทำอันใดมิได้เลย ช่วยได้เพียงให้กำลังใจจุดไฟปลุกพลังกายให้ฮึกเหิม คงเป็นสิ่งเดียวที่แม่เฒ่าอย่างข้าจะทำได้”

“พวกเจ้าจงจำไว้ หากทุกอย่างถูกสร้างไว้เสร็จแล้ว ต่อไปลูก ๆ ของพวกเจ้าจะมีตำราไว้อ่าน ส่วนพวกเจ้าก็จะสามารถมีอาชีพที่มั่นคงได้ ผู้หญิงอย่างพวกเจ้าก็สามารถทำงานที่นี่ได้เช่นกัน คุณชายได้กล่าวไว้ว่า โรงน้ำหอมของเขาต้องการสตรี ดังนั้นสิ่งที่พวกเจ้าทำอยู่ทั้งหมดนี้มิใช่เพื่อคุณชาย แต่เพื่ออนาคตของพวกเจ้าเอง เพื่อลูกหลานในอนาคตของพวกเจ้า ข้าชราแล้ว คงไปมิไหว ข้าจะดูอยู่ที่นี่ จะคอยเฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงที่ดียิ่งขึ้น เฝ้ามองพวกเจ้าที่จะมีชีวิตที่ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าพวกเจ้าจะไปที่แห่งใดจงจำไว้ว่า พวกเจ้าคือชาวซีซาน อย่าได้ทำให้ชาวซีซานต้องเสียหน้า ! ”

“…..”

ชาวซีซานพักอยู่ที่นี่เพียงชั่วคราวผ่านไปไม่กี่วันก็ต้องพาครอบครัวจากไป ครานี้มิเหมือนกับการลี้ภัย ในใจของพวกเขานั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความศรัทธา พวกเขาต้องการตอบแทนบุญคุณอันยิ่งใหญ่ของคุณชาย แม้ว่าจะต้องสละชีวิตก็ตาม !

นี่คือความคิดจากใจจริงของชาวซีซาน ความซื่อสัตย์ของพวกเขา คือการใช้สองมือสองเท้าของตนเอง เพื่อเปิดเส้นทางทองคำให้แก่การพัฒนาซีซาน ในอนาคตที่ซีซานจะต้องเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมากเป็นแน่

เหลือชายหนุ่มที่แข็งแกร่งเพียง 2,000 คนเท่านั้นที่ยังอยู่ภายในเรือนซีซาน ฟู่เสี่ยวกวนส่งพวกเขาไปให้กับเฉินป๋อหัวหน้าทหารยามของที่นี่ คนผู้นี้เคยเป็นรองหัวหน้าของไป๋ยู่เหลียน ฟู่เสี่ยวกวนมีเงื่อนไขเพียงหนึ่งเดียวให้แก่เขา นั่นคือให้ฝึกทั้งสองพันคนนี้ตามมาตรฐานการฝึกทหาร

“ท่านอยากจัดตั้งกองทัพอย่างนั้นรึ ? ” ซูม่อเอ่ยถาม

“ที่ซีซานในภายภาคหน้าจะกลายเป็นจุดสนใจของชาวโลก ข้าต้องเตรียมการล่วงหน้าเล็กน้อย”

“ท่านมิมีชุดเกราะหรืออาวุธ”

“ดังนั้นข้าจึงต้องการหลอมเล็ก”

“หากได้ม้าศึกมาครอบครองจะเป็นการดียิ่งนัก”

“ข้าเองก็คิด โดยเฉพาะม้าของพวกชาวฮวง เฮ้อ…อยากไปปล้นชาวฮวงจริง ๆ ”

“……”

รัชสมัยเซวียนลี่ที่ 8 เดือนเก้าวันที่สิบ กลางคืน

ศาลาเรือนหลังของซีซาน

หยูเวิ่นหวินรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งใจ สีหน้าของต่งชูหลานก็มิค่อยสู้ดี

หยูเวิ่นหวินได้รับสารลับที่มาจากเมืองหลวง และตอนนี้ก็ได้มาอยู่ในมือของฟู่เสี่ยวกวนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“เรื่องการทุจริตของการบรรเทาทุกข์ ฝ่าบาทได้ส่งให้ขุนนางระดับสูงไปตรวจสอบทั้งสี่หนทางแล้ว” เรื่องนี้จบลงด้วยพู่กันเพียงด้ามเดียว

“การประชุมครั้งใหญ่ต้นเดือนเก้าของราชสำนัก ทูตตัวแทนท่าป๋าชิวได้มาเข้าเฝ้า ฝ่าบาทประณามโดยโทสะ ตรัสว่ามิขอสานสัมพันธ์ หากชาวฮวงต้องการก่อสงคราม หากเป็นเฉกเช่นนั้นก็ย่อมได้ ! ”

“เหล่าเสนาบดียังมิทันได้เอ่ยค้าน องค์หญิงสามก็ได้บุกเข้ามาในท้องพระโรง เผชิญพระพักตร์กับฝ่าบาทและเสนาบดีอีกร้อยคน คุกเข่าลงอย่างนุ่มนวล และทูลฝ่าบาทให้อนุญาตเรื่องสมรส”

“องค์ฮ่องเต้ทรงพิโรธ สั่งให้กักขังองค์หญิงสามไว้ในจวน ห้ามก้าวออกมานอกจวนแม้แต่ครึ่งก้าว หลังจากนั้นองค์หญิงสามก็ใช้วิธีอดอาหารบีบบังคับ จนกระทั่งวันที่สามเดือนเก้า ฝ่าบาทจึงได้เรียกพบเสนาบดีทั้งหมดด้วยความโศกเศร้า มีราชโองการว่า องค์หญิงสามเป็นผู้ศึกษาใฝ่รู้ในตำรา มีจิตใจที่เมตตา เพื่อช่วยให้ราษฎรรอดพ้นจากความทุกข์จากสงคราม จึงยินยอมอภิเษกสมรสกับฮ่องเต้แคว้นฮวงท่าป๋าเฟิง เพื่อผลประโยชน์ของแคว้นทั้งสอง และเพื่อความสงบสุขตลอดไป…”

ฟู่เสี่ยวกวนคิ้วขมวดแน่น

นั่นประหลาดยิ่ง องค์หญิงสามกำลังคิดสิ่งใดอยู่กัน ?

ฝ่าบาทและเหล่าเสนาบดีเตรียมพร้อมสู้รบแล้ว แต่นางกลับเข้ามาขวาง ทั้งยังต้องการอภิเษกสมรสกับฮ่องเต้ชาวฮวงด้วยตนเอง หากนางคิดเพื่อราษฎรอย่างแท้จริง สตรีผู้นั้นค่อนข้างสูงส่งยิ่งนัก

มีเพียงวิธีนี้ที่จะหยุดความทะเยอทะยานของชาวฮวงได้เยี่ยงนั้นรึ ?

ฟู่เสี่ยวกวนมิทราบ

หยูเวิ่นหวินเองก็มิทราบ

เสด็จพี่สามหยูชิงหลานคือธิดาที่เกิดจากพระสนมเอกฉงกุ้ยเฟย โตกว่าหยูเวิ่นหวินไม่กี่วัน ทั้งสองเติบโตมาด้วยกัน จึงค่อนข้างเข้าใจกันอย่างลึกซึ้ง แต่ในตอนนี้นางต้องการสมรสกับชาวฮวง อีกทั้งดินแดนของชาวฮวงยังเป็นดินแดนที่ขมขื่นที่ยากเกินกว่าจะพรรณนา!

มิใช่ว่านางหลงรักฮั่วหวยจิ่นโอรสองค์ที่สองของฮั่วหวยจิ่นกษัตริย์แห่งเจิ้นซีมาโดยตลอดเยี่ยงนั้นรึ ?

เกิดอะไรขึ้นกับนางกัน ?

“ปีนี้องค์หญิงสามมีพระชนมายุกี่พรรษาแล้ว?” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถาม

“อายุมากกว่าข้า 23 วัน ปีนี้นางมีพระชนมายุ 16 พรรษาแล้ว”

“ข้ามิเข้าใจองค์หญิงสามผู้นั้นเลยแม้แต่น้อย เหตุที่นางยืนกรานจะอภิเษกสมรสคงมิพ้นสองจุดประสงค์นี้ ประการแรกคือมิต้องการก่อประกายสงคราม ส่วนประการที่สอง…ท่าป๋าเฟิงผู้นั้น ข้าได้ยินมาว่าเขาก็เป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยม หรือว่าพระนางจะชื่นชมบุคคลผู้นั้นจนก่อเกิดเป็นความรักกัน ? ”

หยูเวิ่นหวินคิ้วขมวดมุ่นและนิ่งคิด นางส่ายหน้าและกล่าวว่า “หากเป็นประการแรกข้าเองก็มิมั่นใจ แต่ประการที่สองมิน่าจะเป็นไปได้ เพราะเสด็จพี่สามนั้นนางมีชายในดวงใจแล้ว อย่างน้อยข้าก็ต้องรับรู้เรื่องนี้ ฮั่วหวยจิ่นโอรสองค์ที่สองของกษัตริย์แห่งเจิ้นซี ตอนนี้ได้เป็นผู้บัญชาการกองทหารม้าทางตะวันตก เป็นวีรชนวัยเยาว์ที่มีความเก่งกาจ เมื่อปีที่แล้วเสด็จพี่สามยังพูดกับข้าอยู่เลยว่าต้องอภิเษกสมรสกับเขาเท่านั้น… ยังมิทันข้ามพ้นหนึ่งปีจะเปลี่ยนความตั้งใจเดิมได้เยี่ยงไร ยิ่งไปกว่านั้นข้ายังมิเคยได้ยินเรื่องความไม่ลงรอยระหว่างพวกเขามาก่อนด้วย”

“เป็นไปได้หรือไม่ว่าฮั่วหวยจิ่นผู้นั้นมิอยากเป็นพระราชบุตรเขย ? ”

หยูเวิ่นหวินจ้องมองไปยังฟู่เสี่ยวกวน และกล่าวว่า “ฮั่วหวยจิ่นมิจำเป็นต้องขึ้นเป็นพระราชบุตรเขย เพราะเขานั้นเป็นโอรสขององค์ชายต่างสกุล องค์หญิงสามารถแต่งงานกับเขาได้”

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะเบา ๆ และถูจมูกไปมา ข้าที่เป็นเพียงบุตรชายเศรษฐีที่ดิน ฐานะของข้ากับพวกนางช่างแตกต่างกันอย่างยิ่ง

“เป็นเวลานานแล้วที่ข้าออกจากเมืองหลวงมา ข้าและชูหลานได้ปรึกษากันแล้ว และเตรียมตัวจะออกเดินทางกลับเมืองหลวงในวันรุ่งขึ้น…ข้าอยากไปสอบถามความจริงจากเสด็จพี่สาม”

จะกลับกันแล้วรึ ?

ช่วงหลายวันมานี้ถึงแม้ฟู่เสี่ยวกวนจะยุ่ง แต่ก็มีหญิงสาวทั้งสองเข้ามาหยอกล้อเป็นครั้งคราว ทำให้เขารู้สึกมีความสุขขึ้นมาได้บ้าง ยามที่ทั้งสองต้องการจะจากไปอย่างกะทันหัน มันทำให้เขาอดที่จะรู้สึกเสียดายมิได้

แต่เขาเองก็เข้าใจว่าหญิงสาวทั้งสองนั้นยังมิได้สมรสกับตน เป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งที่พวกนางทั้งสองสามารถอยู่กับเขาได้ตลอดหลายวัน วันเวลาในภายภาคหน้านั้นยังอีกยาวไกล มิจำเป็นจะต้องทำให้เรื่องมันวุ่นวาย

“เป็นความคิดที่ดี พวกเจ้ากลับไปเมืองหลวงก็รักษาสุขภาพด้วย อย่าลืมว่าพวกเจ้าต้องวิ่งออกกำลังกายทุกวันห้ามหยุด ข้าจะรอให้เรื่องทุกอย่างที่นี่เป็นไปอย่างราบรื่นเสียก่อนแล้วถึงจะเดินทางไปยังเมืองหลวง คาดว่าข้าคงจะได้เดินทางในต้นปีหน้า”

“ต่งชูหลานได้ซื้อจวนไว้ให้เจ้าเรียบร้อยแล้ว เจ้าที่เป็นเจ้าของบ้านก็หาเวลาไปดูเสียบ้าง”

ฟู่เสี่ยวกวนหันหน้ามองต่งชูหลานด้วยความประหลาดใจ นางมิเคยเอ่ยมัน “ย่อมเป็นเรื่องที่ดี เมื่อถึงเวลานั้นพวกเจ้าก็ย้ายมาอยู่ด้วยกันที่เรือนนั้นเสียสิ”

“เหอะ อย่าได้ฝันหวานไปหน่อยเลย ! ”