บทที่ 152 พบปะอีกครั้ง

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

เผยเยี่ยนกลับไม่ได้คิดมาก ตอบรับอย่างไม่อิดออด

อวี้ถังค่อยโล่งอก หยัดกายขึ้นบอกลา เตรียมจะไปน้อมทักทายท่านแม่เฒ่าก่อนกลับเรือน

เผยเยี่ยนดูคล้ายมีงานให้ทำจนล้นมือ เขากำชับอาหมิงให้พาอวี้ถังไปยังเรือนใน

ท่านแม่เฒ่ากำลังดื่มชากับสะใภ้รอง ได้ยินว่าอาหมิงพาอวี้ถังเข้ามา ก็หันไปเอ่ยกับนายหญิงรองด้วยรอยยิ้ม “ช่างประจวบเหมาะ เจ้าก็พบนางเสียหน่อย เด็กคนนี้นิสัยร่าเริงแจ่มใสทั้งไม่ประพฤตินอกลู่นอกทาง เหมาะเป็นเพื่อนอาตันทีเดียว”

นายหญิงรองให้ความเคารพแม่สามีมาโดยตลอด ได้ยินก็ขานรับ “เจ้าค่ะ” ด้วยรอยยิ้มทันที เอ่ยอย่างอบอุ่น “ข้าก็ได้ยินอาตันพูดเช่นกัน กล่าวว่าครั้งก่อนยามที่มาทำเสื้อพบกับคุณหนูอวี้ที่นี่ คุณหนูอวี้เลือกผ้าสีฟ้าครามทำเสื้อกันหนาวให้นาง ได้ฟังแล้วก็รู้สึกว่าเป็นคุณหนูที่สุขุมหนักแน่นคนหนึ่ง”

ท่านแม่เฒ่ามักเอ็นดูผู้เยาว์ คอยตุ๋นไข่ให้พวกลูกหลานกิน นั่นถือเป็นความรักและเมตตาของท่านแม่เฒ่า พวกนางที่เป็นผู้น้อยกลับไม่อาจดีใจจนลืมตัว ไม่เคารพกฎเกณฑ์ กินเนื้อดื่มแกงสวมเสื้อผ้าสีสันสดใสอย่างจริงจังได้

อาตันของพวกเขานั้นอายุน้อยที่สุด ตั้งแต่เล็กก็เติบโตมากับพวกเขา ความคิดบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ทุกครั้งที่อาตันและพี่สาวพวกนั้นออกจากเรือน นางก็มักกังวลใจ กลัวว่าอาตันจะทำเรื่องอะไรไม่เหมาะสมออกมา ทุกครั้งล้วนต้องกำชับสาวใช้ข้างกายเผยตันให้จับตามองนางดีๆ

หากข้างกายของเผยตันมีคนอย่างคุณหนูอวี้อยู่ โอกาสที่จะเกิดเรื่องวุ่นวาย ย่อมมีน้อยลง

ขณะที่ทั้งสองพูดคุยกัน อวี้ถังก็เดินเข้ามาโดยมีเฉินต้าเหนียงคอยนำทาง

ในห้องมีคนแปลกหน้าคนหนึ่ง

อวี้ถังอดมองพินิจนายหญิงรองเผยด้วยความสงสัยไม่ได้

อายุประมาณยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปด ใบหน้าทรงลูกท้อ คิ้วเรียงดั่งใบหลิว สวมชุดผ้าหังโจวสีขาวปักลายน้ำและดอกไม้ นั่งอย่างงามสง่าอยู่ตรงนั้น ไม่ทันพูดอะไรก็เผยรอยยิ้มออกมาก่อน ใบหน้าที่เคร่งขรึมแฝงด้วยความอ่อนโยน คล้ายกับพี่สาวข้างบ้านที่พาให้คนรู้สึกอยากเข้าใกล้

“นี่คือนายหญิงรอง มารดาของคุณหนูห้า” ท่านแม่เฒ่าแนะนำนายหญิงรองให้อวี้ถังรู้จัก

อวี้ถังรีบก้าวเข้ามาคำนับ

นายหญิงรองยื่นมือมาพยุงอวี้ถัง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่รู้ว่าวันนี้คุณหนูอวี้จะเข้ามา ไม่ได้ตระเตรียมของขวัญอะไร…” ขณะที่พูด นางก็ครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะดึงปิ่นดอกชงโคประดับเปลือกหอยออกมาจากศีรษะ ยื่นให้อวี้ถัง “ถือเสียว่าเป็นของขวัญที่พบหน้ากัน ขอคุณหนูอวี้อย่าได้ถือสา”

ปิ่นดอกชงโคนั้นทำได้อย่างประณีต กระทั่งเกสรยังฝังอัญมณีสีขาวขนาดเท่าเม็ดงา มองพริบตาเดียวก็รู้แล้วว่าไม่ใช่ของธรรมดา

อวี้ถังลอบโอดครวญในใจ

นายหญิงคุณหนูของสกุลเผยพวกนี้นิสัยไม่แย่ ทว่าของขวัญน้ำใจกลับมากเกินไปหน่อยแล้ว

ก็ไม่รู้ว่ายามใดนางจะร่ำรวยได้เสียที

“ขอบคุณนายหญิงรองอย่างยิ่ง” อวี้ถังรับไว้ด้วยรอยยิ้ม นั่งลงบนเก้าอี้ทรงกลมตามการเชื้อเชิญของท่านแม่เฒ่า ก่อนจะเป็นฝ่ายเอ่ยเรื่องของจวนสกุลเผยขึ้นมา “ข้าได้ยินว่าก่อนหน้านี้สกุลหลี่ขนย้ายเงินกลับมาหลายคันรถ คิดว่าหากเรื่องนี้แพร่ออกไป อาจจะกระทบกับชื่อเสียงของเมืองหลินอัน จึงเข้ามาพูดคุยเรื่องนี้กับนายท่านสามเสียหน่อย”

ไม่ว่าจะพูดอย่างไรหลี่อี้ก็เป็นขุนนางที่มาจากหลินอัน หากเขาชื่อเสียงเสื่อมเสีย ย่อมกระทบมาถึงคนเมืองหลินอันด้วย แต่ว่านี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่อวี้ถังควรกังวลใจ ทั้งวิ่งมาบอกเผยเยี่ยนยิ่งไม่สมควรไปใหญ่

ท่านแม่เฒ่าไม่ยินดีนัก แต่ก็ไม่ได้มองอวี้ถังในแง่ลบเพราะเรื่องนี้ อย่างไรนางและอวี้ถังก็เพิ่งรู้จักกันไม่นาน บางทีคุณหนูผู้นี้อาจจะพลั้งเผลอทำเรื่องผิดพลาดไปบ้างเท่านั้น?

“นายท่านสามว่าอย่างไรบ้าง” นางเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง

อวี้ถังกลับอยากบอกเรื่องที่แม่เฒ่าสงสัยใคร่รู้จนหมด แต่เห็นได้ชัดว่าท่านแม่เฒ่าไม่ใช่สตรีที่อยู่ในห้องหับทั่วไป หากพูดออกมาตามตรง ท่านแม่เฒ่าย่อมคิดว่านางยุ่งไม่เข้าเรื่องหรืออาจจะหาข้ออ้างมาพบนายท่านสาม ยังมิสู้ถามอะไรก็ตอบอย่างนั้น เมื่อเวลาผ่านไป ท่านแม่เฒ่าก็จะรู้เองว่านางเป็นคนอย่างไร เช่นนี้จะสามารถทำให้ท่านแม่เฒ่าสบายใจกว่า

“นายท่านสามบอกว่าเขาทราบแล้ว” อวี้ถังเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าคิดว่าไม่ได้พบท่านหลายวันแล้ว จึงเข้ามาน้อมทักทายเสียหน่อย”

ท่านแม่เฒ่าหัวเราะ คิดว่านางก็ยังคงเป็นเด็กสาวคนหนึ่ง แม้จะวางตัวทำเรื่องเหมาะสมเพียงใดก็ย่อมมีจุดที่พลาดพลั้งบ้างอยู่ดี นางเห็นอวี้ถังเผยท่าทีน่ารักไร้เดียงสา พลันรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง อดสั่งสอนนางไม่ได้ “ภายหลังพบเรื่องเช่นนี้ ก็ให้บิดาของเจ้ามาพบท่านสาม เขาเป็นคนพูดจะเหมาะสมกว่า”

อวี้ถังคิดว่าโอกาสของนางมาถึงแล้ว ละล่ำละลักเอ่ย “ก่อนหน้านี้ข้าก็อยากให้ท่านพ่อมาพูดกับนายท่านสาม แต่หลายวันมานี้ท่านพ่อยุ่งตัวเป็นเกลียว…ไม่กี่วันก่อนมิใช่ว่าหลี่ตวนต้องการขายที่นาปลูกข้าวปี้จิงของพวกเขาส่วนหนึ่งหรอกรึ? ท่านพ่อและนายท่านอู๋เพื่อนบ้านพวกเราจึงร่วมลงเงินซื้อด้วยกัน สัญญาขายที่เพิ่งมาถึงมือ หลายวันมานี้ท่านพ่อและนายท่านอู๋แทบอยู่ไม่ติดเรือน มัวแต่ยุ่งวุ่นวายกับเรื่องนี้! ข้าไม่อาจรบกวนพวกเขา ยามนี้จึงได้มาหานายท่านสาม” พูดจบ นางก็ยอมรับผิดแต่โดยดี “หลังจากท่านแม่เฒ่าพูด ข้าก็รู้แล้วว่ากระทำเรื่องไม่สมควรเกินไป ภายหลังข้าจะไม่ทำเช่นนี้แล้วเจ้าค่ะ”

พูดจบก็ทำท่าทางราวกับสาบาน

นายหญิงรองเม้มริมฝีปากแย้มยิ้ม

ท่านผู้เฒ่ากลับชะงักไปเล็กน้อย “เจ้าว่าอะไรนะ? สกุลหลี่ขายที่นาส่วนตัวห้าสิบหมู่! เจ้ารู้ไหมว่าขายหมู่ละเท่าใด?”

อวี้ถังเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เห็นว่าหนึ่งหมู่สี่สิบตำลึง สองวันก่อนท่านพ่อและนายท่านอู๋ไปเขียนสัญญา ยังกลัวว่าสกุลหลี่จะสร้างความลำบากให้ จึงเชิญนายท่านสามออกหน้าช่วยแก้ไขเรื่องชลประทาน ท่านพ่อและนายท่านอู๋ซาบซึ้งใจนายท่านสามอย่างยิ่ง ยังกล่าวว่าอีกไม่กี่วันจะไปวัดจุดธูปทำบุญแทนนายท่านสาม ขอพระโพธิสัตว์อวยพรให้นายท่านสามสุขกายสบายใจ อายุยืนยาวนับร้อยปี!”

ยามนี้ ท่านแม่เฒ่าและนายหญิงรองต่างพากันหัวเราะลั่นขึ้นมา ท่านแม่เฒ่าหัวเราะจนน้ำหูน้ำตาไหล รับผ้าเช็ดหน้าจากมือสาวใช้มาเช็ดน้ำตา เอ่ยขึ้นไปพลาง “เขาอายุยังน้อย จุดธูปขอพรอะไรกัน? ระวังอย่าทำเรื่องเกินงามจนขัดโชคขัดลาภเขาเสียล่ะ”

อวี้ถังเผยสีหน้าละอายใจ

เผยเยี่ยนผู้นี้ ครั้งแรกที่พบเขามักจะถูกรูปลักษณ์ทำให้สับสนมึนงง เมื่อคลุกคลีนานวันเข้า ก็จะถูกท่าทีองอาจน่ายำเกรงของเขาข่มไว้ ไม่ว่าจะเป็นอย่างหน้าหรืออย่างหลัง ล้วนทำให้ผู้คนพลั้งมองข้ามอายุของเขาไปได้ง่าย

“เช่นนั้น เช่นนั้นข้ากลับไปจะบอกกับท่านพ่อ” นางเอ่ยต่อ “ให้ท่านพ่อหาของอย่างอื่นมาขอบคุณนายท่านสาม”

“ไม่ต้องเอาอะไรมาทั้งนั้น” ใบหน้าของท่านแม่เฒ่ายังเผยรอยยิ้มหลังจากหัวเราะเมื่อครู่ “เขาก็ไม่ได้ขาดเหลืออะไร อีกอย่าง ในเมื่อเขาเป็นผู้นำสกุล ก็ควรดูแลปกป้องเพื่อนบ้าน มีอะไรให้ต้องขอบคุณมากมายกัน” ขณะที่พูด นางก็เริ่มเอ่ยถึงเรื่องปีนั้นที่ท่านผู้เฒ่าเผยช่วยเหลือคนบ้านใกล้เรือนเคียง

นี่เกรงว่าจะเป็นความทรงจำที่ยากจะลบเลือนของท่านแม่เฒ่าที่มีต่อสามี

อวี้ถังฟังอย่างเคารพนอบน้อม หางตากลับเหลือบเห็นสาวใช้คนหนึ่งชะโงกศีรษะผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ด้านนอก

ประเด็นแรกนางไม่อยากขัดความทรงจำอันสวยงามของท่านแม่เฒ่า ประเด็นที่สองนางเป็นเพียงแขกคนหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องตื่นตระหนกตกใจอะไร

อวี้ถังนั่งอย่างสงบเสงี่ยมอยู่ตรงนั้น

สาวใช้ผู้นั้นกลับยื่นศีรษะเข้ามาอย่างร้อนรนอีกครั้ง ท้ายที่สุดก็ถูกนายหญิงรองพบเข้า

นายหญิงรองส่งสายตาให้สาวใช้ข้างกาย สาวใช้ผู้นั้นจึงเดินออกไปอย่างเงียบเชียบ ไม่นานนัก ก็ย้อนกลับมาด้วยฝีเท้าแผ่วเบา กระซิบข้างหูนายหญิงรอง นายหญิงรองมองไปทางท่านแม่เฒ่า รอจนท่านแม่เฒ่ากล่าวจบ ยกถ้วยชาขึ้นดื่ม จึงค่อยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ นายหญิงเสิ่นมาขอเข้าพบท่าน”

“นายหญิงเสิ่น?” ท่านแม่เฒ่าถามอย่างฉงน “นายหญิงเสิ่นคนไหน?”

นายหญิงรองเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นายหญิงที่อยู่เรือนของเสิ่นซ่านเหยียน อาจารย์เสิ่นที่สอนอยู่สำนักศึกษาประจำอำเภอของพวกเราอย่างไรเจ้าคะ”

ท่านแม่เฒ่าฟังแล้วกลับขมวดคิ้ว “นางมาทำอะไร? ไฉนไม่ส่งเทียบเชิญมาก่อน”

ทำท่าราวกับไม่อยากพบนายหญิงเสิ่น

อวี้ถังอดทำหูตั้งไม่ได้

อาจารย์เสิ่นอยู่ที่หลินอันคนเดียวมาหลายปี ไม่รู้ว่านายหญิงของเขาเป็นคนอย่างไร? ทั้งไม่รู้ว่านายหญิงเสิ่นผู้นั้นและท่านแม่เฒ่ามีอะไรเกี่ยวข้องกัน?

นายหญิงรองกลับเอ่ยอย่างอารมณ์ดี “ครั้งก่อนไม่ใช่ท่านป้ากล่าวว่ามีของจะให้ท่านหรอกรึ? คงจะฝากนายหญิงเสิ่นมากระมัง ข้าคิดว่านายหญิงเสิ่นอาจจะมาส่งของ นึกว่าท่านทราบแล้ว จึงไม่ได้ส่งเทียบเชิญเข้ามาก่อน” ทั้งยังเอ่ยต่อ “จะว่าไปแล้วนายหญิงเสิ่นก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล จึงไม่ได้เห็นท่านเป็นคนนอก”

ท่านผู้เฒ่าแค่นเสียงอย่างดูแคลนอยู่บ้าง “ให้นางเข้ามาเถิด!”

นายหญิงรองหยัดกายขึ้นไปต้อนรับด้วยตัวเอง

อวี้ถังรีบลุกขึ้นบอกลา

ท่านแม่เฒ่ากลับรั้งนางไว้ “นางพูดไม่กี่คำก็จะไปแล้ว ข้ายังมีเรื่องอยากถามเจ้า”

อวี้ถังจึงไม่อาจบอกลาได้อีก หยัดกายขึ้นช่วยรับถ้วยชาจากท่านแม่เฒ่า

ก่อนนายหญิงรองจะพาทั้งสองคนเดินเข้ามา

อวี้ถังเงยศีรษะมอง แทบจะเผลอทำกาชาหลุดจากมือ

คิ้วเรียวงาม ดวงตาสุกสกาวนั้น ไม่ใช่กู้ซียังจะเป็นใครได้อีก?

ชั่วขณะนั้นใจของนางก็เต้นระรัวขึ้นมา

ชาติก่อน นางกลับไม่เคยได้ยินว่ากู้ซีและสกุลเผยมีความเกี่ยวข้องอะไรกัน ทั้งไม่เคยเห็นกู้ซีมาเยี่ยมเยือนท่านแม่เฒ่าที่สกุลเผยมาก่อน เหตุใดนางมีชีวิตในชาตินี้ เรื่องราวทั้งหมดกลับตาลปัตรเช่นนี้ล่ะ?

พักเรื่องการเปลี่ยนแปลงของเจียงหลิงไว้ก่อน แต่ไฉนกู้ฉ่าง กู้ซีสองพี่น้องก็เข้ามาอยู่ในเรื่องราวเช่นนี้ด้วยเล่า!

ดีที่สายตาของคนในห้องล้วนพุ่งเป้าไปที่กู้ซีและนายหญิงเสิ่นที่เข้ามาพร้อมกับนาง ไม่มีใครพบความผิดปกติของอวี้ถัง แม้จะเป็นกู้ซี ก็เพียงเหลือบมองอวี้ถังแวบเดียวเท่านั้น ใบหน้าปรากฏท่าทีตกตะลึงวาบผ่านไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะก้มหน้าก้มตา คุกเข่าคำนับน้อมทักทายท่านแม่เฒ่าพร้อมกับนายหญิงเสิ่น

ท่านแม่เฒ่าเผยรอยยิ้มบาง มองไม่เห็นท่าทีตำหนิเมื่อครู่แม้แต่น้อย รอจนทั้งสองคนหยัดกายขึ้นนั่ง ก็ฉวยโอกาสยามที่พวกสาวใช้ยกของว่างน้ำชา เอ่ยถามกู้ซี “เจ้าคือลูกสาวคนโตบ้านรองสกุลกู้ น้องสาวของกู้เจาหยางกระมัง?”

เห็นได้ชัดว่าท่านแม่เฒ่าเคยได้ยินเรื่องของกู้ซีผู้นี้มาก่อน

กู้ซีละล่ำละลักหยัดกายขึ้นตอบคำถาม กลับถูกท่านแม่เฒ่ารั้งไว้เสียก่อน “นั่งลงพูดคุยเถิด ข้าและสกุลเดิมของแม่เจ้าเป็นญาติทางการแต่งงาน เจ้าไม่จำเป็นต้องมากพิธีกับข้าที่นี่”

กู้ซีแย้มยิ้ม นั่งลงอย่างเชื่อฟัง

แต่อวี้ถังที่รู้นิสัยนาง กลับรู้สึกว่านางลอบโล่งอกอยู่ในใจ

มาเข้าพบผู้ใหญ่เท่านั้น นางมีอะไรให้ตื่นเต้นกัน

อวี้ถังลอบสำรวจกู้ซีอย่างเงียบเชียบ

ท่านแม่เฒ่าไถ่ถามกู้ซีอยู่เนิ่นนาน แม้กู้ซีจะตอบได้อย่างเหมาะสม กลับแฝงท่าทีระแวดระวัง นี่ทำให้อวี้ถังยิ่งรู้สึกว่ากู้ซีมาด้วยจุดประสงค์อะไรบางอย่าง

ท่านแม่เฒ่าถามเสร็จ ก็แนะนำอวี้ถังให้กับนายหญิงเสิ่นและกู้ซี ยังเอ่ยอย่างถือหางว่าอวี้ถังเป็นลูกหลานคนหนึ่งของนาง กลับไม่ได้บอกอย่างละเอียดว่าอวี้ถังเป็นคุณหนูของสกุลใด

กู้ซีและนายหญิงเสิ่นต่างก็ทักทายเป็นพิธี

นายหญิงเสิ่นดูแล้วเหมือนอายุประมาณสี่สิบกว่าปี รูปร่างซูบเซียว สวมเสื้อคลุมสีครามลายดอกไม้ธรรมดา ปักปิ่นทองสองด้ามเหนือศีรษะ สวมกำไลทองคู่หนึ่งในมือ จากตำแหน่งฐานะของนางแล้ว นับว่าแต่งตัวเรียบง่ายอยู่ไม่น้อย บางทีอาจเป็นเพราะท่าทีเคร่งขรึมของนาง หรือเพราะได้รับความนัยจากท่านแม่เฒ่าเมื่อครู่ แม้ว่านางจะต้อนรับอวี้ถังด้วยความเกรงใจ แต่อวี้ถังยังคงรู้สึกว่าใบหน้านางกระด้างกระเดื่องอยู่บ้าง ไม่ใช่คนที่คบค้าสมาคมง่ายเท่าใด

กู้ซีกลับพาให้นางรู้สึกคาดไม่ถึงอยู่บ้าง

ชาติก่อน กู้ซีเป็นคุณหนูที่มีชื่อเสียงเรื่องกิริยางดงามเรียบร้อย แต่ชาตินี้พวกนางพบกันครั้งแรก กู้ซีก็เอ่ยถามนางด้วยรอยยิ้มซุกซนเสียแล้ว “ปีนี้เจ้าอายุเท่าใดแล้ว? ข้าต้องเรียกเจ้าว่าน้องหรือพี่กัน?”

เป็นมิตรจนแทบไม่เหมือนกับนางในชาติก่อนอย่างสิ้นเชิง