บทที่ 132: อลิเซียผู้เฝ้ามอง

ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END

บทที่ 132: อลิเซียผู้เฝ้ามอง

“พี่ใหญ่โรเอล คืนนี้หนูขอนอนกับพี่จะได้ไหม?”

“เอ๋? … นั่นไม่น่าจะดีเท่าไหร่นะ”

หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จ อลิเซียได้หันไปมองโรเอลด้วยแววตาอันน่าสงสาร ทำให้พี่ชายของเธอต้องตกที่นั่งลำบาก

ช่วงสองปีที่ผ่านมานี้ ด้วยการยืนกรานของอลิเซีย ทำให้งานป้อนอาหารของโรเอลค่อย ๆ เลือนหายไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงจุดที่ไม่มีมันอีกต่อไป ซึ่งเป็นสิ่งที่โรเอลคาดเอาไว้อยู่ก่อนแล้วว่ามันจะต้องเกิดขึ้นเมื่ออลิเซียอายุได้ 10 ขวบ

บนโลกนี้พลังเวทในบรรยากาศไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสัตว์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงมนุษย์ด้วยเช่นกัน ส่งผลให้มนุษย์เติบโตเต็มที่ตั้งแต่อายุยังน้อย วัย 14 ปีจึงถือเป็นอายุผู้ใหญ่ และสามารถแต่งงานได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย หากอิงจากมาตรฐานดังกล่าวแล้ว เด็กในวัยเดียวกันกับอลิเซียถือว่าไม่ใช่วัยที่จำเป็นต้องคอยดูแลอีกต่อไป

อย่างไรก็ตามโรเอลเริ่มได้รับคำขอแปลก ๆ มากมายจากเธอ หนึ่งในนั้นก็คือการที่อลิเซียมักจะเข้ามานอนซุกในผ้าห่มของเขา โดยมักจะใช้เหตุผลเดิม ๆ สามอย่าง

“ฮือ พี่ใหญ่โรเอล เรื่องราวในหนังสือเล่มนี้น่ากลัวมาก!”

“พี่ใหญ่โรเอล หนูฝันร้าย”

“พี่ใหญ่โรเอล หนูคิดถึงพี่เหลือเกิน”

อย่างน้อย ๆ สองข้อแรกก็ดูมีเหตุผลอยู่บ้าง แต่ข้อที่สามนั้นมีเพียงความต้องการของอลิเซียล้วน ๆ เลยจริง ๆ

แน่นอนว่าโรเอลต้องปฏิเสธเธอ

ตอนนี้เขามีอายุได้ 12 ปีแล้ว นั่นหมายความว่าร่างกายของโรเอลเริ่มเติบโตขึ้นเป็นผู้ชายวัยรุ่น มันจึงไม่เหมาะสมสำหรับเขาที่จะปฏิบัติต่ออลิเซียต่อไปแบบเดียวกับที่เขาเคยทำในอดีต

อย่างไรก็ตามการพูดนั้นย่อมง่ายกว่าลงมือทำ ทุกครั้งที่โรเอลแสดงเจตจำนงที่จะปฏิเสธอลิเซีย เด็กสาวผมสีเงินก็จะร้องไห้ออกมาทุกครั้งไป

“พี่ใหญ่โรเอลไม่ชอบหนูแล้วงั้นเหรอ? หนูคงมารบกวนพี่สินะ”

ภาพอลิเซียที่ร้องไห้ออกมาอย่างน่าสงสารทำให้โรเอลรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังบีบหน้าอกของเขาจนหายใจไม่ออกทุกครั้ง มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขารู้สึกว่าหากตนเองยังสนใจอลิเซียแบบนั้นต่อไปคงไม่ดีแน่ เด็กชายจึงรวบรวมความมุ่งมั่นทั้งหมดของตนไล่เธอออกจากห้องไป

ทว่าหลังจากนั้นทั้งคืน ทันทีที่โรเอลหลับตาลงภาพของเด็กสาวผมเงินที่กำลังเช็ดน้ำตาของเธอด้วยความเศร้าโศกก็คอยหลอกหลอนเด็กชาย ทำให้เขานอนไม่หลับพลิกตัวไปมาทั้งคืน

วินาทีนั้นเองที่โรเอลตระหนักได้ว่าเขานั้นไม่สามารถปฏิเสธอลิเซียที่กำลังร้องไห้ได้

แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าโรเอลจะอนุญาตให้อลิเซียทำตามที่เธอต้องการต่อไปได้ ด้วยเอกลักษณ์ทางสายเลือดของอลิเซีย ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ร่างกายของเธอจึงเติบโตขึ้นอย่างสวยงามมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือพวกเขาทั้งสองคนไม่มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือด ทำให้ไม่มีอะไรมายืนยันว่าจะไม่มีบางอย่างเกิดขึ้นหากพวกเขาใช้เตียงร่วมกัน

“อลิเซีย ตอนนี้เธอโตแล้ว พี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะสมเท่าไหร่ที่พวกเราจะนอนด้วยกัน”

โรเอลครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดคำนี้ออกมา ซึ่งอลิเซียก็ตอบกลับด้วยการจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีทองของโรเอลอย่างเงียบ ๆ แล้วจึงถามอย่างแผ่วเบา

“เป็นเพราะพี่ใหญ่โรเอลมีคู่หมั้นแล้วเหรอคะ?”

“หืม? มันเกี่ยวอะไรกับที่ฉันมีคู่หมั้น?”

“หนูเป็นแค่น้องสาวบุญธรรมของพี่ ต่างจากคุณชาร์ล็อตที่เป็นคู่หมั้น เธอคือคนที่จะอยู่กับพี่ใหญ่ไปตลอดชีวิต…”

อลิเซียพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ ก่อนจะสูดหายใจเข้าลึก ๆ สองครั้งหันศีรษะหนีออกจากโรเอลที่กำลังตกตะลึง ราวกับพยายามซ่อนความอ่อนแอของเธอต่อ

โรเอลจ้องไปที่เด็กสาวผมสีเงินตรงหน้าเขา ทันใดนั้นเด็กชายก็ตระหนักว่าตนเองจดจ่ออยู่กับการถอนเดธแฟล็กของชาร์ล็อตจนทำให้ละเลยอลิเซีย หากเธอเป็นฝ่ายที่มีคู่หมั้นแทนล่ะก็ โรเอลคงจะอาละวาดไปแล้ว แค่คิดว่าชายคนหนึ่งเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอลิเซียโดยไม่เต็มใจก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ไฟแห่งความเดือดดาลลุกโชนในตัวเขา

อย่างที่คิดไว้จริง ๆ การแต่งงานทางการเมืองมันเป็นพิษ เป็นมะเร็งร้ายของสังคม! การแต่งงานควรมาจากการรวมตัวของคนสองคนที่รักกัน! เราจะไม่ยอมให้อลิเซียต้องทนกับความอยุติธรรมเช่นนั้นเด็ดขาด! อย่างน้อย ๆ ก็ต้องทำให้แน่ใจว่าอลิเซียจะได้รับอิสระในการหาคู่ครองที่เธอชอบ…

… ถึงแม้ว่าชายคนนั้นจะต้องผ่านการประเมินของโรเอลก่อน จึงจะได้รับอนุญาตให้คบกับอลิเซียได้ก็เถอะ

โรเอลรีบสะบัดความคิดฟุ้งซ่านออกด้วยการกระแอมไอ เขาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะละสายตาจากความจริงโดยบอกตัวเองว่านี่คือหน้าที่ของตนในฐานะพี่ชาย!

ไม่ว่าในกรณีใด นี่ทำให้เด็กชายหันกลับมาสนใจอลิเซีย และถอนหายใจเบา ๆ กับตัวเอง ในท้ายที่สุดความรู้สึกของเขามีชัยเหนือเหตุผล

“ก็ได้ แต่ขอพูดให้ชัดเจนก่อนว่า ในอนาคตฉันจะอนุญาตให้อย่างน้อยเพียงแค่เดือนละครั้งเท่านั้นนะ”

ทันทีที่โรเอลพูดคำเหล่านี้ รอยยิ้มก็กลับมาที่ใบหน้าของอลิเซีย เธอกระโดดขึ้นจากเก้าอี้โถมเข้าไปในอ้อมกอดของโรเอล

“ขอบคุณมากค่ะ พี่ใหญ่โรเอล!”

“ฮ่า ๆ เธอโตแล้วแท้ ๆ แต่ก็ยังทำตัวเป็นเด็กได้อีกนะ”

“อายุไม่ได้เป็นปัญหาหรอกค่ะ มันเป็นเรื่องปกติของผู้หญิงอยู่แล้วที่จะทำตัวเหมือนเด็กต่อหน้าคนที่พวกเธอชอบ”

“อืม อย่างนั้นหรอกเหรอ”

โรเอลอดไม่ได้ที่จะเขินจนหน้าแดงไปกับคำพูดของอลิเซีย พลางรู้สึกจั๊กกะจี้หัวใจ

หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จ ทั้งสองก็เดินจูงมือกันไปที่ห้องสมุด ใช้เวลาอ่านหนังสือและพูดคุยกันอย่างสบาย ๆ นับจากที่ย้ายมาอยู่ในโลกนี้ การอ่านหนังสือก็กลายมาเป็นงานอดิเรกของโรเอล เนื่องจากมันไม่มีอะไรดีไปกว่าการอ่านหนังสือเพื่อบรรเทาความเบื่อหน่าย นอกจากนี้ตั้งแต่ที่เขาได้รับคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดมงกุฎมา งานอดิเรกธรรมดา ๆ นี้ก็ได้กลายมาเป็นวิธีการที่จะทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น

การเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์เป็นหนึ่งในวิธีการพัฒนาคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดมงกุฎ ถึงแม้ว่ามันจะช้ามากก็ตาม

ช่วงสองปีที่ผ่านมาโรเอลได้เรียนรู้เกี่ยวกับวิธีในการพัฒนาคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดมงกุฎ นั่นก็คือเขาต้องได้อ่านบันทึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่ถูกต้อง เพื่อที่จะดูดซับพลังเวทจำนวนมหาศาลเข้าสู่ร่างกาย และเพิ่มระดับความเข้ากันกับพลังเวทของเขา โดยผลกระทบดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นอีกหากโรเอลได้อ่านเกี่ยวกับสงคราม การเมือง ราชวงศ์ และหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับคนหมู่มาก

ยิ่งเหตุการณ์สำคัญมากเท่าไหร่ พัฒนาการของคุณสมบัติแก่นต้นกำเนิดมงกุฎก็จะยิ่งทวีคูณมากขึ้นเท่านั้น

อย่างไรก็ตามหากเป็นประวัติศาสตร์ปลอม ผลก็จะขึ้นอยู่กับการเรียบเรียงเขียนขึ้นมา แต่พลังเวทที่ดูดซับได้จะน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด ราว ๆ 30% หากเทียบกับประวัติศาสตร์ที่แท้จริง

หรือก็คือยิ่งประวัติศาสตร์ถูกบิดเบือนไปมากเท่าไหร่ ประสิทธิภาพก็จะลดลงไปเท่านั้น หากบันทึกประวัติศาสตร์นั้นเต็มไปด้วยเรื่องโกหก มันก็จะไม่ได้ส่งผลอะไรต่อคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดมงกุฎเลย

นี่ทำให้โรเอลเข้าใจถึงเหตุผลที่ทำให้บรรพบุรุษของเขาต้องออกไปผจญภัยในที่ต่าง ๆ เป็นไปได้ว่าพวกเขาเจอแต่ประวัติศาสตร์ปลอม ๆ ในบันทึก ทำให้การพัฒนาคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดของพวกเขาพัฒนาช้าลงไปเรื่อย ๆ จนพวกเขาทนไม่ไหวและตัดสินใจที่จะตามหาความจริงด้วยตัวเอง

โชคดีที่ระดับคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดของโรเอลยังต่ำอยู่ อีกทั้งบรรพบุรุษของเขายังได้ทิ้งบันทึกประวัติศาสตร์เอาไว้เป็นจำนวนมาก ประกอบกับหนังสือมากมายที่เขาได้ลักลอบคัดลอกมาจากหอสมุดหลวงในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นโรเอลจึงมีหนังสือประวัติศาสตร์มากมายให้อ่าน

“พี่ใหญ่โรเอลคิดอย่างไรกับหนังสือเล่มนี้คะ? หนูว่ามันดูน่าสนใจมากเลยนะ”

อลิเซียที่ถูกปลูกฝังนิสัยรักการอ่านจากโรเอลตลอดช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ได้หยิบหนังสือที่มีชื่อว่า ความลับของชนเผ่าทะเล เพียงแค่ชื่อก็เพียงพอแล้วที่จะปัดเป่าความสนใจของโรเอลออกไป

“บันทึกทางประวัติศาสตร์สินะ แต่ดูยังไงก็น่าจะเป็นเรื่องปลอม อย่าไปเสียเวลาอ่านมันเลย พี่ไม่รู้สึกถึงอะไรตอนอ่านมัน”

โรเอลพูดราวกับว่ากำลังเสียดสี

หนังสือความลับของชนเผ่าทะเล มีการคาดเดาเป็นแกนหลัก ดังนั้นมันจึงแทบจะไม่มีเนื้อหาที่เป็นรูปธรรมอยู่ภายในเลย แทนที่จะเรียกว่าบันทึกทางประวัติศาสตร์ เรียกว่านวนิยายแนวแฟนตาซี-สยองขวัญยังดูเหมาะสมกว่าเสียด้วยซ้ำ

“อย่างนั้นเหรอคะ? ชนเผ่าทะเลเป็นเพียงแค่ตำนานปรัมปราเหรอเนี่ย?”

การประเมินของโรเอลทำให้ความสนใจของอลิเซียลดลงไปเป็นอย่างมาก เด็กสาวพลิกดูหน้ากระดาษด้วยความรู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่จินตนาการของเธอกลายเป็นเพียงเรื่องสมมติ น่าแปลกที่พี่ชายของเธอส่ายหัวแทนคำตอบ

“ไม่หรอก ชนเผ่าทะเลมีอยู่จริง เคยมีบันทึกการพบเห็นพวกเขาที่หมู่เกาะทางเหนือ”

“อา? จริงเหรอคะ? นางเงือกมีรูปร่างสวยงามเหมือนในนิทานที่พี่ใหญ่เคยพูดถึงรึเปล่าคะ? ”

โรเอลนึกถึงนิทานที่เขาเคยเล่าให้อลิเซียฟัง และรีบถอนคำพูดของเขาโดยเร็ว

“เรื่องราวเหล่านั้นที่พี่เคยเล่าให้เธอฟังมันถูกปรุงแต่งขึ้นมาอีกทีน่ะ จริง ๆ แล้วชนเผ่าทะเลไม่ได้สวยงามขนาดนั้น พวกมันมีนิสัยดุร้าย และถือได้ว่าเป็นสายพันธุ์โบราณในทวีปเซีย ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากที่พวกเราจะเห็นพวกมันในอนาคต”

โรเอลนึกถึงบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่เขาเคยอ่าน และบทสนทนาที่เขาคุยกับกรันด้า พลางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลก ๆ เกี่ยวกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปมากมายจากสมัยก่อน

ตามคำบอกเล่าของกรันด้า ในยุคของเขา นางเงือกและสายพันธุ์ที่คล้ายกันนั้นเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไป ครั้งหนึ่งกรันด้าเองก็เคยได้พบนางเงือกตัวที่ชายทะเล ส่วนคำว่า ชนเผ่าทะเลนั้นถือเป็นคำอ้างอิงที่ครอบคลุมถึงสิ่งมีชีวิตที่มีภูมิปัญญาทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในทะเล โดยหมวดหมู่กว้าง ๆ นี้สามารถแบ่งออกหลากหลายสายพันธุ์ ลักษณะเด่นของชนเผ่าทะเลก็คือพวกเขาค่อนข้างยึดมั่นในอาณาเขตของตนเอง ทำให้พื้นที่ส่วนใหญ่ในทะเลของยุคนั้นล้วนมีผู้ปกครองควบคุมดูแลอยู่

พลังของชนเผ่าทะเลไม่ใช่อะไรที่ควรมองข้าม ในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ว่ากันว่าสัตว์บางตัวก็มีพลังอำนาจเทียบเคียงได้กับเทพเจ้า ทำให้มันเป็นสถานที่ที่อันตรายกว่าโลกบนบกมาก

อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาผ่านไป ชนเผ่าทะเลก็ค่อย ๆ เลือนหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ เนื่องจากมนุษยชาติไม่สามารถเดินทางออกไปสำรวจดินแดนฝั่งตะวันตกของทวีปเซียได้ หลังจากการอพยพเมื่อพันปีที่แล้ว การสำรวจมหาสมุทรจึงเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

“เข้าใจแล้วค่ะ เอ๋? นี่มันอะไร?”

อลิเซียที่กำลังพลิกหน้าหนังสืออ่านไปอย่างสบาย ๆ พลางฟังคำอธิบายของโรเอล ได้หยุดลงที่หน้าหนึ่งของหนังสือ จากนั้นก็ค่อย ๆ ดึงซองจดหมายที่แนบอยู่ระหว่างหน้ากระดาษออกมาด้วยความสงสัย

เด็กสาวหันไปทางโรเอลโดยไม่ตั้งใจ เอามือคล้องคอวางคางของเขาไว้บนไหล่ของเธอ ก่อนจะเริ่มอ้างสิทธิ์การค้นพบด้วยเสียงที่ราวกับกำลังเยาะเย้ย

“พี่ใหญ่ ดูสิ่งที่หนูเจอสิ”

“หืม? ซองจดหมายงั้นเหรอ? เธอไปเอามันมาจากที่ไหนกัน?”

“มันถูกซ่อนเอาไว้ระหว่างหน้าหนังสือที่พี่บอกว่าเป็นของปลอมน่ะ ดูเหมือนว่ามันจะเก่าแก่มากเลยทีเดียวนะคะ”

“แน่นอนสิ กระดาษมันเก่าจนกลายเป็นสีเหลืองแล้ว”

โรเอลประเมินซองจดหมายในมือของอลิเซียก่อนจะพยักหน้า เขาหยิบมันออกมาจากมือของเธออย่างระมัดระวังแล้วยกขึ้นเผื่ออ่านมันผ่านแสง

“กระดาษหนาพิเศษกันการอ่านด้วยแสงส่อง และเปลี่ยนเป็นสีเขียวเล็กน้อยเมื่อเจอแสง… นี่คือกระดาษบาร์ก ในอดีตมันเป็นที่รู้จักกันดีในคุณสมบัติที่ยืดหยุ่น แต่ด้วยต้นทุนการผลิตที่สูงเกินไป มันจึงถูกเลิกผลิตไปแล้วเมื่อประมาณ 300 ปีก่อน”

โรเอลได้ข้อสรุปจากความรู้มากมายที่เขาสั่งสมมาตลอดช่วงสองปีที่ผ่านมา หัวใจของเขาเต้นแรงทันทีที่ได้รู้ว่าซองที่เขาถืออยู่นั้นเป็นวัตถุโบราณ ทำให้การเคลื่อนไหวของเขาระมัดระวังมากกว่าเดิมในทันที

ดูเหมือนว่าอลิเซียนั้นได้หยิบวัตถุเพิ่มค่าประสบการณ์ขนาดใหญ่มาให้เขาเสียแล้ว!

นี่เป็นโอกาสที่ดีสำหรับโรเอล จากการอ่านบันทึกทางประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ทำให้เด็กชายบรรลุไปถึงระดับแก่นแท้ 5 ได้ภายในสองปี อย่างไรก็ตามโรเอลก็ได้มาถึงทางตัน เป็นเหตุให้คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิดมงกุฎหยุดการเติบโตมาได้ครึ่งปีแล้ว

กรันด้าได้กระตุ้นให้เขาออกไปผจญภัย เพื่อค้นหาแรงผลักดันที่จำเป็นสำหรับการพัฒนา ทว่าชะตากรรมสุดท้ายของบรรพบุรุษทั้งสองในอดีตก็ต้องทำให้เขาลังเลอยู่เรื่อยไป โรเอลนั้นไม่อยากจะเคลื่อนไหวโดยประมาท

อย่างไรก็ตาม ซองจดหมายโบราณนี้นั้นสามารถให้แรงผลักดันที่จำเป็นต่อการพัฒนาของโรเอลได้เป็นอย่างดี!

วัตถุที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 300 ปี ถือได้ว่ามีคุณค่าอย่างยิ่งสำหรับตระกูลแอสคาร์ด ปัญหาก็คือเนื้อหาภายในจะมีความสำคัญเทียบเท่ากับอายุของมันรึเปล่า…

โรเอลตรวจสอบตราประทับขี้ผึ้งบนซองจดหมายอย่างละเอียด ซึ่งมันก็เป็นตราเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว

“สมอ กับ ดอกกุหลาบ? เดี๋ยวก่อนนะ มันถูกลงตราด้วยขี้ผึ้งทองคำงั้นเหรอ? หรูหราชะมัด!”

“ขี้ผึ้งทองคำ? สีของตราประทับเป็นแบบนั้นเพราะมีทองคำผสมเข้าไปด้วยนี่เอง”

การวิเคราะห์ของโรเอลได้จุดประกายความอยากรู้อยากเห็นของอลิเซียด้วยเช่นกัน ทั้งสองค่อย ๆ เปิดซองจดหมายอย่างระมัดระวัง ดึงจดหมายสีเหลืองออกมาจากด้านในก่อนจะวางลงบนโต๊ะ จดหมายนั้นมีข้อความสั้นเสียจนน่าประหลาดใจ โดยมีเพียงแค่ประโยคเดียวเท่านั้น

แค่นั้นจริง ๆ …

“พี่ใหญ่โรเอล อักษรพวกนี้ต่างจากของพวกเรา”

“มันเป็นภาษาของจักรวรรดิออสทีนโบราณ ซึ่งถูกใช้ในช่วงก่อนยุคที่สามปี 378 มันเป็นที่เลื่องลือกันในฐานะภาษาชั้นสูงสำหรับขุนนาง แต่ด้วยที่พวกมันมีความซับซ้อนมาก มันจึงค่อย ๆ ถูกเลิกใช้ไปเนื่องจากความล้าสมัย”

“เข้าใจแล้วค่ะ พี่ใหญ่พอจะสามารถอ่านเนื้อหาภายในจดหมายได้รึเปล่าคะ?”

“น่าจะพอได้ล่ะมั้ง”

ดวงตาของอลิเซียเปล่งประกายราวกับดวงดาวเมื่อได้ยินคำตอบของโรเอล เธอรู้สึกว่าพี่ชายดูเก่งขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก

ทางด้านเด็กชายผมดำเขาเพียงแค่หัวเราะเบา ๆ กับท่าทีของเธอ ก่อนจะเริ่มถอดรหัสคำในจดหมายอย่างจริงจัง