ตอนที่ 140 สุชนหวงแหน บุตรีเอาแต่ใจ (1)

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

ภายในใจของซูอวี้เสียงเปี่ยมไปด้วยความโมโห แล้วจะมีกะจิตกะใจไปคัดกฎระเบียบของจวนได้อย่างไร ตอนกลางวันก็แค่ทำพอเป็นพิธีเท่านั้น ทว่าถึงตอนกลางคืน ก็สั่งให้เสี่ยวซือเข้ามาแล้วแอบคัดแทนเขา พอเสี่ยวซือเหล่านี้ได้มาอยู่ด้วยกัน ก็มักจะครึกครื้น และมักพูดคุยถึงทุกอย่าง และเอ่ยถามถึงทุกอย่าง

เดิมทีเว่ยจางถูกดึงดูดให้สนใจโดยเหยาเยี่ยนอวี่ เขาจึงแอบส่งคนที่เป็นสายสืบของเขาไปเป็นหูเป็นตาอยู่ข้างกายนาง และข้างกายซูอวี้เสียงเองก็ขาดไม่ได้เช่นกัน ซูอวี้เสียงไม่ได้ปิดปากเงียบสนิท จึงพูดถึงเรื่องที่เฟิงฮูหยินน้อยป่วยหนัก แล้วยังพูดถึงเรื่องที่นางจะแต่งตั้งคุณหนูรองตระกูลเหยาให้เป็นภรรยาคนใหม่ของพี่ใหญ่ออกมา เรื่องนี้ก็ส่งถึงหูของเว่ยจางทันที

ตอนนั้นเว่ยจางกำลังฝึกฝนวิชาการต่อสู้ตรงกลางสวน ฉังเหมารอหลังจากเขาฝึกซ้อมดาบแล้วเก็บดาบให้เรียบร้อย จึงจะกล้าเข้าไปรายงานข่าวที่ได้ยินมา เว่ยจางขมวดคิ้วเข้มขึ้นทันที แล้วตวาดอย่างโมโห “เหลวไหล!” จากนั้นดาบยาวที่อยู่ในมือจึงมีเสียง ‘แครก’ ดังขึ้น ดาบจึงหักเป็นสองท่อน

เมื่อมีเสียงดังแคร้ง แสงดาบส่องประกายเพียงชั่วพริบตา ดาบที่หักร่วงหล่นลงบนพื้นอย่างรุนแรง ฉังเหมารู้สึกตกใจจนเดินถอยหลังไปสองสามก้าว

“นายท่าน…อย่าโมโห นี่เป็นเพียงข่าวลือ…”

“เตรียมม้า!” เว่ยจางพุ่งตัวออกไปข้างนอกโดยไม่หันหลังกลับไป ดูจากท่าทางแบบนั้นแล้ว เหมือนอยากจะไปมีเรื่องกับใคร…เออ ไม่สิ เหมือนอยากจะไปกระทืบใครบางคนต่างหาก

ฉังเหมายกมือขึ้นแล้วตบหัวของตนเองอย่างแรง จากนั้นพลันวิ่งตามไป ตลอดทางเขาวิ่งเหยาะไปด้วยพร้อมกับเกลี้ยกล่อมไปด้วย “นายท่าน นายท่าน! บ่าวว่าบางทีคำพูดของซีซ่วยอาจจะไม่เป็นจริงก็ได้นะขอรับ…ไอ้หยา!” ฉังเหมาเอาแต่พูดอย่างเดียว จึงเผลอสะดุดล้มอย่างไม่ระวัง และฟันหน้าของเขาเกือบจะถูกกระแทกจนหลุด

เว่ยจางออกจากประตูสวนอย่างว่องไวดั่งสายลมแล้วมุ่งหน้าไปยังคอกม้า จากนั้นก็จูงม้าสีนิลออกมาแล้วกระโดดขึ้นหลังม้า เท้าถีบตรงท้องม้า แล้วเร่งม้าออกไปทันที

“โธ่ นายท่านของบ่าว!” ฉังเหมาวิ่งตามมาสักพัก สุดท้ายก็ตามไม่ทัน จากนั้นก็จับท้องก้มตัวลง แล้วถอนหายใจยาว

บังเอิญถังเซียวอี้มาหาเว่ยจางเพราะมีธุุระพอดี จึงประจวบเจอกับเว่ยจางที่ควบม้าออกไปพอดี หลังจากเห็นฉังเหมาที่กำลังพยายามไล่ตามไปสุดชีวิต ทว่ากลับไล่ตามไม่ทัน จึงเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “ท่านแม่ทัพเป็นอะไรไป”

“ท่านรองแม่ทัพถัง เร็วเข้า! ท่านแม่ทัพจะไปทะเลาะวิวาทกับท่านซูซื่อจื่อขอรับ ท่านรีบไปห้ามปรามเขาที!” ฉังเหมาเห็นถังเซียวอี้เหมือนเห็นดวงดาวนำโชค จึงพูดด้วยความเร่งรีบ “ท่านรองแม่ทัพถังรีบไปเถอะ ประเดี๋ยวจะไม่ทันการเอา!”

“ไม่ใช่…นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดท่านแม่ทัพถึงจะไปหาเรื่องทะเลาะวิวาทกับซูซื่อจื่อล่ะ” ศีรษะของถังเซียวอี้รู้สึกสับสนมึนงง

“โธ่ ท่านอย่าถามเลย! รีบไปเถอะ! ใช่แล้ว ข้าน้อยจะไปหาเฮ่อจวินเหมินก่อน! ท่านรองแม่ทัพถังรีบหน่อยเถอะ!” ฉังเหมาพูดไป ก็หันหลังวิ่งกลับไปอีกครั้ง

ถังเซียวอี้ไม่กล้าชักช้า จึงรีบเข้าไปในคอกม้าแล้วจูงม้าหนึ่งตัวพลางพลิกตัวขึ้นขี่อย่างฉับไว จากนั้นก็เร่งม้าออกไป

บ่าวที่เฝ้าเวรหน้าประตูของจวนติ้งโหวรู้จักเขา จึงคิดว่าแม่ทัพติ้งหย่วนมีธุระสำคัญทางค่ายทหารและจะมาปรึกษาหารือกับท่านซื่อจื่อ เลยไม่ได้คิดมากอะไร ยิ่งไม่ได้ถามให้มากความแต่อย่างไร

รูปแบบสิ่งปลูกสร้างของจวนติ้งโหวเป็นงานสถาปัตยกรรมพื้นฐานของจีน พอเข้าประตูใหญ่ไปก็เห็นเรือนหนาน ในเรือนหนานยังแบ่งเป็นเรือนเล็กหลายเรือน นั่นก็คือห้องอักษรของเหล่าคุณชาย และเป็นสถานที่ที่พวกเขาใช้จัดการกิจธุระส่วนตัวของตนเอง

เว่ยจางมาหลายครั้งจึงชินกับทางไปแล้ว หลังจากเข้าประตู เขาก็เดินผ่านระเบียงยาวแล้วเดินเลี้ยวไปยังเรือนหนาน จากนั้นก็เดินไปยังห้องอักษรของซูอวี้ผิง

วันนี้ซูอวี้ผิงกำลังพบปะแขกที่ห้องอักษร แขกผู้ที่มาเยือนคือคนของข้าหลวงใหญ่แห่งจื๋อลี่ ซึ่งเป็นคนที่คุณหนูใหญ่ซูอวี้เหอแห่งจวนติ้งโหวส่งมา เพื่อที่จะส่งมอบของขวัญเนื่องในวันตรุษจีนมาให้ ผู้ที่มาเยือนคือพ่อบ้านที่มาจากสองครอบครัว ซึ่งมาเป็นชายสองหญิงสอง ภรรยาของพ่อบ้านก็ได้เข้าไปน้อมทำความเคารพลู่ฮูหยินแล้ว ด้วยเหตุที่วันนี้ท่านโหวไม่ค่อยสบาย จึงไม่ได้ออกมาเจอแขก ซูอวี้ผิงผู้ที่เป็นท่านซื่อจื่อก็ต้องเป็นคนมาต้อนรับแขกอยู่แล้ว

เว่ยจางมาเยือนอย่างเร่งรีบ เสี่ยวซือที่มีไหวพริบก็ได้เข้ามาส่งสารตั้งนานแล้ว

ซูอวี้ผิงได้ยินว่าเว่ยจางมาเยือน และก็ไม่ได้สนใจ แค่พูดขึ้นว่า “ไปเชิญท่านแม่ทัพติ้งหย่วนให้ไปคอยที่เรือนข้างสักครู่หนึ่งเถอะ”

เสี่ยวซือคนนั้นรับคำสั่งแล้วเพิ่งจะออกไป พอหันหลังก็เกือบจะชนกับคนผู้หนึ่งจึงสะดุ้งตกใจ จากนั้นก็ถอยหลังสองก้าวแล้วเห็นถึงสีหน้าที่ดำสนิทเหมือนก้นหม้อของแม่ทัพติ้งหย่วนอย่างชัดเจน ทันใดนั้นจึงตกใจจนต้องรีบก้มหัวลง

ซูอวี้ผิงและเว่ยจางรู้จักกันมานาน ทั้งสองเคยสังหารศัตรูด้วยกัน ถือว่าเป็นสหายคนสนิทที่รู้ไส้รู้พุง กลับไม่เคยเห็นเขาทำสีหน้าที่ดูแย่เยี่ยงนี้มาก่อน และนึกว่าในค่ายทหารเกิดเรื่องฉุกเฉินขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงเอ่ยถาม “เสี่ยนจวิน มีเรื่องอะไรเร่งด่วนหรือ”

เว่ยจางมองแขกตรงหน้าของซูอวี้ผิง จึงขมวดคิ้วพลางพูดขึ้น “เจ้ายุ่งกับธุระเสร็จก็มาเจอกันที่สนามฝึกทหารเฉิงซี” พูดจบ ไม่รอให้ซูอวี้ผิงพูดอะไร จึงหันหลังเดินออกมา

คนของข้าหลวงใหญ่แห่งจื๋อลี่เห็นสถานการณ์เช่นนี้ คาดว่าต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่นอน ดังนั้นจึงรีบทำมือคารวะ “ท่านซื่อจื่อยังมีธุระ ข้าน้อยขออำลาก่อนขอรับ”

ซูอวี้ผิงก็ไม่มีเวลาพูดให้มากความ แค่พูดว่า “ข้าสั่งให้คนทำความสะอาดเรือนเรียบร้อยแล้ว พวกเจ้าแค่เข้าพักก็พอ ตอนกลางคืนหากมีเวลาว่าง พวกเราค่อยพูดคุยกันอีกที” จากนั้นก็หันไปดึงเสื้อคลุมของตนมา แล้วรีบเดินออกจากประตูแล้วไล่ตามเว่ยจางออกไป

ตอนที่ถังเซียวอี้ขี่ม้าไล่ตามมาถึงจวนติ้งโหว เว่ยจางก็ได้ควบม้าจากไปแล้ว เขาแค่เจอกับซูอวี้ผิงที่กำลังจูงม้าออกมาจากข้างใน ด้วยเหตุนี้จึงถามขึ้น “ท่านซื่อจื่อขอรับ แม่ทัพเว่ยมาเยือนที่นี่หรือไม่”

“มา บอกว่ามีธุระให้ไปที่สนามฝึกทหารเฉิงซี ไปด้วยกันเถอะ” ซูอวี้ผิงพูดขึ้น แล้วกระโดดควบขี่ม้า จากนั้นก็เร่งม้ามุ่งหน้าไปยังสนามฝึกทหารเฉิงซี

ถังเซียวอี้เห็นจึงทำได้เพียงบังคับทิศทางม้าให้ไล่ตามไป

สนามฝึกทหารเฉิงซีตั้งอยู่ท่ามกลางที่ราบตรงไหล่เขา พอเงยหน้ามองไป ก็เห็นเพียงหิมะที่โอบล้อมทั่วทุกสี่ทิศ ถึงแม้ตรุษจีนใกล้จะมาถึง ทหารบางกลุ่มก็เริ่มทยอยกันกลับบ้านไปเยี่ยมเยียนคนในครอบครัว ทว่าก็ยังคงมีทหารชั้นยอดบางคนที่ยังฝึกฝนวิชาอยู่

เว่ยจางดึงบังเหียนม้าเพื่อหยุดม้าอยู่ตรงหน้าชั้นวางอาวุธทหาร จากนั้นก็ยกเท้ากระโดดลงจากหลังม้า แล้วสะบัดบังเหียนม้าไปไว้ตรงคอของม้า แล้วกลับหลังหันมองไปด้านหลัง ในเวลาฉับพลัน ซูอวี้ผิงและถังเซียวอี้ได้เร่งม้าไล่ตามมา และกระโดดลงจากม้า

“เสี่ยนจวิน มีเรื่องอะไร” ซูอวี้ผิงมองซ้ายมองขวา ไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ

เว่ยจางเดินไปตรงหน้าชั้นวางอาวุธ แล้วยื่นมือไปเอาหอกเหล็กยาวหนึ่งเล่มพลางโยนไปให้ซูอวี้ผิง จากนั้นก็พูดด้วยเสียงเย็นชา “ประลองกันสักตั้งเถอะ”

“หา?” ซูอวี้ผิงยังไม่เข้าใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น อยู่ดีๆ พวกเขาสองคนมาสู้กันทำไม

ถังเซียวอี้กำลังพูดภายในใจว่า เจ้าฉังเหมากล่าวไม่ผิดจริงๆ ดังนั้นจึงรีบเดินเข้าไปห้ามปราม “ท่านแม่ทัพขอรับ นี่ก็ใกล้จะถึงเทศกาลตรุษจีนแล้ว การใช้อาวุธอาจจะทำให้บาดเจ็บได้ มีเรื่องอะไรเหตุใดถึงไม่พูดกันตรงๆ…”

“ไสหัวไป!” เว่ยจางยกมือผลักถังเซียวอี้จนทำให้ร่างของเขาเซไปเซมา จากนั้นก็คว้าดาบยาวมาหนึ่งเล่ม “ซูอวี้ผิง พวกเรามาประลองกันสักตั้ง หากเจ้าแพ้ เจ้าต้องตกลงสิ่งหนึ่งกับข้า หากข้าแพ้ ก็จะทำตามสิ่งที่เจ้าขอ”

ช่วงนี้ ภายในใจของซูอวี้ผิงก็รู้สึกหดหู่ยิ่งนัก ทั้งภรรยา บุตร แล้วยังมีน้องชาย มีเรื่องในใจมากมาย จึงรู้สึกโมโหอย่างมากและกำลังต้องการการระบายออกพอดี ดังนั้นจึงกวัดแกว่งหอกยาวในมือเพียงพริบตา แล้วตอบกลับ “ได้ ตกลงตามนี้”

เว่ยจางไม่ได้พูดจาไร้สาระ จึงกวัดแกว่งดาบยาวออก ตัวดาบฝ่าผ่านอากาศไป ใบมีดของดาบเล่มนี้คมเฉียบจนสามารถตัดภูเขาแยกยอดเขาได้เลยทีเดียว

ซูอวี้ผิงไม่กล้าชักช้า จึงพยายามตั้งสติแล้วเต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้

ถังเซียวอี้ที่อยู่ข้างๆ ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ แล้วย่ำเท้ากระโดดห่างออกจากที่นี่ไปสองจั้ง[1]เพื่อที่จะให้พวกเขาที่ต่างก็กำลังโมโหเริ่มการประลองครั้งนี้

ช่วงก่อน เจิ้นกั๋วกงสู่ขอบุตรีกับเหยาหย่วนจือก็ถูกปฏิเสธอย่างมีมารยาท เว่ยจางก็รู้สึกอัดอั้นใจอยู่แล้ว หลังจากที่ได้สารภาพรักกับเหยาเยี่ยนอวี่ก็ถูกเมินเฉยอีกครั้ง ไฟแห่งความโมโหภายในใจก็มากขึ้นกว่าเดิม ครั้งนี้พอได้ยินมาว่าซูอวี้ผิงกำลังจะสู่ขอแม่นางที่ตนหมายปองไปเป็นภรรยาคนใหม่ เขายังสามารถอดทนต่อไปได้อย่างไร

[1] สองจั้ง เท่ากับ 6.66 เมตร