บทที่ 107 ราคาหนึ่งหมื่นตำลึงทอง

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

จี้ฮ่วนล้วนคุ้นเคยกับตรอกน้อยตรอกใหญ่ในรัฐเว่ย์เป็นอย่างยิ่ง ไม่นานก็มาถึงชมรมป๋ออี้แห่งหนึ่งแล้ว

ชมรมป๋ออี้นี้มิได้ก่อตั้งโดยชาวเว่ย์ ว่ากันว่าเถ้าแก่ที่อยู่หลังม่านคือชาวเว่ย และเป็นผู้ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในบรรดารัฐต่างๆ ข่าวที่แพร่กระจายกันนั้นเป็นความลับไม่แพ้ข่าวในราชสำนักของเจ็ดมหานครรัฐทีเดียว ทว่าที่นี่เพียงแต่ซื้อขายข่าวสาร ไม่มีส่วนรับผิดชอบในการแพร่กระจายข่าวสาร อีกทั้งพวกเรายังมีจรรยาบรรณวิชาชีพยิ่ง จะไม่มีวันเปิดโปงข้อมูลของผู้ซื้อและผู้ขายเป็นอันขาด รวดเร็วและเก็บความลับ นี่คือพื้นฐานของการอยู่รอดของชมรมป๋ออี้

ชมรมป๋ออี้แห่งนี้แต่งอยู่ในตรอกตันแห่งหนึ่ง ขณะที่มาถึงปากตรอก ก็สามารถได้ยินเสียงดังมาจากข้างใน ประตูร้านถูกกั้นด้วยม่านไม้ไผ่บางๆ หนังแกะชิ้นหนึ่งแขวนอยู่ตรงกลางประตู ด้านบนมีตัวอักษร “ป๋อ” เขียนไว้

ทั้งสองคนเลิกม่านเข้าไป แท่นสูงคล้ายกับที่โรงสุราปรากฏขึ้นสู่สายตา การละเล่นป๋ออี้กำลังดำเนินอยู่บนกระดานหมากขนาดใหญ่ รอบๆ เต็มไปด้วยผู้คนที่ส่งเสียงปรบมือโห่ร้องเป็นครั้งคราว เห็นได้ชัดว่ากำลังเดิมพันกันอยู่

“ท่านต้องการเดินหมากหรือว่าเดิมพันเจ้าคะ?” มีสาวใช้นางหนึ่งออกมาต้อนรับ ค้อมตัวถาม

“มิได้มาเดินหมากและมิได้มาเดิมพัน” ซ่งชูอีกล่าว

สาวใช้เข้าใจ เอ่ยว่า “เชิญท่านตามบ่าวมาเจ้าค่ะ”

สาวใช้นำทางทะลุผ่านห้องโถงด้านหน้า เข้าไปสู่ลานเล็กๆ ที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง

“เชิญท่านพักผ่อนรอสักครู่ บ่าวจะไปเชิญผู้ดูแลมา” สาวใช้พาซ่งชูอีและจี้ฮ่วนเข้าไปในห้องที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย ค้อมตัวแล้วถอยออกไป

สาวใช้อีกสองนางเข้ามายกน้ำชาให้ทั้งสองคน

“ท่านต้องการซื้อข่าวกระไร?” จี้ฮ่วนลูบคลำทองในตัว เกรงว่าจะไม่พอ

“อืม…เจ้าทายสิ” ซ่งชูอียิ้มเอ่ย

จี้ฮ่วนขมวดคิ้ว “ข้าเกรงว่าเงินพวกเราจะไม่พอ”

“เงินไม่พอก็เอาตัวเจ้าไปจำนำไว้ ข้าคิดว่าเจ้ามีราคาไม่น้อยทีเดียว” ซ่งชูอีเอ่ยพร้อมยิ้มกว้าง

“ที่นี่ของข้าน้อยไม่รับคน” เสียงอันอ่อนโยนดังขึ้นที่หน้าประตู

ทั้งสองคนมองไปยังที่มาของเสียง ก็เห็นเด็กหนุ่มในชุดจีนสีฟ้าอ่อนคนหนึ่งเดินเข้ามา ความประทับใจแรกที่ซ่งชูอีมีต่อเขาก็คือ “ความสะอาด” ใบหน้านั้นอ่อนโยนหล่อเหลา ผิวพรรณขาวดุจหิมะ ชุดสีฟ้าอ่อนที่สวมอยู่บนตัวเขานั้นทำให้ดูเหมือนหิมะขาวในฤดูใบไม้ผลิที่เปี่ยมไปด้วยแสงอาทิตย์ สมจริงทว่าเยือกเย็นเล็กน้อย

ซ่งชูอีลุกขึ้นค้อมคำนับ แต่คำแรกที่เอ่ยออกมากลับเป็น “จุ๊ๆ เสื้อผ้าชุดนี้ไม่เลวเลย!”

ในยุคนี้การย้อมสีโดยมากจะเป็นสีเข้ม สีที่สว่างและอ่อนเช่นนี้ย้อมได้ยากนัก จึงทำให้มีไม่มาก ฉะนั้นไม่ว่ามันจะทำจากวัสดุอะไร ราคาก็แพงมากทีเดียว

“ท่านชมเกินแล้ว” ตู้เหิงผายมือเชิญนางนั่งลง จากนั้นก็นั่งลงตาม เอ่ยขึ้น “ข้าน้อยตู้เหิง เป็นหนึ่งในผู้ดูแลชมรมป๋ออี้ ไม่ทราบว่าท่านต้องการซื้อข่าวสารใด?”

“ข้าต้องการซื้อข่าวสาร ทว่าเมื่อครู่ท่านก็ได้ยินแล้ว ในถุงเงินของข้าน้อยเกรงว่าจะมีเงินไม่พอ ฉะนั้นจึงต้องการที่จะเอาข่าวสารเป็นการแลกเปลี่ยน” ซ่งชูอีเอ่ย นี่ไม่ต่างอะไรกับการแลกเปลี่ยนสิ่งของ ชมรมป๋ออี้ก็ยอมรับวิธีการเช่นนี้ แต่ต้องดูว่าพวกเขาต้องการข่าวสารนี้หรือไม่

“อ๋อ?” ตู้เหิงเอ่ยยิ้มน้อยๆ “ท่านก็รู้ว่าชมรมป๋ออี้ของข้ามีเครือข่ายกว้างขวางในบรรดารัฐต่างๆ โดยทั่วไปแล้วน้อยมากที่จะไม่ได้ข่าวมาอยู่ในมือ ไม่ทราบว่าท่านคิดจะแลกเปลี่ยนด้วยข่าวใดหรือ?”

ตู้เหิงผู้นี้ดูอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง ทว่าวาจานั้นกลับมิได้นุ่มนวลเท่าใด

“รับรองว่าชมรมป๋ออี้ไม่รู้ข่าวของข้าน้อยอย่างแน่นอน อีกทั้งมันยังเกี่ยวพันกับความโกลาหลที่รัฐต่างๆ จะโจมตีเว่ยในเวลานี้” ซ่งชูอีกุมมือยกถ้วยขึ้นมา เอ่ยยิ้ม “ไม่ทราบว่าท่านมีความสนใจหรือไม่”

ตู้เหิงนั่งตัวตรง เอ่ยถาม “ขอเพียงเป็นข่าวสาวที่มีประโยชน์และเป็นความลับ ท่านอยากรู้อะไร ตู้เหิงจะบอกหมดทุกอย่าง ถ้าหากท่านยังรู้ข่าวสารของซ่งหวยจินกับหมิ่นฉือด้วยแล้ว ข้าน้อยยินดีที่จะจ่ายด้วยเงินทองอย่างงาม”

ในระยะหลังนี้ข่าวที่ซ่งชูอีออกเดินทางเพื่อพูดจาหว่านล้อมหกรัฐให้โจมตีเว่ยนั้นสร้างความประหลาดใจให้ทั่วหล้า ต่อมา “ทฤษฎีโค่นรัฐ” ของนางก็ถูกชมรมป๋ออี้ใหญ่หลายรายแย่งแก่งกันซื้อแบบผูกขาด การซื้อแบบผูกขาดหมายความว่าชมรมป๋ออี้จ่ายเงินจำนวนมหาศาลให้กับคนวงใน หลังจากที่พวกเขานำข่าวเหล่านี้มาบอกกับชมรมป๋ออี้แล้ว ก็ห้ามป่าวประกาศไปยังที่อื่นอีก หากผิดสัญญา ชมรมป๋ออี้ก็จะมาเอาชีวิต

เมื่อชมรมได้ข่าวนี้ ก็สามารถนำไปขายให้กับองค์จวินของแต่ละรัฐจูโหว[1]หรือเหล่าขุนนางชั้นสูงได้ ซึ่งเป็นธุรกิจที่ทำกำไรได้อย่างไร้ขอบเขตแน่นอน

แม้นว่าชมรมป๋ออี้ที่มีความอ่อนไหวต่อข่าวสารอย่างยิ่งจะไม่รู้เนื้อหาของ “ทฤษฎีโค่นรัฐ” ทว่าลำพังเพียงได้ยินชื่อ พวกเขาก็พอจะได้กลิ่นเบาะแสอยู่บ้าง และเข้าใจโดยธรรมชาติว่านี่มีพลังดึงดูดบรรดาองค์จวินได้เป็นอย่างดี ดังนั้นแม้ว่าจะมีการแข่งขันระหว่างชมรมป๋ออี้ต่างๆ ทว่าพวกเขาต่างเก็บงำข่าวสารไว้อย่างพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมาย

นี่ก็คือหนึ่งในเหตุผลที่ซ่งชูอีโด่งดังกะทันหัน แต่กลับมีเพียงไม่กี่คนที่รู้เรื่อง “ทฤษฎีโค่นรัฐ” ของนางตลอดเวลามานี้

เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว แม้นชื่อเสียงของหมิ่นฉือจะโด่งดังว่าซ่งชูอีในบรรดารัฐต่างๆ ทว่าทั้งสถานะ อาจารย์และสิ่งที่เขาทำทั้งหมดล้วนมีพื้นฐานอยู่ในด้านสว่าง ดังนั้นมันจึงมิได้มีความน่าดึงดูดเป็นพิเศษสำหรับชมรมป๋ออี้

จากการแสดงออกของตู้เหิง ซ่งชูอีมองออกว่าเขาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากเพียงใด ผ่านไปเพียงไม่กี่วัน นางก็กลายเป็นคนหยิ่งยะโสโอหังด้วยอำนาจเพียงนี้เชียวหรือ?

“ให้ได้เท่าไร?” ซ่งชูอีเอ่ยถามด้วยความสงสัย

จี้ฮ่วนอดไม่ไหวที่จะเหลือบมองนาง คงมิได้จะขายตนเพียงเพื่อเงินเล็กน้อยจริงๆ ดอกกระมัง?

ตู้เหิงชูนิ้วชี้ขึ้นมา

จี้ฮ่วนตกใจมาก หนึ่งนิ้วจะต้องไม่ใช่หนึ่งตำลึงทองหรือสิบตำลึงทองเป็นแน่ อย่างน้อยจะต้องมีถึงหนึ่งร้อยตำลึงทองเชียว! เกือบจะเทียบเท่ากับดาบที่เอวของเขาเลย!

“มีตั้งแต่หนึ่งร้อยตำลึงทองไปจนถึงหนึ่งหมื่นตำลึงทอง ถ้าหากมีเนื้อหา “ทฤษฎีโค่นรัฐ” ของซ่งหวยจินอีกทั้งแหล่งพำนักของซ่งหวยจิน ข้าแซ่ตู้จะจ่ายหนึ่งหมื่นตำลึงทอง” ตู้เหิงกล่าว

ซ่งชูอีอึ้งไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าตัวเองส่องแสงเป็นประกาย ทองคำทั้งนั้นเลย…หนึ่งหมื่นตำลึงทอง! ดวงตาของนางอดไม่ได้ที่จะร้อนผ่าว นึกถึงตอนนั้นที่พ่อค้ามนุษย์ต้องการซื้อนางไปจากบิดาของนาง อย่างมากที่สุดก็ยอมควักเพียงยี่สิบห้าปู้ปี้เท่านั้น!

คิดไม่ถึงเลย คิดไม่ถึงว่าซ่งชูอีเช่นนางจะมีวันที่มูลค่ามากเพียงนี้!

 “ช่างน่าซาบซึ้งแม่งจริงๆ!” ซ่งชูอีซับหน้าพร้อมเอ่ย

ตู้เหิงตกใจกับคำอุทานหยาบคายของนาง แต่เมื่อคิดว่าหนึ่งหมื่นตำลึงทองเป็นจำนวนที่ผู้คนทั่วไปยากจะจินตนาการได้ ตื่นเต้นบ้างก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงมิได้ จากนั้นจึงถามว่า “หมายความของท่านก็คือ…มีข่าวของท่านซ่งหรือ?”

มีสิ! ทฤษฎีโค่นรัฐ แหล่งพำนัก มีทุกอย่าง! หากไม่ใช่เพราะซ่งชูอีมีเรื่องสำคัญต้องทำ ไม่แน่ว่านางอาจขายตัวเองให้กับที่นี่ด้วยซ้ำ ถึงอย่างไรเสียก็มิใช่การขายตัวเป็นทาส!

“ไม่มี ทว่าข้ารู้เรื่องของหมิ่นฉือ ไม่ทราบว่าสามารถให้ราคาได้เท่าไร?” ซ่งชูอีต้องการเก็บทรัพย์สินไว้บางส่วน ทว่าตอนนี้นางยากจนมาก

ทองที่อิ๋งซื่อให้ นางก็นำไปทดแทนกับเงินที่ซื้อดาบแล้ว นางมอบดาบเหล่านั้นเป็นของขวัญให้จี๋อวี่และคนอื่นๆ ส่วนของมีค่าที่เหลือก็ยกให้ฉือจวี้ บัดนี้นางมีดาบสั้นหนึ่งเล่ม ดาบจวี้ชางหนึ่งเล่ม และยังมีเด็กรับใช้สองคน จื๋อหย่าหนึ่งคน ล้วนแลกเป็นเงินไม่ได้ทั้งสิ้น

ตู้เหิงตอบอย่างครุ่นคิด “ถ้าหากเป็นข่าวที่ไม่มีผู้ใดรู้ ท่านก็สามารถนำมาแลกเปลี่ยนข่าวสารกับข้าน้อยได้”

ซ่งชูอีทนไม่ไหวหัวเราะเสียงดัง เช่นนั้นมากสุดก็น่าจะประมาณสามถึงห้าร้อยตำลึงทอง นางมีค่าถึงหนึ่งหมื่นตำลึงทองเชียวนะ! ข่าวนี้ช่างน่าตื่นเต้นเร้าใจเกินไปแล้ว!

ในใจของซ่งชูอีรู้สึกว่ายิ่งมองตู้เหิงยิ่งชอบใจ ทว่ากลับแสดงอาการผิดหวังบนใบหน้า ถอนหายใจเอ่ย “เช่นนี้ก็ดี เดิมทีข้าก็ไม่คิดที่จะขายเพื่อให้ได้เงิน ทว่าน่าเสียดายที่ตอนนั้นมิได้สอบถามข่าวของซ่งหวยจินให้มากหน่อย”

“ท่านต้องการจะบอกข่าวสารใด และต้องการจะรู้ข่าวสารใด?” ตู้เหิงเอ่ยถาม

ซ่งชูอีเอ่ย “ข้าน้อยต้องการรู้ว่าท่าทีของเว่ยอ๋องต่อเรื่องนี้เป็นเยี่ยงไรบ้าง ไม่ทราบว่ามีหรือไม่?”

ตู้เหิงพยักหน้า “ต้องมีอยู่แล้ว”

ท่าทีของเว่ยอ๋องมิได้นับว่าเป็นความลับใหญ่หลวง ทว่าข่าวจากคำบอกเล่าไม่เพียงพอที่จะทำให้นางตัดสินได้อย่างแม่นยำ สู้ยังต้องรับฟังความจริงจะดีกว่า

“ที่ข้าน้อยต้องการบอก คือความแค้นระหว่างหมิ่นจื๋อห่วนและซ่งหวยจิน รวมทั้งสาเหตุแท้จริงที่ทำให้แผนการนี้รั่วไหล” ซ่งชูอีดื่มชาที่เย็นชืดแล้ว เอ่ยขึ้น “มิทราบว่าแลกเปลี่ยนได้หรือไม่?”

“ได้” ตู้เหิงกล่าว

ข่าวสารนี้เป็นความลับอย่างแท้จริง ทว่ามูลค่ากลับไม่ได้สูงมาก คนทั่วไปที่สามารถเสนอราคาสูงได้ล้วนไม่มีความสนใจในเรื่องราวเช่นนี้ ทำได้เพียงขายให้กับโรงน้ำชาหรือโรงเตี๊ยม รวมๆ เข้าด้วยกันแล้วไม่แน่ว่าอาจมีมูลค่าไม่เท่าเรื่องราวที่ซ่งชูอีต้องการรู้ด้วยซ้ำ

เหตุผลที่ตู้เหิงตกลง เพราะช่องว่างของราคาจะไม่ต่างกันมากและตัวเขาเองก็มีความสนใจยิ่ง อีกทั้งเขายิ่งมองซ่งชูอีก็ยิ่งรู้สึกว่าคุ้นตา เคยเจอกันที่ไหนมาก่อนนะ?

“คือเยี่ยงนี้ คิดว่าชมรมของท่านก็คงทราบเรื่องที่หมิ่นฉือไปเจรจาหว่านล้อมรัฐซ่งกับซ่งหวยจินเป็นอย่างดี บัดนั้นหมิ่นฉือไปในฐานะราชทูตพร้อมกับหนังสือรับรองจากรัฐเว่ย์ ทว่ากลับถูกซ่งหวยจินที่เดินทางไปตามลำพังแย่งความดีความชอบในท้องพระโรง…” ซ่งชูอีเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดอีกรอบไปเรื่อยๆ

คนสองคนที่เดิมทีแค่เดินสวนกัน ถูกนางพูดถึงอย่างดุเด็ดเผ็ดมัน ดังนั้นเรื่องที่ธรรมดามากเรื่องหนึ่งจึงได้กลายเป็นเหตุการณ์ที่ร้ายแรง ทว่านางก็ยังหักห้ามใจตัวเองอย่างมากและมิได้พูดกระไรที่ทำลายชื่อเสียงของหมิ่นฉือ

สาวใช้เปลี่ยนถ้วยชาให้ซ่งชูอี นางหยุดพูดแล้วดื่มไปสองคำ

“ประเสริฐนัก!” ดวงตาของตู้เหิงเป็นประกาย ไม่ว่าเรื่องนี้จะมีความจริงกี่ส่วนก็ต้องบอกว่ามันน่าฟังมาก หากไปขายที่โรงเตี๊ยมจะต้องได้ราคางามอย่างแน่นอน

“เมื่อฟังเรื่องนี้จบ เชื่อว่าท่านคงสามารถเดาถึงสาเหตุที่แผนการนี้ถูกเปิดโปงแล้วกระมัง?” ซ่งชูอีเอ่ย

“หรือว่าเป็นท่านหมิ่นฉือ…” เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้มุ่งเป้าไปที่ซ่งชูอี ด้วยความพัวพันก่อนหน้านี้ เรื่องนี้จึงเดาได้ไม่ยากเลย

ซ่งชูอีส่งสายตาเห็นด้วย “ถูกต้อง ความสามารถของหมิ่นจื๋อห่วนนั้นน่าทึ่งมาก เขามีความทะเยอทะยานแรงกล้า ทว่าเขาจะซ่อนเร้นความปรารถนาของตนเองไว้ซึ่งเป็นเรื่องปกติ ทว่าขอเพียงท่านไปสืบความประพฤติในสังคมของเขาอย่างละเอียด ก็จะเข้าใจเองว่าข้ามิได้พูดผิดเลย”

ตู้เหิงก็มีข้อมูลของหมิ่นฉืออยู่ในมือไม่น้อย หากดูจากความสำเร็จในประวัติศาสตร์ด้านการทูตรวมถึงเรื่องส่วนตัวของเขาแล้ว นับว่าไร้ยางอายอยู่บ้างจริงๆ การเปิดโปงเหตุการณ์นี้จะทำให้เขามีชื่อเสียง อีกทั้งยังได้โจมตีซ่งหวยจินอีกด้วย ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่เขาทำได้ลง

“ท่านจะค้ำประกันด้วยสิ่งใด?” ตู้เหิงเอ่ย

ซ่งชูอีชี้ไปที่จี้ฮ่วน “เมื่อครู่ข้าก็บอกไปแล้ว ว่าคนที่ขายคือเขา”

แม้นจี้ฮ่วนจะเป็นคนซื่อตรง แต่ว่าไม่ได้โง่ ครั้นได้ยินซ่งชูอีกล่าวดังนี้ก็เข้าใจในความหมายของนาง ประสานมือเอ่ย “ข้าน้อยจี้ฮ่วน เป็นผู้บังคับกองพันภายใต้ผู้บังคับบัญชาแม่ทัพหลงกู่”

“เยี่ยม” มีคนค้ำประกันให้ ตู้เหิงก็ตกลงแล้ว เขากล่าวเสียงสูง “เด็กๆ นำพู่กัน หมึกและผ้าไหมเข้ามา!”

ไม่นาน สาวใช้สองนางเข้ามา คนหนึ่งถือพู่กัน หมึกและผ้าไหมสีขาว เชิญจี้ฮ่วนให้สร้างหนังสือรับรอง ตู้เหิงกระซิบสองสามคำกับสาวใช้อีกคนหนึ่ง จากนั้นสาวใช้คนนั้นก็ถอยออกไป

ผ่านไปไม่นาน นางก็เข้ามาพร้อมกระบอกไม้ไผ่บางๆ สองมือยื่นมือซ่งชูอี

“นี่เป็นข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับเว่ยอ๋อง ได้โปรดท่านอ่านดู” ตู้เหิงเอ่ย

 ………………………………..

[1] รัฐจูโหว ดินแดนที่มีราชาหรือจักรวรรดิเป็นผู้ครอบครอง ซึ่งเป็นพระญาติที่ได้รับการแต่งตั้งมาจากราชวงศ์โจวอีกทอดหนึ่ง