ตอนที่151 เป็นแค่เด็กใหม่แท้ๆ

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ตอนที่151 เป็นแค่เด็กใหม่แท้ๆ

ทันทีที่ข้อเสนอแนะของตาแก่ซงดังออกมาจากปาก ทุกคนต่างก็พากันสนับสนุนเห็นด้วยในทันที

“ก็จริง อาจารย์ฉีเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลย เขาสามารถกำราบพวกเด็กๆได้อยู่หมัดตั้งแต่คลาสแรก แสดงว่าเขาต้องมีฝีมือไม่น้อย”

“ใช่แล้ว อีกอย่างอาจารย์ฉีเองก็ยังหนุ่มยังแน่น สามารถแบกรับภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่แบบนี้ได้ไหวแน่นอน”

“ฉันเองก็เห็นด้วยที่จะส่งอาจารย์ฉีไป”

หัวหน้าคณะอาจารย์ซีหันมองฉีเล่ยอย่างใจเย็น

“อาจารย์ฉี ในเมื่อทุกคนต่างเห็นพ้องต้องกันว่าต้องเป็นคุณ มิหนำซ้ำครั้งยังนี้เป็นการสอนเชิงปฏิบัติต่อหน้าแขกชาวอเมริกันด้วย พวกเราทั้งหมดคงต้องฝากความหวังไว้กับคุณแล้วล่ะ คงรู้ใช่ไหมว่าหน้าที่นี้สำคัญเพียงใด?”

ฉีเล่ยเงยหน้าพร้อมกับกวาดสายตามองหน้าอาจารย์ทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องประชุม ก่อนที่จะหยุดลงที่หัวหน้าคณะอาจารย์ซี พร้อมกับคลี่ยิ้มกล่าวว่า

“ในเมื่อไม่มีใครเต็มใจทำหน้าที่นี้ งั้นผมอาสาเองทำเองก็ได้ครับ”

ไม่ใช่ว่าฉีเล่ยจะจงใจพูดเหน็บแนมแทงใจดำอาจารย์คนอื่นๆ แต่จากปฏิกิริยาของทุกคนที่อยู่ในห้อง ก็บ่งบอกชัดเจนมากพอแล้วว่า ไม่มีใครกล้าแบกรับความรับผิดชอบนี้ไว้เลยสักคน

“อาจารย์ฉี จะพูดแบบนั้นก็ไม่ถูกนะ ใครบ้างไม่อยากได้รับเกียรติสอนหนังสือต่อหน้าชาวต่างชาติ แต่วิชาที่เราสอนล้วนแล้วแต่เป็นเชิงทฤษฎีทั้งนั้น พวกเขาจะไปเข้าใจถึงแก่นแท้ได้ยังไง?”

“ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่เต็มใจหรอกนะ แต่เราอยากเปิดโอกาสให้เด็กรุ่นใหม่ได้แสดงฝีมือบ้างก็เท่านั้นเอง”

“ถูกต้องแล้ว เป็นคนหนุ่มสาวต้องรู้จักคว้าโอกาสดีๆไว้นะ”

ฉีเล่ยตระหนักถึงความหมายที่แท้จริงที่แฝงอยู่ในคำพูดสวยหรูของคนพวกนี้ได้ทันที

“เลิกหาข้ออ้างเถอะครับ แค่บอกผมตรงๆว่า ต่อหน้าชาวต่างชาติพวกนั้น พวกคุณไม่มีความมั่นใจว่าจะสอนออกมาได้ดีก็พอ เอาเถอะครับ เดี๋ยวผมจะจัดการเอง”

ตาแก่ซงเป็นคนแรกที่ระเบิดอารมณ์ออกมา เขาปั้นหน้าบึ้งตึงทุบโต๊ะตวาดเสียงดังลั่นทันที

“นี่แกพูดจาแบบนี้ออกมาได้ยังไง?! ตัวเองเป็นเด็กใหม่แท้ๆ มีสิทธิ์อะไรมาพูดจาหยาบทรามกับพวกฉันแบบนี้!!”

ฉีเล่ยยักไหล่ตอบกลับไปอย่างไม่แยแส

“อาจารย์ซงพูดถึงเรื่องนี้ก็ทำให้ผมนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้พอดี ยังไงซะผมก็แค่เด็กใหม่ ประสบการณ์การสอนยังไม่มากมายอะไรนัก แบบนี้แล้วจะให้ผมไปบรรยายต่อหน้าชาวต่างชาติได้ยังไงกันล่ะครับ?”

หลังจากพูดจบ ฉีเล่ยก็หันไปบอกกับหัวหน้าคณะอาจารย์ซีต่อว่า

“หัวหน้าคณะอาจารย์ซีครับ คุณคงจะเคยได้ยินคำพูดว่า แม่ทัพคือผู้ช่ำชองการศึกมากที่สุด ทำไมเราถึงไม่ส่งตัวแทนที่มีประสบการณ์การสอนที่สูงอย่างอาจารย์ซงไปล่ะครับ? เอาล่ะ ผมเป็นแค่เด็กใหม่ไม่มีสิทธิ์พูดอะไรอยู่แล้ว ถ้างั้นผมขอตัวก่อนนะครับ ผมยังมีธุระอย่างอื่นต้องไปทำ”

ฉีเล่ยลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วเดินออกจากห้องไปโดยไม่แม้แต่จะเหลียวหลังกลับมามองใครอีกเลย

อาจารย์ทุกคนที่เข้าร่วมการประชุมถึงกับหน้าเขียวสลับกับซีดขาว

ส่วนจะถามว่า ใครที่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัดและลำบากใจที่สุดนั้น ก็คงหนีไม่พ้น หัวหน้าคณะอาจารย์ซี

คนอื่นๆอาจแค่ต้องการผลักไสไล่ส่งฉีเล่ยเข้าไปในกองไฟ แต่สำหรับหัวหน้าคณะอาจารย์ซี เขาตระหนักดีว่า งานสำคัญในครั้งนี้คือการชูธงชาติจีนให้ผงาดต่อหน้าชาวต่างชาติ และงานนี้จำเป็นต้องพึ่งพาฉีเล่ยจริงๆ เพราะไม่มีใครสามารถทำหน้าที่นี้แทนเขาได้จริงๆ!

ฉีเล่ยไม่ได้ตั้งใจที่จะทำอย่างนั้นเพื่อให้คนอื่นมาง้อ เสียงฝีเท้าที่ย่างก้าวออกไปจึงฟังดูหนักแน่นมั่นคงและกระฉับกระเฉงอย่างมาก ก้าวแต่ละก้าวสาวเดินเข้าไปใกล้ประตูทางออกมากขึ้นเรื่อยๆ

ภายในใจของหัวหน้าคณะอาจารย์ซีเองก็อยากจะลุกขึ้นไปห้ามเช่นกัน ทีแรกตั้งใจว่าจะไปข้อร้องเป็นการส่วนตัวอีกทีหลังการประชุมเสร็จสิ้น แต่ถ้าเขาเลือกทำแบบนั้น เชื่อว่าฉีเล่ยจะไม่มีทางให้ความร่วมมืออย่างแน่นอน มิหนำซ้ำจากเหตุการณ์ครั้งล่าสุดที่ผ่านมา แม้แต่รัฐมนตรีหม่ายังทำอะไรฉีเล่ยไม่ได้เลย นี่แสดงให้เห็นความจริงสอเรื่อง ซึ่งเรื่องแรกคือชายหนุ่มคนนี้มีความสามารถด้านการแพทย์ที่ค่อนข้างสูงมาก และเรื่องที่สอง ภูมิหลังของเขานั้นค่อนข้างแข็งแกร่งมากจริงๆ

เมื่อเห็นฉีเล่ยเอื้อมมือออกไปเตรียมเปิดประตู ในที่สุดหัวหน้าคณะอาจารย์ซีก็รีบลุกขึ้นร้องตะโกนเรียก

“อาจารย์ฉี ทุกคนไม่ได้หมายความแบบนั้นนะ ช่วยสงบสติอารมณ์ก่อนได้ไหม? มาเถอะ มาเถอะ มานั่งลงแล้วค่อยๆพูดค่อยๆจากันดีกว่า”

ฉีเล่ยปรายหางตาเหลือบมองเล็กน้อยพร้อมกับเอ่ยถามออกไปว่า

“หมายความว่ายังไงเหรอครับ?”

ตาแก่ซงทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ไอ้เด็กเวรนี่มันเหิมเกริมมากจนเกินไป เขาทุบโต๊ะเสียงดังปังลุกขึ้นชี้หน้าด่าฉีเล่ยทันทีว่า

“แก! ไอ้เด็กเหลือ…”

แต่ทันใดนั้นหัวหน้าคณะอาจารย์ซีก็ตะคอกสวนตาแก่ซงกลับไปทันทีเช่นกัน

“หุบปาก!”

แค่แสดงปฏิกิริยาเช่นนี้ออกมา มันก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า หัวหน้าคณะอาจารย์ซีสนับสนุนใครมากกว่า อาจารย์คนอื่นๆในห้องประชุมต่างก็พากันนั่งนิ่งไม่กล้าขยับเขยื้อน และแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ได้ข่าวว่าก่อนหน้านี้หัวหน้าคณะอาจารย์ซียังเป็นคนไล่ฉีเล่ยออกไปเองไม่ใช่เหรอ?

เมื่อยังเห็นฉีเล่ยยืนอยู่หน้าประตูทางออกแบบนั้น หัวหน้าคณะอาจารย์ซีก็รีบพูดต่อทันที

“งานสำคัญแบบนี้มีเพียงเธอเท่านั้นที่จะสามารถทำหน้าที่ได้ อาจารย์ฉี คุณเพียงคนเดียวที่เป็นความหวังของสาขาแพทย์แผนจีน หวังว่าจะเข้าใจกันนะ”

ในเมื่อหัวหน้าคณะอาจารย์ซีเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอร้องด้วยตัวเองขนาดนี้ ฉีเล่ยก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเดินกลับไปนั่งฟังการประชุมต่อไป

ฉีเล่ยเหลือบสายตามองไปรอบๆ ก็ยังพบว่าอาจารย์คนอื่นๆยังคงจับจ้องตัวเขาด้วยสายตาที่ขุ่นเคืองอยู่ ดังนั้นเขาจึงได้พูดขึ้นลอยๆว่า

“หัดดูหัวหน้าอาจารย์ซีเป็นตัวอย่างไว้ก็ดีนะครับ นี่แหละคือคุณสมบัติที่ผู้นำพึงมี แยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวได้ ไม่เหมือนบางคนที่แก่จนปูนนี้แล้ว แต่อายุสมองกลับไม่ต่างจากเด็กสามขวบ ทำตัวไร้ประโยชน์ไปวันๆ”

ปัง!

ตาแก่ซงยกมือขึ้นทุบโต๊ะเป็นระลอกสาม เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความโกรธจัด เหมือนลุกขึ้นมาจะพูดอะไรสักอย่างแต่สุดท้ายกลับเถียงไม่ออกสักคำ

ไม่เหมือนบางคนที่แก่จนปูนนี้แล้ว สมองไม่ต่างจากเด็กสามขวบ…

ทำตัวไร้ประโยชน์ไปวันๆ…

นี่มันหมายถึงเขาชัดๆ แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้เอ่ยชื่อเขาออกมา แต่ไม่ว่าใครที่ได้ยินคำพูดประโยคนี้ ต่างก็ต้องนึกถึงเขาทั้งนั้น!

และเป็นหัวหน้าคณะอาจารย์ซีที่ใช้สายตาอันเยือกย็นหยุดตาแก่ซงเอาไว้ จนทำให้อีกฝ่ายค่อยๆสงบลงไปเอง

สายตาอันสุดแสนจะเย็นชาคู่นั้น ทำให้ตาแก่ซงรู้สึกราวกับเห็นหายะนอยู่รำไร

สายตาของหัวหน้าคณะอาจารย์ซีราวกับจะบอกว่า

‘ถ้ายังทำตัวมีปัญหาอยู่แบบนี้ พรุ่งนี้ก็ไม่ต้องมาทำงานอีกแล้ว!’

เมื่อเปรียบเทียบกับศักดิ์ศรี หน้าที่การงานย่อมสำคัญกว่ามาก เมื่อเห็นว่าทุกคนสงบลงแล้ว หัวหน้าคณะอาจารย์ซีก็ได้พูดต่อทันที

“ในเมื่อทุกคนเห็นพ้องต้องกันแล้วว่า จะให้อาจารย์ฉีเป็นตัวแทนในการสอนครั้งนี้ และในเมื่อเจ้าตัวเองก็ไม่ได้คัดค้านอะไร งั้นเรามาสรุปประเด็นแรกเลยก็แล้วกัน สรุปว่าให้พวกคณะเยี่ยมชมขาวอเมริกันมาดูการสอนของอาจารย์ฉี ส่วนอาจารย์ฉี คุณเองก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมล่ะ นี่อาจเป็นโอกาสที่คุณจะได้แสดงฝีมือให้บรรดาผู้บริหารเบื้องบนได้ประจักษ์”

ฉีเล่ยยิ้มพยักหน้าตอบ แต่ไม่ได้พูดอะไร

“เรื่องที่สอง เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเข้าร่วมสัมมนาสภาการแพทย์แผนจีนแห่งชาติ ซึ่งครั้งนี้จะจัดขึ้นในมหาวิทยาลัยของเรา ไม่เพียงจะมีอาจารย์แพทย์ผู้มีชื่อเสียงจากมหาวิทยาลัยรัฐที่มาเข้าร่วมเท่านั้น แต่ยังจะมีบรรดาอาจารย์แพทย์จากภาคเอกชนเข้าร่วมอีกด้วย ถือเป็นงานใหญ่ประจำปีนี้เลยล่ะ”

หัวหน้าคณะอาจารย์ซีชำเลืองมองสีหน้าท่าทางที่ดูสุดแสนจะตื่นเต้นของอาจารย์ทุกคนในห้องประชุม จากนั้นจึงได้กล่าวต่อพร้อมรอยยิ้มว่า

“พวกเราในฐานะอาจารย์สาขาแพทย์จีนแห่งมหาวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่ง จึงได้สิทธิ์ในการเข้าร่วมมาสองสิทธิ์ ผมต้องการอาจารย์สองคนที่มีความรู้ความสามารถพอที่จะออกไปพูดต่อหน้าที่ประชุมใหญ่ได้”

การจะได้เข้าร่วมงานประชุมสภาการแพทย์ระดับประเทศที่ใหญ่ขนาดนี้ นับเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง มิหนำซ้ำยังจะได้มีโอกาสพูดต่อหน้าระดับปรมาจารย์แพทย์แผนจีนอีกหลายท่านในห้องประชุมด้วย นี่ถือเป็นหน้าที่อันทรงเกียรติอย่างแท้จริงที่อาจารย์แพทย์แผนจีนทุกคนใฝ่ฝัน

ตราบใดที่ในใบประวัติของพวกเขาเคยเข้าร่วมงานประชุมเหล่านี้มา แม้จะแทบไม่มีบทบาทในงานเลยก็ตาม แต่นั่นก็สามารถยกระดับโปร์ไฟล์ของอาจารย์คนนั้นให้สูงขึ้นลิบลิ่ว

ก่อนการประชุมดังกล่าว หัวหน้าคณะอาจารย์ซีจำเป็นต้องเสาะหาอาจารย์ที่เหมาะสมอีกสักคนไปด้วยกัน

เสียงเคาะโต๊ะดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงพูดของหัวหน้าคณะอาจารย์ซี

“เอาล่ะๆ ทุกคนเงียบก่อน เรามาหารือกันต่อดีกว่าว่าใครควรจะได้รับสิทธิ์นั้น ผมจะขอเสนอชื่อคนที่หมายตาไว้ก่อน ส่วนจะเห็นชอบหรือไม่ก็ลองแสดงความคิดเห็นกันดูนะ”

มุมปากของฉีเล่ยกระตุกขึ้นทีหนึ่ง และยังคงก้มหน้าก้มตาเล่นมือถือต่อไป

โดยปกติแล้ว การที่ระดับหัวหน้าคณะอาจารย์ประกาศขอเสนอชื่อออกมาแบบนี้ ก็ไม่ต่างอะไรจากการตัดสินใจเลือกไปแล้ว เพียงแค่ต้องมีพิธีรีตองหน่อยก็เท่านั้น และคนอย่างซีลู่เฉิงคงต้องเสนอคนใกล้ชิดหรือไม่ก็ญาติตัวเองอย่างแน่นอน

แล้วทุกคนในที่นี้ มีใครเป็นญาติกับซีลู่เฉิงบ้างล่ะ?

ตาแก่ซงไง

พวกระบบเส้นสายเครือญาติแบบนี้ ฉีเล่ยชินชาตั้งแต่อยู่ในโรงพยาบาลหนานหยางแล้ว และเขาก็ค่อนข้างเบื่อกับระบบปรสิตพวกนี้มากด้วย