ตอนที่ 153 สภาพจิตใจ

กระบี่จงมา! Sword of Coming

บทที่ 153 สภาพจิตใจ โดย ProjectZyphon

ซิ่วไฉเฒ่าแตะปลายเท้า ก้าวเดียวก็ข้ามเทือกเขาและแม่น้ำมาไกลแปดร้อยลี้ พลิ้วกายลงบนตำแหน่งที่เฉินผิงอันรับกระบี่ก่อนหน้านี้ แล้วจึงเริ่มเดินช้าๆ ยกมือขึ้น งอนิ้วแล้วทำท่าคล้ายเคาะประตู เพียงแต่ไม่มีการตอบรับใดๆ ซิ่วไฉเฒ่าเอามือลง กล่าวอย่างจนใจ “ไม่พิถีพิถันเอาเสียเลย การเดินทางในครั้งนี้ไม่ต่างจากการกางกระโจมอยู่ในบ้านคนอื่น ช่างเถอะๆ ข้ารอก็ได้”

ซิ่วไฉเฒ่าเริ่มรอให้จิตวิญญาณกระบี่เผยกายอย่างอดทน ท่ามกลางการรอคอยที่ยาวนาน ผู้เฒ่ายืนอยู่ที่เดิม คิดพิจารณาปัญหายากข้อหนึ่ง ไม่มีท่าทีหงุดหงิดงุ่นง่าน

กลางอากาศเกิดริ้วกระเพื่อมเล็กๆ เห็นเพียงว่าสตรีร่างสูงใหญ่คว้าไหล่เฉินผิงอันเดินก้าวออกมาจากความว่างเปล่า

ซิ่วไฉเฒ่าคืนสติ ประโยคแรกที่เอ่ยคือ “ข้ายอมแพ้ ไม่สู้แล้ว จะอย่างไรซะไม่ว่าจะออกอีกสองกระบี่ที่เหลือหรือไม่ก็ไม่สำคัญ ถูกไหม?”

วิญญาณกระบี่กึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง “ถ้าอย่างนั้นการท้าทายสองครั้งของเจ้าล่ะ จะนับอย่างไร?”

ผู้เฒ่าหัวเราะร่า “เรื่องใดไม่เกินสามครั้งไงล่ะ”

นางทอดสายตามองไปยังทิศทางของภูเขาสุ้ยซาน “มหาเทพภูเขาสุ้ยซานองค์ใหม่หรือ? รับหน้าที่นี้มานานแค่ไหนแล้ว?”

ซิ่วไฉเฒ่าตอบ “หกพันปีเต็ม สามพันปีกว่าก่อนหน้านี้ เจ้าเพิ่งร้องเสร็จ ข้าก็ขึ้นเวที (เป็นคำเย้ยหยันถึงการสับเปลี่ยนหมุนเวียนทางอำนาจ เสียดสีการเมืองการปกครอง) เละเทะวุ่นวาย อำนาจบารมีหายสิ้น ขุนเขาบูรพาอย่างภูเขาสุ้ยซานนี้เปลี่ยนนายมาถึงสามคน ช่วงที่วุ่นวายที่สุดเคยถูกมองเป็นอำนาจสายหนึ่งของลัทธิมาร จึงถูกคนอื่นเข้ามายึดครองโดยตรง คือสถานการณ์ที่มารยาทและพิธีการพังทลายวุ่นวายอย่างแท้จริง มหาเทพภูเขาสุ้ยซานคนปัจจุบันสามารถครองตำแหน่งนี้อย่างมั่นคงถึงหกพันปี แม้ว่าจะมีโชคช่วยด้วย แต่ที่มากกว่านั้นกลับยังอาศัยพลังการต่อสู้ที่น่าหวาดกลัวของตัวเขาเอง หมัดแข็งพอ อีกทั้งคนเท้าเปล่าย่อมไม่กลัวจะสวมรองเท้า ใครบ้างจะไม่กริ่งเกรง”

วิญญาณกระบี่เอ่ยเย้ยหยัน “มารยาทและพิธีการพังทลาย? เพราะพวกเจ้าสามลัทธิแบ่งของสินบนได้ไม่เท่าเทียม? หรือเป็นเพราะฝ่ายในของใต้หล้าไพศาลเกิดการคุมเชิงกันระหว่างธรรมะและอธรรม? แล้วหลี่เซิ่งผู้นั้นล่ะ ด้วยนิสัยของเขาจะนิ่งดูดายได้อย่างไร?”

ซิ่วไฉเฒ่าถอนหายใจ “เรื่องมันยาว ไม่ต้องพูดถึงดีกว่า”

สตรีร่างสูงใหญ่เอาสองมือไพล่หลัง สีหน้าดูแคลนยิ่งเข้มข้น “สถานการณ์โดยรวมมั่นคงแล้ว แน่นอนว่าย่อมต้องมีการเลือกเป็นภายใน ฮ่าๆ ช่างเป็นการช่วงชิงบนมหามรรคาที่ยอดเยี่ยมนัก เมธีร้อยสำนักประชันกัน ครึกครื้นซะจริง แล้วผลล่ะเป็นอย่างไร? โลกเปลี่ยนมาดีขึ้นอย่างนั้นหรือ?”

ซิ่วไฉเฒ่าปรายตามองวิญญาณกระบี่ชุดขาว ตัดบทด้วยน้ำเสียงที่แข็งกระด้างอย่างยิ่ง “ฝ่ายในของระบบลัทธิขงจื๊อย่อมไม่เรียกว่าใสสะอาดจนเห็นเบื้องล่าง ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นวิญญูชนผู้มีคุณธรรมและเมตตาธรรม แต่บรรพบุรุษของลัทธิขงจื๊อพวกเราต้องทุ่มเทสติปัญญาและแรงใจนับไม่ถ้วนเพื่อเรื่องนี้ จะบอกว่าควักหัวใจหลั่งเลือดก็ไม่เกินจริงเลย ด้วยเหตุนี้จึงยังคงรักษาต้นกำเนิดที่บริสุทธิ์เที่ยงตรงเอาไว้ได้ ไม่อาจถูกปฏิเสธได้ด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียวของเจ้า”

วิญญาณกระบี่กล่าวมีเลศนัย “นี่ถือเป็นครั้งที่สามหรือไม่?”

ซิ่วไฉเฒ่าที่นาทีก่อนหน้านี้ยังทำตัวไม่เอาไหนกลับไม่คิดจะยอมถอยให้แม้แต่น้อย เขาเอ่ยเรียบๆ ว่า “สำหรับเรื่องนี้ หากเจ้ารู้สึกว่าไม่ถูกต้อง ข้าสามารถอธิบายเหตุผลให้เจ้าฟังร้อยปีพันปี เจ้าจะใช้กระบี่มาอธิบายเหตุผลของเจ้าก็ไม่เป็นไร”

นางมองประเมินผู้เฒ่าร่างผอมบางไม่สูงใหญ่อย่างตั้งใจ “เจ้าสูญเสียโชคชะตาของอริยะไปจนสิ้นแล้วจริงๆ เหลือแค่จิตวิญญาณเท่านั้น จึงมองโลกมนุษย์ของใต้หล้าแห่งนี้เป็นสถานที่พักพิง?”

ซิ่วไฉเฒ่าเงียบไปครู่ใหญ่ “ใช่”

นางเก็บจิตสังหารที่บังเกิดขึ้นมาตามธรรมชาตินั้นลงไป สายตาซับซ้อน “หลายปีที่ผ่านมานี้ก็มีแค่พวกเจ้าสองคนเท่านั้นที่ทำได้ แต่ข้าประหลาดใจมาก เจ้าเลื่อมใสในการเลือกของเจ้าหมอนั่น? หรือเป็นเพราะไม่มีทางเลือกอื่น? ความเป็นไปได้ข้อแรกน้อยมาก เกี่ยวพันกับมหามรรคาของเจ้าแล้ว ข้าคาดการณ์เอาว่า ต่อให้นี่จะไม่ใช่งานสบายที่งดงามอะไร แต่ตาเฒ่าในระบบของลัทธิขงจื๊อก็ไม่มีทางปล่อยให้เจ้าทำสำเร็จแน่นอน”

ซิ่วไฉเฒ่าตอบอย่างสงบ “เอาอย่างผู้มีคุณธรรมและความสามารถ ถูกต้องตามหลักการฟ้าดิน”

นางหยุดคิดไปชั่วครู่ แล้วหันไปมองเฉินผิงอัน เอ่ยยิ้มๆ “ไม่เพียงแต่ความตั้งใจเดิมสำเร็จสมปรารถนา ยังเหนือกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก เห็นแก่ที่เจ้าเลือกเช่นนี้ แน่นอนว่าที่สำคัญที่สุดคือเห็นแก่เจ้านายของข้า อีกสองกระบี่ที่เหลือก็ปล่อยค้างไว้ก่อน? วันหน้าหากจู่ๆ ข้าเห็นเจ้าเกะกะสายตาค่อยคิดบัญชีเก่าใหม่รวมกัน”

ซิ่วไฉเฒ่าที่ทำหน้าตึงอยู่ตลอดเวลาพลันมาดหลุด ตบขาตัวเองดังป้าบ กล่าวกลั้วหัวเราะ “ค้างไว้ก่อนๆ ค้างไว้ดีนัก วันสิ้นปีของพวกชาวบ้านมักจะทำแบบนี้ เหลืออาหารไว้ในจานเล็กน้อยเพื่อแสดงให้เห็นว่าปีถัดไปยังมีเหลือค้าง เป็นลางดี ความหมายก็ดี”

ไมว่าจะมองอย่างไรท่าทางของผู้เฒ่าก็เหมือนว่าอารมณ์ดีเพราะเอาชีวิตรอดมาได้

วิญญาณกระบี่ไม่สนใจ เพียงเอ่ยเสียงเย็น “เปิดประตู”

ผู้เฒ่าสะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งที ก้าวยาวๆ นำไป เอ่ยเสียงดังกังวาน “แหงนหน้าหัวเราะร่าออกจากประตู”

เฉินผิงอันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงถามเสียงเบา “กระบี่นั้นที่ข้าปล่อยออกไปแย่มากเลยใช่ไหม? ดูเหมือนภูเขาลูกใหญ่นั้นจะไม่แม้แต่ขยับเขยื้อน ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสบอกว่าพรสวรรค์ในการฝึกกระบี่ดีหรือเลวต้องดูที่ว่าสามารถรับตัวอักษรไปได้กี่ตัว แม้เดิมทีข้าเองก็ไม่ได้เต็มใจยอมรับพวกมัน แต่พวกมันเองก็ไม่เต็มใจเข้าใกล้ข้าเหมือนกันนี่นา นี่จะเป็นการบอกว่าพรสวรรค์ในการฝึกกระบี่ของข้าธรรมดาเหมือนฝึกหมัดใช่หรือไม่?”

เฉินผิงอันยิ่งพูดก็ยิ่งเสียใจ “ผู้อาวุโสยังเคยบอกว่าหากข้าถ่วงแข้งถ่วงขา ต่อให้ตอนนั้นมีตบะขอบเขตสิบ กระบี่นั้นที่ฟันออกไปก็มีประสิทธิผลเท่าแค่ขอบเขตเจ็ด”

คำพูดอันเป็นวาทศิลป์แค่อ้าปากก็เอ่ยได้ ทว่าเรื่องยากใต้หล้านี้ก็ยากตรงที่จำเป็นต้องเดินทีละก้าว

เฉินผิงอันเด็กบ้านนอกตรอกหนีผิงเข้าใจหลักการนี้กระจ่างแจ้งยิ่งนัก

วิญญาณกระบี่ยื่นมือไปหยิกแก้มเด็กหนุ่ม ยิ้มตาหยี “วันหน้าเจ้าก็จะได้รู้เอง”

เฉินผิงอันหน้าแดงก่ำ เผยอปากจะพูดแต่ก็ไม่พูด

จิตของนางเชื่อมโยงเข้ากับเด็กหนุ่มนางแล้ว จึงจูงมือเด็กหนุ่มเดินช้าๆ ไปทางประตูใหญ่ของม้วนภาพภูเขาแม่น้ำบานนั้นพลางเอ่ยเสียงอ่อนโยน “นายท่าน รู้ไว้นะ วันหน้าเมื่ออยู่ต่อหน้าแม่นางบางคน ข้าไม่มีทางปล่อยตัวตามสบายเช่นนี้ นางจะได้ไม่เข้าใจเจ้าผิด เห็นว่าเจ้าเป็นคนเสเพลจิตใจโลเล”

เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง ทั้งรู้สึกผ่อนคลายเหมือนยกภูเขาออกจากอก แล้วก็รู้สึกดีใจเหมือนนางได้กลายมาเป็นสหายรู้ใจ

สตรีสูงใหญ่พลันหันหน้ากลับมา พูดเหมือนไม่พอใจ “แต่เจ้าไม่กลัวว่าพี่สาวเทพเซียนจะรู้สึกน้อยใจหรือ?”

เด็กหนุ่มคิดแล้วก็ตอบอย่างจริงจัง “ข้าจะขอโทษท่าน แต่เรื่องบางเรื่อง ข้ารู้สึกว่าก็ควรจะเป็นเช่นนั้น”

ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง ถึงขั้นน้ำตาคลอคล้ายจะร้องไห้

แม้ว่าเฉินผิงอันจะทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง แต่สายตากลับเด็ดเดี่ยว เม้มริมฝีปาก ไม่ยอมเปลี่ยนความตั้งใจเดิม

วิญญาณกระบี่พลันยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี ยกนิ้วโป้งให้เด็กหนุ่ม เอ่ยชื่นชม “เท่ห์มาก!”

เฉินผิงอันถามขลาดๆ “ไม่โกรธจริงๆ หรือ?”

นางจูงมือเฉินผิงอัน หยุดยืนตรงหน้าประตูบานใหญ่ แล้วพลันก้มตัวลงกอดเด็กหนุ่ม ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้มอบอุ่นคล้ายคนที่ชอบนอนมากที่สุดได้ขดตัวหลับสนิทอยู่ในผ้าห่มอันอบอุ่นท่ามกลางฤดูหนาว ความรู้สึกมีความสุขเช่นนั้นไม่อาจหาคำใดมาบรรยายได้จริงๆ นางไม่สนว่าเฉินผิงอันจะรู้สึกอย่างไร กล่าวร่าเริงว่า “หืมๆๆ ผิงอันน้อยของข้าน่ารักจริงๆ เลย!”

เด็กหนุ่มพลันรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า ยืนนิ่งไม่ขยับ ในสมองว่างเปล่า ไร้ซึ่งความคิดใดๆ

พี่สาวเทพเซียน

เทพเซียนเป็นเพียงความรู้สึกแรก อันที่จริงพี่สาวต่างหากถึงจะเป็นความรู้สึกในส่วนลึกของหัวใจเฉินผิงอัน

ในที่สุดนางก็ยอมปล่อยเฉินผิงอัน พอยืดตัวขึ้นตรงแล้วก็หันหน้ามองไป มีตาเฒ่าคนหนึ่งที่ทำลับๆ ล่อๆ กลับเข้ามาในภาพวาดภูเขาแม่น้ำ หันหลังให้คนทั้งสอง กระแอมไอก่อนพูด “อะไรที่ไม่เหมาะสมกับหลักมารยาทไม่ควรมอง วางใจเถอะ ข้าไม่เห็นและไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น ก่อนหน้านี้แค่ลืมของอย่างหนึ่งเอาไว้เลยต้องย้อนกลับมาเอา”

สตรีร่างสูงใหญ่ที่อารมณ์ดีคร้านจะสนใจเรื่องพวกนี้

มารยาท คุณธรรม ผลกรรม?

สิ่งที่กว้างขวาง สูงและห่างไกลอย่างยิ่งเหล่านี้ไม่เคยพันธนาการนางไว้ได้

บนมหามรรคา เคยมีคนที่ไร้สิ่งของติดกาย เดินมุ่งตรงไปด้านหน้าโดยอาศัยเพียงกระบี่เล่มเดียว

ไม่ว่าอะไรที่มากีดขวาง หนึ่งกระบี่บุกเบิกเปิดทาง

 ไม่ว่ามีอะไรที่ไม่ราบรื่น หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้ราบเรียบ

หลังจากที่นางหลับสนิทมาหนึ่งหมื่นปี ในที่สุดก็หาอีกคนหนึ่งเจอ

ทั้งสองคนแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน

แต่นางกลับไม่รู้สึกผิดหวัง

หากจะบอกว่าแรกเริ่มเชื่อมั่นใจตัวฉีจิ้งชุน จึงเลือกที่จะเชื่อในโอกาสหนึ่งเสี้ยว เดิมพันกับคำว่า “ถ้าหาก” ที่มีความเป็นไปได้น้อยนิด ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ต่อให้ฉีจิ้งชุนฟื้นคืนชีพกลับมา บอกว่าเขาผิดไปแล้ว เจ้าไม่ควรเลือกเด็กหนุ่มคนนั้น ต่อให้เขายกเหตุผลมากมายมาอ้าง นางก็ไม่มีทางฟัง”

นางปล่อยมือ บอกเป็นนัยให้เฉินผิงอันเดินไปก่อน

เด็กหนุ่มเดินนำไปที่ประตูบานใหญ่

วิญญาณกระบี่มองไหล่ที่ยังบอบบางของเด็กหนุ่มแล้วเดินตามหลังไปติดๆ

คนเราล้วนมีสภาพจิตใจ ผู้ฝึกลมปราณเรียกว่าห้องโอสถ คนในโลกเรียกว่าห้องหัวใจ

ทะเลสาบหัวใจก็คือหนึ่งในนั้น

ตอนนั้นที่นางยืนอยู่บนทะเลสาบหัวใจของเด็กหนุ่มแล้วกวาดตามองไปรอบด้าน นางเห็นแต่ความว่างเปล่า สะอาดสะอ้าน

จากนั้นในที่สุดนางก็มองเห็นว่ามีสถานที่แห่งหนึ่งที่ไม่ได้เหมือนแห่งอื่น พบเจอ “โฉมหน้าดั้งเดิมของกระจกหัวใจ” ที่แม้แต่ตัวเด็กหนุ่มเองก็ตระหนักไม่ถึง

นั่นคือเด็กกำพร้าอายุสี่ห้าขวบคนหนึ่ง เขานั่งขดตัว สองแขนกอดเข่าอยู่บนพื้นอย่างเดียวดาย ข้างเท้ามีรองเท้าแตะคู่เล็กคู่หนึ่งวางอยู่ และเขามักจะนั่งเหม่ออยู่อย่างนี้เป็นประจำ

ข้างกายของเด็กชายคนนี้คือเนินดินขนาดเล็กที่ไม่มีป้ายหน้าหลุมฝังศพ

บริเวณใกล้ๆ กับเนินฝังศพยังมี “เนินดินเล็ก” ขนาดเล็กกว่าหลุมฝังศพอีกสองเนิน ลักษณะคล้ายยอดเขา

ทุกครั้งที่เด็กชายพักผ่อนพอแล้วก็จะสวมรองเท้าแตะคู่เล็ก แล้ววิ่งออกไปไกลเพื่อไปย้ายภูเขาลูกเล็กมาไว้ข้างหลุมศพ เปลืองแรงอย่างมาก ทุกครั้งจึงได้แค่ย้ายมาในระยะทางสั้นๆ

ตอนที่วิ่งไปย้ายภูเขา ตรงเอวเด็กชายจะห้อยตราประทับขนาดเล็กชิ้นหนึ่ง บนหัวสวมงอบใบเล็ก

ตราประทับชิ้นเล็กจะต้องแกว่งไกวไปตามฝีเท้าของเด็กชาย

ที่น่าแปลกก็คือไม่มีภาพสะท้อนกลับหัวของบ้านบรรพบุรุษในตรอกหนีผิงบนกระจกหัวใจ

อาจจะเป็นเพราะส่วนลึกในใจของเด็กชายมองว่า เมื่อพ่อแม่จากโลกนี้ไปก็ไม่มีบ้านอีกแล้ว ดังนั้นเขาจึงเอาแต่นั่งเฝ้าหลุมศพขนาดเล็กนั่น

สีหน้าของเด็กชายดื้ออึง มักจะชอบขมวดคิ้ว เม้มปาก

แต่ปากครั้งเด็กคนนี้ก็จะคลี่ยิ้ม น่าจะเป็นเรื่องที่มีค่าพอให้ดีใจอย่างแท้จริง ยกตัวอย่างเช่นเขาแอบบอกกับหลุมศพเล็ก ริมฝีปากของสั่นระริก แต่กลับไม่มีเสียงดังขึ้นมาในหัวใจ ทว่าจิตวิญญาณกระบี่ที่จิตเชื่อมโยงอยู่กับเขาย่อมรู้ถ้อยคำที่ไร้เสียงนั้น

“ท่านแม่ ข้ารู้จักพี่สาวเทพเซียนคนหนึ่ง ตอนที่นางยิ้ม เหมือนกับท่านมากเลย”

นอกจากย้ายภูเขา “กลับบ้าน” แล้ว เด็กชายก็แทบจะไม่เคยออกห่างจากบริเวณหลุมฝังศพ บางครั้งยังคล้ายจูงมือเล็กของแม่นางน้อยคนหนึ่งเดินไปทางทิศใต้ เพียงแต่ทุกระยะทางที่เดินไป เด็กชายจะต้องแอบหันกลับมามองทางหลุมศพเงียบๆ เห็นได้ชัดว่าอาลัยอาวรณ์อย่างมาก

แต่มีเพียงสถานการณ์เดียวที่เด็กน้อยจะวิ่งตะบึงไปไกลมากๆ อีกทั้งยังคอยแหงนดวงหน้าเล็กมองไปบนท้องฟ้าสูงอยู่ตลอดเวลา คล้ายกำลังไล่ตามใครบางคนบนฟ้าที่จากเขาไปไกล

……

ในม้วนภาพวาดภูเขาแม่น้ำ สีหน้าของซิ่วไฉเฒ่าเคร่งเครียด

“น้ำเงินกำเนิดจากต้นคราม แต่สีเข้มกว่าคราม ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสนี้เสมอไป”

ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “ประเสริฐยิ่งแล้ว”

ผู้เฒ่าเงียบงันไปนาน ค้นพบว่าฟ้าดินเริ่มสั่นสะเทือนน้อยๆ ก็กล่าวอย่างจนใจว่า “มีความอดทนกับเจ้าเด็กนั่นขนาดนั้น แต่ไม่มีความอดทนให้ข้าได้บ้างเลยหรือ? อ้อ ใช่แล้ว ตอนนี้ยังยิ้มได้ หากตำนานที่สืบทอดกันมาจากเซียนกระบี่บรรพกาลเป็นเรื่องจริง พวกตาเฒ่าที่ในปีนั้นถูกเจ้าฟันจนเกือบตายได้มาเห็นสภาพเจ้าตอนนี้ จะไม่ถลึงตาจนตาถลนออกมาเลยรึ?”

ผู้เฒ่ามองไปยังท้องฟ้าของฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้คล้ายจะมองให้ทะลุม่านฟ้าหนาชั้น แล้วพลันเอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “วิถีสวรรค์โคจรอย่างแข็งขัน วิญญูชนเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ตนเองไม่หยุดยั้ง กล่าวได้ดีจริงๆ ต่อให้ผ่านไปอีกกี่หมื่นๆ ปีก็ไม่มีทางผิด มิน่าเล่าตอนนั้นบรรพบุรุษลัทธิขงจื๊อของพวกเราถึงได้ขอความรู้จากท่านผู้อาวุโส ดูท่าแล้วเรื่องของหลักการเหตุผลนี้ บัณฑิตอย่างพวกเราไม่เพียงแต่เอ่ยถึงช้าไปหน่อย ยังอยู่ไกลเกินกว่าจะอธิบายจบ อธิบายอย่างทะลุปรุโปร่งด้วย”

—–