ภาค 1 บทที่ 92 แขนขาด

จอมศาสตราพลิกดารา

ใช่แล้ว

ทำไมกัน?

อัจฉริยะน้อยที่อ่อนต่อโลกและดื้อดึงคนนี้ค่อนข้างสับสนแล้ว

โจวเจิ้นชิวมองไปยังลูกศิษย์ชายคนนั้น พูดขึ้นว่า “ในที่สุดก็มีคนหนึ่งที่ไม่โง่งมแล้ว…จางเจาพูดได้ถูกมาก”

ลูกศิษย์ชายที่ชื่อจางเจาคนนี้ก้มหน้าลงอย่างเขินอาย

หลังนิ่งไปครู่หนึ่ง โจวเจิ้นชิวก็กล่าวอีก “เอาละ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่พวกเจ้าออกจากสำนัก ประสบการณ์ในยุทธจักรยังน้อยนิด ข้าก็จะไม่ว่ากล่าวพวกเจ้าจนเกินไป แต่ว่า พวกเจ้าทั้งหมดจงจำไว้ ยุทธจักรแต่ไหนแต่ไรมาไม่ได้ง่ายดายแค่ถือกระบี่ท่องไปในใต้หล้าอย่างที่คิด เมื่อย่างก้าวเข้าไปในยุทธจักรก็เท่ากับเข้าไปในเมืองผี มีภูตผีปีศาจขวักไขว่ เสือสิงห์กระทิงแรดเต็มไปหมด หลายครั้งก้าวผิดพลาดหนึ่งก้าว ก้าวต่อไปก็จะพลาดพลั้งไปด้วย จึงต้องพยายามวิเคราะห์อย่างใจเย็น อย่าได้ลงมือทำอะไรเพียงแค่ลางสังหรณ์ ความเห็นอกเห็นใจ ความเลือดร้อน หรืออาการวู่วาม มิฉะนั้นไม่เพียงแต่จะทำร้ายตัวเจ้าเอง แต่ยังนำหายนะมาให้กับทั้งสำนักด้วย”

คำพูดนี้สั่งสอนชี้แนะออกมาจากใจจริง

ลูกศิษย์ทั้งหลายรับรู้ต่างกันไป

บางคนรับฟัง

บางคนคล้ายครุ่นคิดบางอย่าง

และก็มีบางคนที่ในใจไม่ยอมจำนน รู้สึกว่าผู้อาวุโสโจวคนนี้ขี้ขลาดไปหน่อยแล้ว

สีหน้าของศิษย์ทั้งหลายอยู่ในสายตาของโจวเจิ้นชิว แน่นอนว่าเขาดูออกอย่างชัดเจน แต่ก็ไม่พูดอะไรอีก

จ้าวหลิงเอ่ยอย่างไม่ยอมจำนน “เช่นนั้น…เช่นนั้นสรุปแล้วใครเป็นคนสังหารพวกศิษย์พี่ลู่อวิ๋น? หรือเรื่องนี้จะจบลงไปแค่นี้หรือ?”

“ใช่แล้ว ถึงอย่างไรพวกคนในที่ว่าการก็ส่งศิษย์พี่ลู่อวิ๋นมายังโกดังเก็บศพ นี่จะต้องเกี่ยวกับที่ว่าการอย่างแน่นอน” ลูกศิษย์ชายที่ปกติมีความรู้สึกดีๆ กับจ้าวหลิงกล่าวอย่างวู่วาม

“ใช่แล้ว พี่ใหญ่ หรือจะจบกันแค่นี้? หลี่มู่อย่างไรก็เป็นที่ต้องสงสัย” โจวเจิ้นไห่รีบร้อนเสริมขึ้นพลางเช็ดน้ำตา ยังคงเรียกคะแนนความเห็นใจ

โจวเจิ้นชิวหมุนตัวเดินไปนอกโกดังเก็บศพทีละก้าว ทีละก้าว

“แน่นอนว่าไม่มีทางจบลงแค่นี้ พวกลู่อวิ๋นตายอยู่ในที่ว่าการ ขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์จะต้องรับผิดชอบ ให้คำตอบกับสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์เรา”

เขาพูดไปเดินไป

“สิบปีที่พากเพียรลับคมกระบี่ ประกายคมวับแวมแต่ยังมิเคยได้ลองใช้จริง… ‘กระบี่เป็นหนึ่ง’ ของข้าก็ไม่ได้เจอคู่มือที่สมน้ำสมเนื้อมานานแล้ว”

โจวเจิ้นชิวไม่ได้เป็นแค่ผู้อาวุโสนอกของสำนักกระบี่ขาวพิสุทธิ์เท่านั้น แต่ยังเป็นกระบี่มือหนึ่งของสายนอกอีกด้วย

กระบี่ยาวข้างเอวเขาก็สั่นไหวเสียงดังหึ่งๆ ตามคำพูดของเขา

เวลานี้ สายตาของศิษย์หนุ่มสาวทั้งหลายต่างหยุดอยู่ที่เงาแผ่นหลังของร่างกำยำผมขาว พลันรู้สึกมีรัศมีองอาจที่ยากจะบรรยายแผ่ซ่านออกมาจากแผ่นหลังนั้น ชวนให้คนศิโรราบ หมอบเคารพอย่างอดไม่ได้

นี่หรือ ถึงจะเป็นเสน่ห์ที่แท้จริงของมือกระบี่อันดับหนึ่ง?

……

“ปล่อยข้า ข้าจะฆ่าหลี่มู่ให้ตาย อ๊ากกก ข้าจะให้มันตาย”

ในที่ว่าการอำเภอ หลี่ปิงที่เหมือนหมาบ้าตาทั้งสองแดงก่ำ เนื้อตัวสั่นเทิ้ม กำลังตวาดอย่างบ้าคลั่งภายใต้การพยุงของทหารชุดเกราะสองคน

ทหารชุดเกราะของเมืองฉางอันเพิ่งจะช่วยเขาออกมาจากคุกของที่ว่าการอำเภอ

เสื้อผ้าขาดวิ่น ร่างกายอ่อนระโหยโรยแรง ผมเต็มไปด้วยคราบสกปรกเป็นสังกะตัง ทั่วร่างส่งกลิ่นเหม็น ผอมเสียแทบจะเปลี่ยนเป็นคนละคน…รูปลักษณ์ที่เหมือนขอทานนี้ ช่างยากที่จะให้คนคิดไปถึงคุณชายน้อยที่เจ้าเมืองฉางอันรักเอ็นดูที่สุดคนนั้นได้

“ฆ่ามัน ฆ่ามันให้หมด ไม่ต้องละเว้นแม้แต่คนเดียว…ข้าจะให้คนในที่ว่าการตายทั้งหมด ตายไปทั้งหมด” หลี่ปิงที่โกรธจนเต้นเร่าๆ คำรามอย่างบ้าคลั่งราวสุนัขพันธุ์ทางที่กำลังติดสัด

 “นายทะเบียนเฝิง นี่มันเรื่องอะไรกัน? ข้าต้องการคำอธิบาย” เจิ้งฉุนเจี้ยนสีหน้าเย็นชา

ทุกคำที่เขาเปล่งออกมา เหมือนทำให้อุณหภูมิในห้องโถงลดลงไปอีกหลายองศา

ขุนนางเล็กๆ ของอำเภอขาวพิสุทธิ์ที่ไม่รู้เรื่องราวบางคนตกใจจนคุกเข่าลงไปกับพื้น ตัวสั่นงันงก

แม้แต่ฝันพวกเขาก็คิดไม่ถึงว่าบุตรชายคนเล็กของเจ้าเมืองฉางอันที่หายตัวไป จะถูกขังอยู่ในคุกที่ว่าการ เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้อย่างไร นี่ไม่ใช่การจุดโคมในห้องน้ำ…รนหาที่ตาย[1]หรือ?

เฝิงหยวนซิงและเจินเหมิ่งเหงื่อไหลเต็มหน้าผาก

ต้องเอาชีวิตข้าแน่แล้ว

เวลานี้ ทำไมในเวลาแบบนี้ใต้เท้าหลี่มู่กลับไม่อยู่ในอำเภอกัน

“คือว่า…พวกเราไม่รู้ฐานะของคุณชายหลี่ ตอนนั้นมีคนทุบตีทำร้าย ฉุดคร่าหญิงสาวอยู่ข้างถนน ใต้เท้าหลี่จึงลงมือจับสามสี่คนนั้นด้วยตัวเอง เรื่องนี้ข้าน้อยไม่รู้เรื่องด้วย” เฝิงหยวนซิงปัดความรับผิดชอบให้หลี่มู่

แน่นอน นี่เป็นแผนที่หารือกันดีแล้วตอนปรึกษากับหลี่มู่

“เหลวไหล เป็นเจ้านั่นแหละ ต่อให้เจ้ากลายเป็นผุยผงข้าก็จำเจ้าได้” หลี่ปิงกรีดร้อง “เจ้าใช้ทัณฑ์ทรมานกับข้า ชิงของทุกอย่างในกายข้าไปหมด เป็นเจ้า…ทหาร ทหาร จับมันมาให้ข้า ข้าจะทำให้มันตายไปละน้อย”

“นายทะเบียนเฝิง ท่านได้ยินคำพูดของคุณชายหลี่แล้วกระมัง จะอธิบายเช่นไร?” เจิ้งฉุนเจี้ยนหัวเราะเสียงเย็น

เฝิงหยวนซิงถอนหายใจ

เอวที่แต่เดิมโค้งงอของเขาค่อยๆ เหยียดตรงขึ้นมา

“ไม่มีอะไรจะอธิบาย ข้าแค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น”

หลังเขาเหยียดตรง สีหน้าเคารพนอบน้อมค่อยๆ จางหายไป เปลี่ยนเป็นสงบสุขุมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ครั้นมาถึงตรงนี้ เฝิงหยวนซิงรู้สึกว่าตัวเองเหมือนไม่มีความจำเป็นต้องประจบประแจงต่อไปแล้ว

ถึงแม้ประสบการณ์ในแวดวงขุนนางอันยาวนานของเขาบอกว่าผลของการประจบสอพลอน่าจะดีกว่า ถ้าหากเป็นเขาในอดีต บางทีตอนนี้ก็อาจจะคุกเข่าขออภัยและแก้ตัวร้องไห้ขี้มูกโป่งไปแล้ว แต่จู่ๆ เขาก็ไม่อยากจะทำแบบนั้นอีก

บางทีอาจเพราะติดตามอยู่ข้างกายใต้เท้าหลี่มู่นาน เหมือนจะชินกับความรู้สึกที่ไม่ต้องประจบประแจงแล้ว แบบนี้ทำให้เขารู้สึกว่าสบายมากยิ่งขึ้น

ใบหน้าของเจิ้งฉุนเจี้ยนปรากฏแววแปลกใจ จากนั้นก็เคร่งเครียดขึ้นทันที

“ดี ดีมาก” สายตาของ ‘ซิ่วไฉใจเหี้ยม’ ผู้นี้จ้องมายังเจินเหมิ่ง “เจ้าเป็นถึงหัวหน้าพัศดี ในคุกเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง ใจของเจ้าไม่รู้อะไรอย่างนั้นรึ? กลับกล้าปล่อยให้คนอื่นลงทัณฑ์ทรมานกับคุณชายหลี่?”

เมื่อครู่เจินเหมิ่งจ้องเฝิงหยวนซิงอยู่ตลอด และตื่นตะลึงกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่าย

ตอนนี้ถูกซักถาม เขาถึงเพิ่งจะตั้งสติกลับมาได้ เขารับสายตาของเจิ้งฉุนเจี้ยนพลางหัวเราะ “ขุนนางพัศดีของจักรวรรดิฉินตะวันตก ในสายตามีแต่นักโทษกับผู้บริสุทธิ์เท่านั้น ไม่มีคุณชายจางคุณชายหลี่อะไร”

เจิ้งฉุนเจี้ยนอึ้งไปอีกครั้ง

โดนขุนนางท้องถิ่นที่เหมือนมดปลวกสองคนในสายตาเขากระด้างกระเดื่องใส่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า นานกี่ปีมาแล้ว นี่นับว่าเป็นครั้งแรก

“ฆ่ามันให้ตาย รีบฆ่ามันเร็วเข้า จะมัวนิ่งอึ้งอยู่ทำไมเล่า เจิ้งฉุนเจี้ยน เจ้าได้ยินหรือไม่? ข้าจะให้พวกมันตาย ตายไม่เหลือซาก”

ในปากของหลี่ปิงยัดน่องไก่ไว้ กำลังกินมูมมามพร้อมโมโหเดือดดาล

เขาถูกจัดให้นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง กินอาหารคำโตจากการปรนนิบัติของหญิงรับใช้ทั้งสอง

หลายวันมานี้ ทุกวันมีแค่หมั่นโถวหนึ่งลูกน้ำหนึ่งชาม เขาใกล้หิวตายข้างในนั้นอยู่แล้ว ตอนนี้แทบอยากจะแล่เนื้อเถือหนังคนในที่ว่าการอำเภอทั้งหมดเป็นพันเป็นหมื่นชิ้น

“เฝิงหยวนซิงกับเจินเหมิ่งบกพร่องต่อหน้าที่ ล่วงละเมิดลงทัณฑ์โดยมิชอบ ให้ส่งตัวเข้าคุก ควบคุมตัวอย่างเข้มงวด” เจิ้งฉุนเจี้ยนโบกมือ เอ่ยพร้อมหัวเราะเยาะหยัน

“ช้าก่อน” หม่าจวินอู่ที่อยู่อีกด้านหนึ่งเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดี จึงรีบก้าวออกมา พูดขึ้นว่า “อาจารย์เจิ้ง ท่านเป็นผู้มีฐานะสูงส่งมาจากเมืองฉางอัน พวกเราเคารพท่านอยู่ส่วนหนึ่ง แต่นายทะเบียนเฝิงและพัศดีเหมิ่งทั้งสองเป็นขุนนางแห่งจักรวรรดิ มีตำแหน่งหน้าที่ ยังไม่ได้ผ่านการสอบสวนจากอำเภอ จะส่งตัวเข้าคุกไปแบบนี้ไม่ได้”

“เจ้าเป็นใคร?” เจิ้งฉุนเจี้ยนหัวเราะดูถูก

“ข้าน้อยหม่าจวินอู่ หัวหน้ามือปราบของที่ว่าการอำเภอขาวพิสุทธิ์”

“อ้อ เจ้าก็คือหม่าจวินอู่นี่เอง ได้ยินมาว่าหลี่มู่เรียนวิชาธนูจากเจ้า?” เจิ้งฉุนเจี้ยนพูดเหมือนยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม

เฝิงหยวนซิงที่อยู่ข้างๆ ได้ยินแล้วใจตื่นตระหนกทันที

เรื่องที่ใต้เท่าหลี่มู่เรียนวิชาธนูกับหม่าจวินอู่ นอกจากคนในที่ว่าการแล้ว คนนอกก็รู้น้อยมาก เจิ้งฉุนเจี้ยนรู้กระทั่งเรื่องนี้ด้วย?

นี่หมายความว่าอย่างไร?

หมายความว่าครั้งนี้ คนที่มาจากเมืองฉางอันไม่ได้ลงมือปุบปับ แต่แอบตรวจสอบใต้เท้าหลี่มู่อย่างละเอียดมาก่อน ดังนั้นจึงรู้เรื่องเช่นนี้เป็นอย่างดี แต่ปัญหาก็คือ หากไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษ เมืองฉางอันไยจึงต้องตรวจสอบใต้เท้าหลี่มู่ด้วย?

ความหมายลึกซึ้งเบื้องหลัง คิดโดยละเอียดแล้วน่ากลัวยิ่งนัก

“ใต้เท้าหลี่เก่งกาจกล้าหาญ ข้าจะไปคู่ควรเป็นอาจารย์ของเขาได้อย่างไร” หม่าจวินอู่กล่าว

หลี่ปิงอยู่อีกด้านหนึ่ง ร้องขึ้นมาเหมือนหมูโดนเชือด “เป็นมัน เป็นมันนี่เอง วันนั้นเจ้าหม่าจวินอู่ก็อยู่ที่นั่น เคยลงมือกับข้าด้วย…จับมันไว้ให้ข้า จับมันไว้”

เจิ้งฉุนเจี้ยนโบกมือ ทหารชุดเกราะสองสามคนเดินขึ้นมาจะพาตัวหม่าจวินอู่ลงไปเช่นกัน

เสี้ยวขณะนี้ ในหัวของหม่าจวินอู่ผุดคำกำชับของเด็กรับใช้บัณฑิตน้อยชิงเฟิงก่อนหน้านี้ขึ้นมา รู้ว่าตอนนี้จะต้องแสดงทีท่าไม่ยอมอ่อนข้อ จึงก้าวขึ้นไปหนึ่งก้าวทันที ฝ่ามือใหญ่หนาแตะไปที่ดาบยาวข้างเอว “หยุด! อาจารย์เจิ้ง ข้าเคารพท่านที่ท่านเป็นผู้มีฐานะสูงส่งจากเมืองฉางอัน แต่ข้าขอถามว่าท่านมีตำแหน่งอะไร? ถึงกล้าออกคำสั่งในศาลของอำเภอ และเที่ยวตัดสินชะตาของขุนนางแห่งจักรวรรดิตามใจเช่นนี้”

“หืม?” เจิ้งฉุนเจี้ยนหรี่ตาลง “ทำไม? เจ้าจะใช้กำลังรึ?”

หม่าจวินอู่บังอยู่ข้างหน้าเฝิงหยวนซิงและเจินเหมิ่ง กล่าวว่า “ในฐานะที่เป็นหัวหน้ามือปราบ ข้าน้อยต้องรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ขุนนางในที่ว่าการ”

“ฮ่าๆๆๆ นี่ช่างเป็นเรื่องตลกที่สุดที่ข้าเคยได้ยินมาจริงๆ” เจิ้งฉุนเจี้ยนเงยหน้าหัวเราะ “เจ้าหน้าที่ขุนนางในอำเภอขาวพิสุทธิ์น่าสนใจจริงๆ…จะมัวนิ่งอยู่ทำไม ยังไม่ลงมืออีก?”

เขาเพิ่งพูดจบ เงาคนก็ไหววูบมาปรากฏขึ้นในโถงใหญ่

เคร้ง!

ดาบถูกชักออกจากฝัก แสงดาบส่องประกาย

เลือดสาดกระเซ็น

บนพื้นมีแขนที่กำดาบยาวเพิ่มขึ้นมา

หม่าจวินอู่กุมบาดแผลแขนที่ขาด สีหน้าขาวซีดราวหิมะ ร่างกายโอนเอน โซเซถอยไปข้างหลัง แต่กัดฟันแน่นไม่ส่งเสียงร้องออกมาสักแอะ

“ใต้เท้าหม่า…” เฝิงหยวนซิงรีบเข้าไปพยุง

“สหายหม่า” สีหน้าของเจินเหมิ่งโกรธแค้น มองไปยังพวกเจิ้งฉุนเจี้ยนก่อนจะพูด “พวกเจ้ากล้าทำร้ายคนที่ศาล พวกเจ้า…”

“ฮ่าๆ มีปัญญาแค่นี้ก็กล้ากำเริบเสิบสานต่อหน้าอาจารย์เจิ้ง”

ชายหนุ่มผอมสูงนามหนิงจ้งซานหัวเราะดูแคลน เพียงยื่นมือออกไป ทหารชุดเกราะที่อยู่ข้างๆ ก็ยื่นผ้าเช็ดหน้ามา เขาใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดคราบเลือดที่ตัวดาบ เมื่อเช็ดสะอาดก็เก็บดาบเข้าฝัก จากนั้นกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา “ข้าเป็นขุนนางตรวจการ ควบคุมดูแลเรื่องการทหารของอำเภอขาวพิสุทธิ์ และเป็นหัวหน้าของเขา ข้าตัดแขนเขาข้างหนึ่ง พวกเจ้ามีอะไรจะพูดหรือไม่?”

……………………………………………………

[1] จุดโคมในห้องน้ำ —— รนหาที่ตาย สำนวนพักท้ายนี้เป็นสำนวนพักท้ายแบบเล่นคำ มาจากสำนวนพักท้ายที่ว่า จุดโคมในห้องน้ำ —— ส่องหาอุจจาระ เนื่องจากคำว่า ‘ส่องอุจจาระ’ เสียงคล้ายกับคำว่า ‘รนหาที่ตาย’