ตอนที่ 568 เพื่อนเก่ากับตีเทนนิส

แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย

“วินิจฉัยแล้วเหรอ เป็นภาวะบุคลิกภาพผิดปกติชนิดก้ำกึ่งจริงเหรอ?” เสี่ยวเชี่ยนคิ้วขมวด 

 

 

“ใช่ วินิจฉัยจากเมืองนอกแล้ว เขามีงานในประเทศเลยไม่สะดวกมาที่นี่ เธอรับรักษาได้ไหม? ราคาคุยกันได้” 

 

 

ราคาคุยกันได้ที่ทังสุ่ยเซียนว่าก็คือคิดเป็นรายชั่วโมงจะสี่หลักห้าหลักก็ว่าไป 

 

 

ค่ารักษาของเสี่ยวเชี่ยนถ้าจะใช้ภาษาแบบวงการเล่นของโบราณ สี่หลักก็คือราคาตั้งแต่6,000-9,900 ห้าหลักก็คือ 10,000-30,000 ราคาสามหลักเหมือนทำงานการกุศล ถ้าราคาสามหลักก็ 800-1,000 เก็บพอเป็นพิธี 

 

 

ปกติเสี่ยวเชี่ยนชอบรับเงินแกะอ้วนอยู่แล้ว แต่พอได้ยินชื่อโรคนี้เธอก็ลังเล 

 

 

ถ้าเป็นปกติเธอก็จะรับ แต่เสี่ยวเฉียงกลับมาแล้วก็ไม่แน่ว่าเธอจะมีเวลา โรคชนิดนี้รักษายากมาก ใช้เวลานาน ผลที่ได้ก็ใช่ว่าจะดี 

 

 

“งั้นเอาอย่างนี้ ขอเวลาหน่อยแล้วฉันจะให้คำตอบ” เสี่ยวเชี่ยนมองอวี๋หมิงหลาง ยังไม่ได้ตอบตกลงหรือปฏิเสธ 

 

 

“งั้นฉันจะไปบอกให้ทางนั้นรอก่อน เชี่ยนเอ๋อ เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นเธอลังเล โรคนี้มันซับซ้อนเหรอ?” สุ่ยเซียนเองก็ไม่ค่อยรู้ว่านี่เป็นโรคจิตเวชแบบไหน รู้แค่ว่าถ้าฝ่ายนั้นถึงกับต้องไปรักษาที่ต่างประเทศก็แสดงว่าไม่ธรรมดา 

 

 

“ฉันจะบอกแบบนี้แล้วกัน ถ้าจิตแพทย์อย่างพวกฉันเลือกคนไข้ได้เองล่ะก็ จิตแพทย์ทุกคนคงไม่มีใครเลือกรักษาผู้ป่วยโรคนี้ ภาวะบุคลิกภาพผิดปกติชนิดก้ำกึ่งมีอีกชื่อว่า ฆาตกรของผู้ให้คำปรึกษาด้านจิตวิทยา” 

 

 

“รุนแรงขนาดนั้นเลยเหรอ?” ทังสุ่ยเซียนตกใจ 

 

 

แม้แต่อวี๋หมิงหลางยังหันไปมองเสี่ยวเชี่ยน ฆาตกร? ฟังดูน่ากลัวชอบกล 

 

 

“ใช่ ดังนั้นฉันถึงขอคิดก่อนว่าจะรับดีไหม” 

 

 

“ก็ได้ เข้าใจแล้ว จริงสิเชี่ยนเอ๋อ อยากฝากฉันซื้ออะไรกลับไปไหม?” 

 

 

เสี่ยวเชี่ยนกวาดตามองเสื้อผ้าของอวี๋หมิงหลางแล้วพูดกับสุ่ยเซียน 

 

 

“ช่วงนี้งานเปิดตัวเสื้อผ้าคอลเลคชั่นฤดูใบไม้ร่วงฤดูหนาวไหม?” 

 

 

“จะมีงานของเวอซาเช่ ฉันว่าจะไปดูอยู่” 

 

 

“เอาเหมือนเดิม ถ่ายรายการส่งเข้าเมลให้ด้วย” 

 

 

เสี่ยวเชี่ยนวางสาย อวี๋หมิงหลางเข้าไปโอบเอวเธอพลางพูด “ผู้หญิงอย่างพวกคุณ หน้าร้อนซื้อเสื้อผ้าหน้าหนาว หน้าหนาวซื้อเสื้อผ้าหน้าร้อน ซื้อกลับมาก็ยังใส่ไม่ได้ แขวนไว้ดูในตู้ เป็นนิสัยแบบไหนกัน?” 

 

 

“งานเปิดตัวเสื้อผ้าแบรนด์เนมจะมีก่อนถึงฤดูทั้งนั้น ถ้าอยากซื้อคอลเลคชั่นใหม่ก็ต้องซื้อเวลานี้เนี่ยแหละ” 

 

 

ชุดที่อวี๋หมิงหลางใส่ตอนนี้เธอก็ซื้อตอนต้นฤดูใบไม้ผลิ ตอนนี้เธอรับหน้าที่ดูแลตู้เสื้อผ้าของเขา เวลาเธอซื้อเสื้อผ้าเปลี่ยนฤดูก็จะซื้อให้เขาด้วย 

 

 

“ไม่ต้องซื้อให้ผมแล้ว เสื้อผ้าผมพอใส่” อวี๋หมิงหลางเป็นผู้ชายที่ว่าซื้อเสื้อผ้าแบบเดียวหลายๆตัวเปลี่ยนกันใส่ 

 

 

นับตั้งแต่หมั้นกับเสี่ยวเชี่ยน ตู้เสื้อผ้าของเขาก็เริ่มมีสีสันหลากหลาย เขาไม่ได้อะไรกับการแต่งตัวมาก มีใส่ก็พอ อย่างไรเสียเวลาส่วนใหญ่ก็อยู่แต่ในค่ายทหาร ไม่ค่อยได้ใส่ชุดลำลองเท่าไร 

 

 

แต่เสี่ยวเชี่ยนเป็นผู้หญิงที่พิถีพิถัน ไม่เพียงแต่ตัวเธอจะพิถีพิถัน ผู้ชายของเธอก็ต้องด้วย อวี๋หมิงหลางบอกว่าไม่เอาเธอก็ทำเหมือนไม่ได้ยิน 

 

 

อย่างไรเสียซื้อกลับมาเธอก็เอาไปแขวนในตู้เสื้อผ้าเขา ตาขี้เกียจคนนี้ยังไงก็ใส่ 

 

 

“เสียวเหม่ย เมื่อกี้คุณพูดว่าฆาตกรอะไรเหรอ?” 

 

 

“แอบฟังคนอื่นคุยโทรศัพท์สำเร็จภูมิใจมากไหม?” 

 

 

“ผมก็แค่สงสัย รู้ว่าคุณต้องเก็บความลับคนไข้น่า ผมแค่แปลกใจว่าโรคอะไรที่ทำให้เบบี๋ของผมลำบากใจ ผมจำได้ตอนที่คุณคุยกับหวางย่าเฟยก็พูดถึงชื่อโรคนี้” 

 

 

อวี๋หมิงหลางความจำดีมาก ฟังครั้งเดียวก็จำได้ 

 

 

“ฉันไม่ได้ลำบากใจและก็ใช่ว่าจะรักษาไม่ได้ เพียงแต่โรคนี้ไม่เหมือนโรคจิตเวชชนิดอื่น ความยากกับความซับซ้อนในการรักษามันเกินกว่าจะจินตนาการ ดังนั้นคนในวงการถึงได้เรียกโรคนี้ว่า ฆาตกรของผู้ให้คำปรึกษาด้านจิตวิทยา นายก็รู้ว่าคนที่เรียนด้านเดียวกับฉันกว่าจะเรียนจนเป็นไม่ง่าย ต้องใช้เวลาหลายปี พวกเราไม่แนะนำให้นักศึกษาจบใหม่รับเคสแบบนี้หรอก” 

 

 

“ทำไมล่ะ?” 

 

 

“เพราะมันจะทำลายความมั่นใจของหมอมากเสียจนไม่เหลือ จะทำให้จิตแพทย์ที่ประสบการณ์รักษาไม่มากพอสงสัยในความสามารถของตัวเอง หมอหลายคนสุดท้ายเปลี่ยนไปทำอย่างอื่นก็เพราะโรคนี้” 

 

 

“เจ๋งขนาดนั้นเลย?” 

 

 

“อืม ใช่ แล้วนายห้ามไปเรียกว่าฆาตกรของผู้ให้คำปรึกษาด้านจิตวิทยาต่อหน้าอาจารย์ฉันเด็ดขาดเลยนะ อาจารย์ถือมากเรื่องวิจารณ์ชื่อโรค” 

 

 

“ผมไม่ใช่คนปากเปราะอย่างหวางย่าเฟยเสียหน่อย อยู่ว่างชอบพูดจาเลอะเทอะ ไปกันเถอะลูกเชี่ยน เข้าไปกัน กินเสร็จแล้วก็รีบกลับบ้าน พี่ยังมีงานใหญ่ต้องทำ” 

 

 

เสี่ยวเชี่ยนอยากจะทำหน้า เหอๆใส่เขาแล้วลากหวางย่าเฟยออกมาดูว่า ผู้ชายที่เป็นเหมือนฮีโร่ในสายตาพวกเขาอยู่บ้านหน้าด้านขนาดไหน 

 

 

กินมื้อดึกเสร็จ เสี่ยวเชี่ยนก็ขับรถพาอวี๋หมิงหลางกลับบ้าน ตอนที่ผ่านซุปเปอร์มาร์เก็ตที่เปิด 24 ชม. เสี่ยวเชี่ยนก็หยุดรถ อวี๋หมิงหลางเข้าใจทันทีว่าเธอต้องการทำอะไร 

 

 

ตามคาด เดินไปโซนผลไม้ เป้าหมายคือแตงโมสินะ… 

 

 

“เสียวเหม่ย พรุ่งนี้ตอนกลางวันมีเรียนไหม?” 

 

 

“ไม่มี” 

 

 

“ไปตีเทนนิสกันดีไหม?” 

 

 

“ไม่ดี” เธอไม่ไปทรมานตัวเองหรอก 

 

 

“ไปเถอะนะ ช่วงนี้ผมอยากเล่นลูกกลมๆ” 

 

 

ไอ้ลูกกลมๆบนตัวฉันสองลูกยังเล่นไม่พออีกเหรอ? แต่คำพูดที่ทำลายภาพลักษณ์แบบนี้ทำได้แค่ตะโกนในใจ 

 

 

“อยู่ๆทำไมถึงอยากไปตีเทนนิส? อากาศร้อนจะตาย ไปเล่นน้ำทะเลยังดีกว่า” 

 

 

“เมื่อคืนผมฝันว่าตีเทนนิสกับเพื่อนมอปลาย แล้วก็คิดได้ว่าตัวเองไม่ได้ไปตีเทนนิสนานแล้ว ไปเล่นเถอะนะเสียวเหม่ย?” เขาอ้อนวอน 

 

 

เสี่ยวเชี่ยนกวาดตามองโซนผลไม้ เป้าหมายอยู่ที่แตงโมลูกสุดท้ายนั้น เธอเดินคุยกับเขาแบบไม่ใส่ใจ 

 

 

“เพื่อนคนที่เรียนเก่งชื่อเสียวอวี่นั่นอะเหรอ คนที่มีคุณสมบัติโดดเรียนได้แบบนาย?” 

 

 

ตอนมอปลายอวี๋หมิงหลางหน้าด้านมาก อาศัยว่าตัวเองเรียนเก่งเลยโดดคาบเรียนด้วยตัวเองตอนเย็นไปเล่นกีฬาที่โรงยิม เขาเคยเล่าให้เสี่ยวเชี่ยนฟัง ตอนนั้นมีเพื่อนที่ผลการเรียนพอๆกับเขาด้วยอีกคน ทั้งสองคนเลยโดดเรียนไปตีเทนนิสกัน 

 

 

“ใช่ๆ เสียวอวี่นั่นแหละ ไม่เจอกันนานแล้ว ไม่รู้ทำไมเมื่อคืนถึงฝันถึงเรื่องสมัยมอปลาย” 

 

 

สมัยเรียนมอปลายเป็นช่วงเวลาที่แสนมีความสุข อวี๋หมิงหลางเลยอยากพาเสียวเหม่ยของเขาไปร่วมรำลึกความสุขสมัยวัยรุ่น 

 

 

เสี่ยวเชี่ยนยื่นมือไปหยิบแตงโม มีมืออีกข้างยื่นมาจับจากอีกทาง เธอเงยหน้า หันไปจ้องคนที่จะมาแย่งแตงโม 

 

 

“พิธีกรเย่?” 

 

 

“เหม่ยเหวย?” 

 

 

ผู้หญิงคนที่แย่งแตงโมใส่ชุดนอนสวมรองเท้าแตะ ดูเหมือนจะอาศัยอยู่แถวนี้ แต่ทรงผมหวีเรียบร้อยมาก ใบหน้าก็จัดเต็ม ใส่ขนตาปลอมด้วย 

 

 

เดิมอวี๋หมิงหลางอยากจะขอดูหน้าคนที่กล้ามาแย่งแตงโมคู่หมั้นเขา ปรากฏว่าพอเงยหน้าก็อึ้งกับใบหน้าที่คุ้นเคยแต่ก็ดูแปลกนิดหน่อยไปหลายวินาที ทันใดนั้นเขาก็เบิกตาโพลงแล้วชี้ผู้หญิงคนนั้นด้วยความตกใจ 

 

 

“เย่เสียวอวี่” 

 

 

ผู้หญิงคนนั้นละสายตาไปมองเขาแล้วก็แสดงสีหน้าตกใจปนดีใจ 

 

 

“อวี๋หมิงหลาง”