เล่ม 2 ตอนที่ 151 ไร้ญาติขาดมิตร

ยอดหญิงลิขิตสวรรค์

สองวันต่อมา บรรดาอาจารย์และลูกศิษย์ต่างกลับไปถึงสำนักเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ทว่าพวกเขากลับไม่ได้มีความตื่นเต้นดีใจเหมือนตอนขาไปเลยสักนิด

เหตุการณ์จลาจลของสัตว์อสูรที่บรรพตวั่นหลิงในครั้งนี้ ได้สร้างความสูญเสียและบาดเจ็บแก่ผู้คนจำนวนไม่น้อย ผู้ที่รอดกลับมาได้ก็นับว่าโชคดีมากแล้ว เรื่องอื่นคงมิต้องพูดถึง

ข่าวนี้ได้แพร่กระจายไปยังเมืองหลวงอย่างรวดเร็วและทำให้เกิดคลื่นใต้น้ำลูกใหญ่!

ณ สวนเถาหลี่

ผู้อาวุโสและอาจารย์หลายท่านได้มารวมตัวกันในที่แห่งนี้ ซึ่งตอนนี้บรรยากาศในห้องโถงก็เต็มไปด้วยความหดหู่

หลังจากผ่านไปสักพัก ผู้อาวุโสซุนก็ถอนหายใจออกมา

“ในระยะนี้ท่านอาจารย์ลุงเก็บตัวบำเพ็ญเพียร หากเขาออกมาเมื่อไหร่ ข้าจะไปรายงานเรื่องนี้แก่เขา แล้วจะรับโทษทั้งหมดเอง”

ทุกคนต่างมองหน้าสบตาและให้พูดให้กำลังใจ

“ผู้อาวุโสซุน เรื่องนี้เป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ มิอาจโทษท่านฝ่ายเดียวหรอกนะ…”

“ใช่แล้ว ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา บรรพตวั่นหลิงก็สงบเงียบมาตลอด พวกเราก็ไม่ได้จะเพิ่งเข้าไปล่าสัตว์เพียงแค่ครั้งสองครั้ง ใครจะไปนึกถึงว่าคราวนี้จะ…ผู้อาวุโสซุน ถ้าหากไม่ใช่เพราะท่านสั่งให้ล่าถอยได้ทันท่วงที ป่านนี้พวกเราคงต้องตายกันหมดแล้ว ต่อให้เรื่องจะบานปลายกว่านี้ ท่านก็อย่าได้โทษตัวเองอีกเลยขอรับ”

ผู้อาวุโสซุนโบกมือ เพื่อสื่อว่าพวกเขาไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว

“ผิดก็คือผิด ความวุ่นวายในครั้งนี้ จะต้องจัดการอย่างเด็ดขาด นับจำนวนผู้ตายกับผู้บาดเจ็บเรียบร้อยแล้วหรือ”

เหวินเยี่ยนรีบตอบกลับไปว่า

“จัดการเรียบร้อยแล้วขอรับ มีผู้บาดเจ็บเล็กน้อยเป็นจำนวนมาก มีผู้บาดเจ็บสาหัสห้าสิบเจ็ดราย ส่วนผู้เสียชีวิต…สิบสี่คนขอรับ”

ผู้อาวุโสซุนค่อยๆ กำหมัดแน่น

“เหตุใดถึงมากมายเช่นนี้ ก่อนหน้านี้มีเพียงสิบคนเองมิใช่หรือ”

“ขอรับ แรกเริ่มเดิมทีมีผู้ตายเพียงสิบรายเท่านั้น ต่อมา…เยี่ยชิงพบศพของผู้ที่สูญหายไปสองรายตรงบริเวณหน้าผาขอรับ”

“แล้วอีกสองคนล่ะ”

เหวินเยี่ยนลอบมองสีหน้าของผู้อาวุโสซุนก่อนจะลดเสียงพูดลงอีกนิด

“…ที่เหลืออีกสองคนคือ…ฉู่หลิวเยว่และกู้หมิงจูขอรับ”

ในขณะที่ภูเขาถล่มลงมา ร่างของทั้งสองถูกกลืนเข้าไปในกระแสน้ำวนสีดำของนาคาปีกทมิฬกลืนเวหา พวกนางจะมีชีวิตรอดมาได้อย่างไร

ฉะนั้นทั้งสองคนจึงถูกนับเข้าไปในรายชื่อผู้เสียชีวิตด้วย

เมื่อได้ยินชื่อของสองคนนี้ ผู้อาวุโสซุนก็ตกใจและเงียบไปครู่หนึ่ง

“แจ้งข่าวให้ทางสองครอบครัวทราบ นอกจากนี้ สำนักเทียนลู่ของเรามีหน้าที่รับผิดชอบอย่างเต็มที่ในเรื่องนี้ และเราจะพยายามอย่างเต็มกำลังเพื่อชดเชยความเสียหาย”

“ขอรับ”

ณ ตระกูลกู้

เพี๊ยะ!

เสียงตบหน้าดังฟังชัดได้ทำลายความเงียบภายในห้องโถงของตระกูล

กู้หมิงเฟิงถูกตบจนหน้าหัน ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็บวมแดงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“เจ้าดูแลพี่สาวของเจ้าอย่างไร! เหตุใดผู้อื่นถึงไม่เป็นอะไร เหตุใดต้องเป็นนางที่ต้องมาตายฮะ! กู้หมิงเฟิง วันนี้เจ้าอธิบายให้ข้าฟังอย่างชัดเจนนะ มิฉะนั้น เจ้าก็อย่าคิดที่จะก้าวออกไปจากประตูบ้านนี้!”

กู้เหวินฮุยประมุขตระกูลกู้โกรธถึงขีดสุด เขาตบหน้ากู้หมิงเฟิงฉาดเดียวยังไม่สาแก่ใจ ดังนั้นเขาจึงสะบัดฝ่ามือตบหน้าเขาอีกครั้ง

ใบหน้าของกู้หมิงเฟิงจึงมีรอยฝ่ามือปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน

เขามองกู้เหวินฮุยอย่างไร้สีหน้าความรู้สึก เขาเหลือบมองเพียงแวบเดียว จากนั้นก็ก้มหน้าหลุบตาต่ำ

นี่คือผู้ที่เขาเรียกว่าท่านพ่อ ทว่าในสายตาและในหัวใจของเขามีเพียงกู้หมิงจูบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนผู้เดียวเท่านั้น

ส่วนเขาก็เป็นได้แค่ไอ้มารหัวขน

“นางไม่ได้อยู่กลุ่มเดียวกับข้า ข้าจะไปรู้หรือว่านางตายได้อย่างไร”

“เจ้ายังกล้าโกหกอีกหรือ!”

กู้เหวินฮุยยังคงโกรธเกรี้ยว เขาจึงยกขาถีบยอดอกของกู้หมิงเฟิง แล้วตวาดลั่น

“ค่ายกลนิลกาฬของนางได้ถูกนำมาใช้ไปแล้ว แต่นางกลับไม่มีชีวิตรอดกลับมา! คนที่รู้ว่านางมีของสิ่งนี้ติดตัว นอกจากเจ้าแล้ว ยังจะมีใครหน้าไหนอีกฮะ! สันดานขี้อิจฉาอย่างเจ้า ครั้งนี้หากเจ้าไม่ขโมยของนางไป นางจะตายหรือ! ข้ากู้เหวินฮุยเหตุใดถึงได้ให้กำเนิดเดรัจฉานอย่างเจ้าเช่นนี้!”

หน้าอกของกู้หมิงเฟิงเจ็บปวดจนชาหนึบ และเขาก็มีสีหน้าซีดเผือด

กู้เหวินฮุยถีบจนสุดแรงเกิด ถ้าหากไม่ใช่เพราะเขาเป็นปรมาจารย์ ความแข็งแกร่งทางด้านร่างกายไม่ได้มีขีดจำกัด เกรงว่าถีบครั้งนี้คงจะถึงแก่ชีวิตของกู้หมิงเฟิงก็เป็นได้

“ข้าไม่รู้ว่านางตายได้อย่างไร”

กู้หมิงเฟิงพูดย้ำอีกครั้งอย่างไม่ยี่หระ

“อีกอย่าง แม้กระทั่งผู้อาวุโสซุนก็ไม่สามารถช่วยนางกลับมาได้ ท่านพ่อคิดว่าค่ายกลนิลกาฬนั้นสามารถปกป้องคุ้มครองนางได้จริงๆ หรือ”

กู้เหวินฮุยหัวเราะประชดด้วยความโกรธ

“ดีๆๆ! ในเมื่อตอนนี้ยังเถียงข้าได้ ปีกกล้าขาแข็งแล้วนี่! ทำไมคนที่ต้องตายถึงไม่เป็นเจ้า!”

ทำไมคนที่ต้องตายถึงไม่เป็นเจ้า!

เปลือกตาของกู้หมิงเฟิงกระตุกอย่างแรง ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่ามีที่ใดที่หนึ่งในหัวใจกำลังจะแตกสลาย

อา…เขาน่าจะรู้ตัวมาตั้งนานแล้ว

เขาเป็นตัวอะไรกันแน่ เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่น่ารังเกียจที่กู้เหวินฮุยมองว่าเป็นรอยมลทินเท่านั้น บัดนี้ คนที่เขาเรียกว่าท่านพ่อยอมได้แม้กระทั่งเอาชีวิตเขาไปแลกกับกู้หมิงจู

มีสิทธิ์ใดกัน!

หรือว่าเป็นเพียงเพราะมารดาผู้ให้กำเนิดเขามีฐานะต่ำต้อย หรือเป็นเพียงเพราะเขาคือผลผลิตจากความเมาของกู้เหวินฮุย

กู้หมิงเฟิงเช็ดเลือดจากมุมปากของเขาแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นยืน

ใบหน้าของเขาหมองหม่นไร้ความรู้สึกใดๆ แต่กลับมีความเย็นยะเยือกแผ่ออกมาจากทั้งร่าง

เมื่อกู้เหวินฮุยเห็นท่าทางเช่นนี้ของเขาแล้วก็ยิ่งโกรธมากขึ้น

“เจ้าไสหัวไปซะ! ต่อจากนี้ไปตระกูลกู้ไม่มีคนอย่างเจ้า!”

กู้หมิงเฟิงเงยหน้าขึ้น

“ในเมื่อท่านไล่ข้าออกไป เช่นนั้นข้าก็จะฟัง นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ข้าจะไม่กลับมาเหยียบที่ตระกูลกู้อีก เพราะเกรงว่าจะมาเกะกะลูกตาท่าน”

เมื่อพูดจบ เขาก็เดินหันหลังออกไปทันที

จากนั้นกู้เหวินฮุยก็ตบโต๊ะจนแตกเป็นเสี่ยงๆ

ตอนที่ฉู่หนิงได้รับข่าว เขากำลังหารือเรื่องสำคัญกับจยาเหวินตี้ในวังอยู่พอดี

เรื่องนี้ร้ายแรงบานปลาย ฉะนั้นทางสำนักเทียนลู่จึงส่งคนมารายงานข่าวตั้งแต่เช้าตรู่

หลังจากที่ฉู่หนิงได้ยินข่าวก็รู้สึกราวกับฟ้าผ่าทั้งตัว ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะเรียกสติกลับคืนมาได้

เมื่อเห็นเขาเป็นเช่นนี้ จยาเหวินตี้ก็ถอนหายใจทอดยาว แล้วปล่อยให้เขากลับไปพักผ่อนสักสองสามวัน

ฉู่หนิงไม่รู้ตัวว่าเขาออกจากประตูวังได้อย่างไรหรือเดินไปถึงไหนต่อไหนแล้ว

ราวกับว่าบรรยากาศโดยรอบได้ห่างไกลออกไป และเหลือเพียงแค่เขาที่เดินอยู่เพียงลำพังผู้เดียวระหว่างขอบฟ้าและผืนพสุธา

เขาไม่เคยรู้สึกว่าฝีเท้าของเขาหนักเท่านี้มาก่อน ทุกย่างก้าวเหมือนเขาหมดแรง และเขาก็รู้สึกเจ็บปวดในใจ

แต่เขาไม่กล้าที่จะหยุดเพราะกลัวว่าถ้าเขาหยุดความสิ้นหวังและความเจ็บปวดจะทำให้เขาเหมือนจมน้ำมิดจนตาย

“นี่…เจ้าเดินประสาอะไรเนี่ย!”

เขากำลังเดินอยู่บนถนนและตกอยู่ในภวังค์ของตน เมื่อมีคนเดินผ่านมาอย่างรวดเร็ว จึงทำให้เดินมาชนเขาเข้า

ชายคนนั้นเอ่ยปากด้วยความรังเกียจ แต่เมื่อเห็นอาภรณ์ที่ฉู่หนิงสวมใส่ เขาก็รู้ทันทีว่าได้ล่วงเกินคนใหญ่คนโตเข้าแล้ว ดังนั้นเขาจึงรีบหุบปากแล้วเดินจากไปทันที

ในขณะที่เขากำลังจะเดินผ่านไป เขายังคุยกับคนข้างๆ อีกด้วยว่า

“…ก็ใช่น่ะสิ! ใครจะคิดว่าสำนักเทียนลู่จะมีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสในครั้งนี้! ข้าได้ยินมาว่ามีผู้ตายมากกว่าสิบคนเชียวล่ะ!”

“ช่างน่าเสียดายจริงๆ! ทุกคนล้วนเป็นอัจฉริยะที่หายากกันทั้งนั้น!”

“เฮ้อ พวกเขาเล่ากันว่า ดูเหมือนฉู่หลิวเยว่ที่เพิ่งจะสอบเข้าได้ไม่นานมานี้ก็ตายแล้วด้วยนะ นั่นเป็นยอดอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะอีกทีเชียวนะ!”

“แล้วกระไร ตายไปแล้วก็ไม่มีโอกาสกลับมาอีกแล้ว…”

ฉู่หนิงพยายามพยุงตัวเองเอาไว้ ก่อนจะก้มศีรษะแล้วเดินหน้าต่อไป

แต่ทว่ากลับมีชายคนหนึ่งมายืนขวางหน้าเขาเอาไว้

เขาเงยศีรษะขึ้นอย่างมึนงง และต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะจำคนตรงหน้าได้

ฉู่เยี่ยน

ด้วยความอยากรู้และสงสารที่ปรากฏบนใบหน้า เขาจึงเอ่ยว่า

“พี่ใหญ่ ได้ยินข่าว่าฉู่หลิวเยว่ตายแล้วหรือ จากนี้ไปท่านก็กลายเป็นคนไร้ญาติขาดมิตรแล้ว จะทำเยี่ยงไรดีล่ะ”