บทที่ 154 ไม่ลงรอย

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

อวี้ถังนั่งเกี้ยวของสกุลเผยกลับมา

ไม่รู้ว่าเพราะนางเป็นแขกของเรือนสกุณาพร่ำหรือไม่ เกี้ยวจึงเคลื่อนไหวอย่างมั่นคงเรียบนิ่ง แทบไม่โคลงสั่นจนมาถึงตรอกชิงจู๋

เมื่อเข้าประตู นางก็เห็นหวังซื่อกำลังขนฟืนเข้าไปในเรือน

นางอดเอ่ยไม่ได้ “เจ้ามาได้อย่างไร?”

หวังซื่อส่งยิ้มใสซื่อให้นาง ยังไม่ทันได้ตอบ ซวงเถาที่ออกมาจากครัวก็ชิงเอ่ยขึ้นก่อน “เขาว่างจึงเก็บฟืนมามากมาย คิดว่าสกุลพวกเรายังต้องซื้อฟืนจุดไฟ จึงขึ้นรถเข้าเมืองมา คุณหนูรีบมาดูสิเจ้าคะ โรงฟืนในเรือนมีแต่ฟืนเต็มไปหมดเลยเจ้าค่ะ”

อวี้ถังเผยสีหน้าแย้มยิ้มเดินเข้าไปดู ก่อนจะกลับห้องไปผลัดผ้าและทักทายคนสกุลเฉิน

คนสกุลเฉินและป้าเฉินกำลังปรึกษาเรื่องเซ่นไหว้บรรพบุรุษในวันที่หนึ่งเดือนสิบ เห็นอวี้ถังเข้ามา ก็พักบทสนทนาไว้ชั่วคราว ให้ป้าเฉินไปชงน้ำหวานดอกกุ้ยฮวาเข้ามาให้อวี้ถัง

ป้าเฉินยิ้มรับคำสั่งออกไป

ด้านคนสกุลเฉินดึงมืออวี้ถังให้นางนั่งลงข้างตัวเอง เอ่ยถามอย่างอ่อนโยน “ไม่ใช่บอกว่าจะไปครู่เดียวก็กลับหรอกรึ? ไฉนจึงเพิ่งกลับมาเช่นนี้? ท่านแม่เฒ่ารั้งตัวให้กินข้าวหรืออย่างไร?”

อวี้ถังผงกศีรษะทั้งรอยยิ้ม เอ่ยถึงเรื่องที่พบกู้ซีและนายหญิงเสิ่นขึ้นมา

คนสกุลเฉินคาดไม่ถึงเป็นอย่างมาก “นายหญิงเสิ่นมารึ พ่อของเจ้าถูกนายท่านอู๋เรียกออกไป รอเขากลับมาข้าจะลองถามเขาว่าควรไปทักทายนายหญิงเสิ่นเสียหน่อยดีหรือไม่” นางยังสงสัยเรื่องกู้ซีเช่นกัน เอ่ยถามว่า “คุณหนูผู้นั้นหน้าตางดงามหรือไม่?”

“งดงามไม่น้อย” อวี้ถังตอบตามความเป็นจริง

“เช่นนั้นพวกเจ้าจึงได้กินข้าวกลางวันด้วยกันมารึ?”

อวี้ถังสั่นศีรษะ “ไม่ใช่เจ้าค่ะ นายหญิงเสิ่นกล่าวว่าจะกลับไปเก็บของ ท่านแม่เฒ่าจึงไม่ได้รั้งพวกนางไว้”

ไม่เหมือนนาง หลังจากเสร็จเรื่องเอ่ยว่าจะกลับแล้ว ท่านแม่เฒ่าไม่เพียงรั้งแล้วรั้งอีก ยังชวนนายหญิงรองกินข้าวกลางวัน ทั้งให้คนไปรับคุณหนูห้าเข้ามา

ท่านแม่เฒ่าคล้ายว่าปฏิบัติต่อนายหญิงเสิ่นเป็นมารยาทเท่านั้น

คนสกุลเฉินย่อมไม่รู้ถึงเรื่องราวภายใน คิดว่านายหญิงเสิ่นยืนกรานไปเอง จึงไม่ถามมากความ เอ่ยถามอวี้ถังอย่างกังวล “เจ้าอยู่ที่สกุลเผยรู้สึกอึดอัดหรือไม่? หากอึดอัด ภายหลังก็หาข้ออ้างไม่ต้องไปบ่อยๆ”

แม้นางจะตั้งใจตอบแทนสกุลเผย แต่หากลูกสาวได้รับความลำบากใจ นางย่อมยินยอมที่จะใช้วิธีอื่นตอบแทนสกุลเผยมากกว่า

อวี้ถังสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของมารดา อดกอดแขนนางไม่ได้ “ท่านอย่ากังวลเลยเจ้าค่ะ ท่านแม่เฒ่าเป็นคนนิสัยดี ข้าอยู่กับนางไม่มีอะไรให้อึดอัดใจทั้งนั้น”

หลังจากนายหญิงเสิ่นและกู้ซีออกไป ท่านแม่เฒ่าก็ถามเรื่องที่สกุลหลี่ขายที่อย่างละเอียด

คาดเดาจากท่าทีของท่านแม่เฒ่า เรื่องที่เผยเยี่ยนไม่สงสัย ท่านแม่เฒ่ากลับเ กิดความแคลงใจ

ยามที่นางจากมา ท่านแม่เฒ่าก็เรียกหาหูซิ่ง คาดว่าคงต้องการถามเรื่องสกุลหลี่

พิจารณาจากเหตุการณ์นี้ ภายหลังนางมีเรื่องอะไร แทนที่จะพบเผยเยี่ยนยังมิสู้ไปพบท่านแม่เฒ่า

อวี้ถังออดอ้อนอยู่ข้างกายมารดา ดื่มน้ำหวานกุ้ยฮวา ทั้งฟังมารดาคุยเรื่องเซ่นไหว้บรรพบุรุษไปพลาง

ทางด้านหวังซื่อขนฟืนเสร็จแล้ว ก็เข้ามาน้อมทักทายคนสกุลเฉิน เตรียมที่จะกลับชานเมือง

คนสกุลเฉินให้เงินรางวัลเขาจำนวนหนึ่ง ยังถามเขาว่า ช่วงฉลองปีใหม่จะกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดหรือไม่

หวังซื่อคิดว่าต้องเสียค่าเดินทางจำนวนไม่น้อย จึงไม่วางแผนกลับไป

คนสกุลเฉินจึงให้เขามาฉลองปีใหม่ที่นี่

หวังซื่อดีใจอย่างยิ่ง เอ่ยขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า ยามนี้จึงขึ้นรถกลับไป

คนสกุลเฉินเอ่ยกับป้าเฉิน “เป็นคนที่ซื่อตรงไม่น้อย เอาการเอางาน ครั้งก่อนนายท่านกลับเรือนเก่า ก็เป็นเขาที่คอยช่วยตรวจสอบบัญชี”

หลังจากผ่านเทศกาลไหว้พระจันทร์ สกุลอวี้ก็เริ่มเก็บค่าเช่าที่แล้ว

เมื่อก่อนมักจะเชิญญาติพี่น้องมาช่วยเหลือ แต่ทุกคนต่างมีธุระในเรือนมากมาย กล่าวว่าช่วยเหลือก็ทำได้เพียงช่วยเหลือเรื่องเล็กน้อย ไม่ค่อยทำอะไรได้ ใช้ตาชั่ง คำนวณบัญชี จดบัญชี หากไม่ใช่อวี้เหวินก็เป็นอวี้ป๋อที่ทำเอง ครั้งนี้อวี้เหวินกลับเรือนเก่าไปเก็บค่าเช่า หวังซื่อกลับคอยจัดการอย่างขะมักเขม้น ตั้งแต่ต้นจนจบแทบไม่ปล่อยให้อวี้เหวินออกโรงด้วยตัวเอง อวี้เหวินเพียงรับผิดชอบจดบัญชีเท่านั้น ยามที่กลับมายังเอ่ยชื่นชมกับคนในเรือน “เจ้าว่าหวังซื่อเป็นคนที่ไม่รู้หนังสือผู้หนึ่ง กลับคาดไม่ถึงว่าจะคำนวณบัญชีเร็วกว่าข้าเสียอีก ไม่ผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว”

อวี้ถังก็ได้ยินเรื่องนี้มาเช่นกัน

นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ป้าเฉินก็ไม่รู้หนังสือสักตัว แต่ท่านดูสิ มีแต่นางที่เอาเปรียบผู้อื่น ผู้อื่นเอาเปรียบนางได้ที่ไหนกัน?”

ทุกคนหัวเราะเสียงดัง

ด้านป้าเฉินกลับลำพองใจไม่น้อย

คนสกุลเฉินพูดมาถึงตรงนี้ ป้าเฉินก็ส่งสายตาให้คนสกุลเฉิน

คนสกุลเฉินเห็นพลันกระแอมไอสองครั้ง ส่งอวี้ถังออกไป “เจ้ากลับไปพักผ่อนในห้องเถิด อีกเดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปหาป้าสะใภ้ใหญ่ ถือโอกาสคุยเรื่องเซ่นไหว้ด้วย”

ตั้งแต่ที่คนสกุลเซียงตั้งท้อง คนสกุลหวังก็หัวเราะหุบปากไม่ลงทั้งวัน เอาแต่ปรนนิบัติคนสกุลเซียงให้กินนั่นดื่มนี่ ไม่ไปกระทั่งร้านค้า มาหาพวกนางที่สกุลนับครั้งได้

อวี้ถังจึงรู้ว่าป้าเฉินกำลังจะพูดเรื่องส่วนตัวกับมารดา

ครั้งก่อนที่นางลอบฟังคือตอนยังเด็ก มารดามักจะป่วยกระเสาะกระแสะ ป้าเฉินกลัวว่าอวี้เหวินจะมีใจอื่น จึงกล่อมมารดาให้ซื้อสาวใช้คนหนึ่งกลับมาเป็นเมียบ่าวให้อวี้เหวิน

ครั้งนี้นางทำทีออกจากประตู แต่กลับมาหลบฟังที่หน้าต่างห้องมารดา

ครั้งนี้ป้าเฉินกลับโน้มน้าวให้มารดาจัดการตบแต่งซวงเถาให้กับหวังซื่อ “อย่างไรสกุลพวกเราก็ต้องการรับลูกเขยเข้าเรือน ซวงเถาก็ถึงเวลาออกเรือนแล้วเช่นกัน เดิมทีจับคู่อาเสาย่อมดีที่สุด แต่อาเสาอายุน้อยเกินไป ปกติซวงเถาก็พูดจาไม่ค่อยลงรอยกับเขา ข้าว่ามิสู้รั้งตัวหวังซื่อเอาไว้”

คนสกุลเฉินคล้ายกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

อวี้ถังนั้นกลับวิ่งไปแทบไม่เห็นฝุ่น หาโอกาสไปไถ่ถามซวงเถา “เจ้าคิดว่าหวังซื่อผู้นั้นเป็นอย่างไร?”

บางทีซวงเถาอาจจะเข้าใจผิดคิดว่าอวี้ถังกำลังสืบถามนิสัยใจคอของหวังซื่อ ครุ่นคิดว่าจะรั้งตัวหวังซื่อไว้ดีหรือไม่ จึงช่วยพูดคำดีๆ แทนหวังซื่อ แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ ก็มองออกอยู่ว่าซวงเถามีความประทับใจที่ดีต่อหวังซื่อไม่น้อย เพียงแต่ไม่รู้ว่าหวังซื่อจะสามารถรั้งตัวอยู่อย่างสบายใจได้หรือไม่?

อวี้ถังเม้มปากแย้มยิ้ม คล้อยหลังก็ไปเรือนลุงใหญ่กับคนสกุลเฉิน

คนสกุลเซียงท้องโตอย่างชัดเจนขึ้นมาแล้ว กำลังดื่มน้ำแกงไก่ด้วยสีหน้าขื่นขม เมื่อเห็นอวี้ถังเข้ามาก็คล้ายดั่งเห็นฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้าย รีบกำชับซย่าเหลียนทันที “เร็วเข้า ไปตักน้ำแกงไก่เข้ามาให้คุณหนูหนึ่งถ้วย”

ซย่าเหลียนปรากฏใบหน้าสับสนขึ้นมา

อวี้ถังละล่ำละลักเอ่ย “ข้าไม่ดื่มน้ำแกงไก่ เจ้าชงชาให้ข้าก็พอแล้ว”

คนสกุลเซียงโน้มน้าวนาง “อากาศเย็นแล้ว ดื่มน้ำแกงไก่สักถ้วยกำลังดี”

อวี้ถังเอ่ย “อย่างไรข้าก็ไม่กิน! หากพี่สะใภ้กินไม่ลง ก็ให้ท่านพี่ช่วยกิน ข้าไม่อยากถูกป้าสะใภ้ใหญ่ตำหนิเสียหน่อย”

“ไม่หรอก ไม่หรอก” คนสกุลเซียงยิ้มเจื่อน

อวี้ถังหัวเราะร่า กระซิบคุยเรื่องซย่าเหลียนกับซย่าผิงกุ้ยขึ้นมา

คนสกุลเซียงคาดไม่ถึงอย่างยิ่ง ยามที่ซย่าเหลียนยกชาและของว่างเข้ามา คนสกุลเซียงก็จ้องมองนางบ่อยครั้ง จวบจนพาให้ซย่าเหลียนสงสัยว่าหน้าตัวเองมีอะไรติดอยู่ คนสกุลเซียงจึงค่อยปล่อยซย่าเหลียนไป จากนั้นก็แอบกระซิบกระซาบกับอวี้ถัง “ข้าว่าดีไม่น้อย พอดีที่พี่เจ้าอยากจะขยับขยายร้านค้า มีซย่าผิงกุ้ยคอยนั่งดูแลควบคุม พี่เจ้าและลุงใหญ่ย่อมวางใจที่สุด”

อวี้ถังก็คิดว่าพวกเขาเหมาะสมกัน ขบคิดในใจ หากสามารถจับคู่สำเร็จ ปีหน้าสกุลพวกนางก็จะมีเรื่องมงคลตั้งสองครั้ง!

รอจนนางและมารดากลับเรือน ก็พบกับอวี้เหวินที่หน้าประตู

อากาศหนาวยะเยือก เขาตัวสั่นจนต้องย่ำเท้า

คนสกุลเฉินเอ่ยอย่างสงสาร “นี่เจ้าไปไหนมา? ไม่ได้จ้างเกี้ยวกลับมาหรอกรึ?”

อวี้เหวินทอดถอนหายใจ “นี่ไม่ใช่ใกล้จะเซ่นไหว้บรรพบุรุษแล้วรึ? นายท่านอู๋ชวนข้าไปจองหัวหมู ผลปรากฏว่ากลับพบอาจารย์เสิ่นระหว่างทาง เขาดื่มสุราอยู่ร้านสุราข้างทางเล็กๆ ข้าเห็นว่าท่าทีเขาผิดปกติ แต่นายท่านอู๋ดึงดันจะเข้าไปทักทายเขาให้ได้ พวกเราทั้งสองจึงถูกเขารั้งตัวดื่มสุราที่นั่น เจ้าก็รู้ว่าข้าดื่มสุราไม่เก่ง ไหนเลยจะกล้าดื่มหนัก นายท่านอู๋ดื่มเป็นพันแก้วก็ไม่เมา ทั้งสองคนกลับนับว่าสมน้ำสมเนื้อ ข้าจึงคอยรินสุราอยู่ด้านข้าง รอจนทั้งสองคนดื่มพอสมควรแล้ว ผู้ติดตามนายท่านอู๋ก็แบกเขากลับเรือนไป ข้ายังต้องส่งอาจารย์เสิ่นกลับสำนักศึกษาประจำอำเภอ แต่ว่า ข้าพบเสี่ยวชวนที่สำนักศึกษาด้วย ได้ยินอาจารย์ที่นั่นพูดว่า เสี่ยวชวนบากบั่นตั้งใจเรียนหนังสือไม่น้อย สอบเป็นซิ่วไฉย่อมไม่ใช่ปัญหา หากเป็นเช่นนั้นได้จริงๆ สกุลเว่ยก็นับว่าสามารถลืมตาอ้าปากได้แล้ว”

สกุลเว่ยมีลูกชายมากมาย ทั้งยังมีที่ดินจำนวนไม่น้อย ใช้ชีวิตอย่างลำบากแสนเข็ญ สาเหตุสำคัญคือต้องจ่ายภาษีเยอะเกินไป หากเว่ยเสี่ยวชวนสามารถสอบซิ่วไฉได้ ก็จะสามารถละเว้นภาษีของสกุลเว่ยส่วนหนึ่ง นี่นับว่าเป็นเงินก้อนโตสำหรับสกุลเว่ย

คนสกุลเฉินพยักหน้า “อาจารย์เสิ่นดื่มสุราอยู่คนเดียวอย่างนั้นรึ?” ขณะที่พูด ก็เหลือบมองอวี้ถังไปที คล้ายถามอวี้ถังว่า “นายหญิงเสิ่นมาไม่ใช่รึ”

อวี้ถังหูตั้งขึ้นมาทันที

เห็นได้ชัดว่าอวี้เหวินไม่รู้เรื่องนี้ “เห็นกล่าวว่าอารมณ์ไม่ดี วันนี้ไม่ได้เข้าสอนสักวิชา แต่เชิญอาจารย์คนอื่นมาสอนแทน จะว่าไปแล้ว อาจารย์เสิ่นนั้นน่าสงสาร ยามที่ข้าส่งเขากลับไป ในห้องก็เย็นชืด มีเพียงเด็กท่าทางงุ่มง่ามคนหนึ่งนอนอยู่ที่นั่น ให้เขาช่วยชงชาสร่างเมาก็ยังหยิบจับอะไรไม่ถูก อาจารย์เสิ่นร่ำเรียนมีความรู้ขนาดนั้นนับว่าน่าสงสารจริงๆ!

นี่เหมือนจะไม่เกี่ยวกับการร่ำเรียนอะไรกระมัง?

อวี้ถังขบคิดในใจ

เห็นได้ชัดว่าคนสกุลเฉินก็คิดได้เช่นกัน นางขมวดคิ้วเอ่ย “ข้าได้ยินจากอาถังว่านายหญิงเสิ่นมา นายหญิงเสิ่นไม่ได้ทิ้งบ่าวรับใช้ให้อาจารย์เสิ่นสักคนเลยรึ?”

อวี้เหวินตกใจ “นายหญิงเสิ่นมารึ? มาตั้งแต่เมื่อใด? ไฉนอาจารย์เสิ่นไม่เอ่ยขึ้นมาสักคำ?”

คนสกุลเฉินเอ่ยอย่างลังเล “ก่อนหน้านี้ข้ายังคิดจะปรึกษากับเจ้าว่าควรไปเยี่ยมนายหญิงเสิ่นหรือไม่ พอได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้ ข้ากลับไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี?”

อวี้เหวินเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ข้าจะไปสืบข่าวแล้วค่อยว่ากัน”

คนสกุลเฉินพยักหน้า

ผ่านไปสองวัน อวี้เหวินก็ปรึกษาเรื่องนายหญิงเสิ่นกับคนสกุลเฉิน อวี้ถังนั่งฟังอยู่ด้านข้าง

“ว่าตามหลักแล้ว ยากที่นายหญิงเสิ่นจะเทียวมาครั้งหนึ่ง พวกเราก็เคยได้รับน้ำใจจากอาจารย์เสิ่น แม้จะไม่อาจเชิญนายหญิงเสิ่นมาเป็นแขกที่เรือนได้ ก็ควรไปเยี่ยมเยือนเสียหน่อย” เขาเอ่ยอย่างลำบากใจ “แต่ได้ยินเสิ่นฟางกล่าวว่า อาจารย์เสิ่นและนายหญิงเสิ่นไม่ลงรอยกันตั้งแต่แต่งงานแล้ว ด้วยเหตุนี้ทั้งสองคนจึงมีลูกเพียงคนเดียว นายหญิงเสิ่นมาหลินอัน ก็พักอยู่กับท่านแม่เฒ่าเผย ส่วนอาจารย์เสิ่นก็ไม่ได้เปิดเผยเรื่องนี้แก่คนรอบข้างแม้แต่น้อย”

จะไปพบนายหญิงเสิ่นหรือไม่จึงเป็นเรื่องลำบากใจขึ้นมา

ชาติก่อนอวี้ถังไม่เคยได้ยินเรื่องของอาจารย์เสิ่น จึงไม่อาจตัดสินใจอะไรได้ แต่นางคิดอยู่พักใหญ่ ก็เสนอความคิดให้บิดาและมารดา “ไม่อย่างนั้น พวกเราก็ทำเป็นไม่รับรู้เสีย เวลานั้นท่านแม่เฒ่าก็ไม่ได้แนะนำว่าข้าเป็นคุณหนูสกุลใด อาจารย์เสิ่นก็ไม่ได้ปริปากเรื่องนี้กับท่านสักคำ อย่างไรอย่าได้หาเรื่องยุ่งเข้ามาดีกว่า”

อวี้เหวินตรึกตรองเล็กน้อย คิดว่าวิธีของอวี้ถังนั้นใช้ได้ “อย่างไรสตรีสกุลพวกเราและสกุลเสิ่นก็ไม่ได้ไปมาหาสู่กัน ไม่ทราบว่านายหญิงเสิ่นมาก็มีความเป็นได้”

อวี้เหวินจึงจบเรื่องไปเช่นนี้ แต่เพราะความกังวลของคนสกุลเฉิน นางจึงลอบไปเยือนเรือนนายท่านอู๋ ไถ่ถามนายหญิงอู๋ว่านางทราบเรื่องที่นายหญิงเสิ่นมาหลินอันหรือไม่

——————–