อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ค่อยได้มีโอกาสดูดอกไม้ไฟ จึงยืนขึ้นท่ามกลางฝูงชน แล้วแหงนหน้ามองฟ้า
ลำคอขาวเนียนยื่นออกจากเสื้อตัวเล็ก คล้ายก้านดอกไม้ที่เรียวยาวแต่แข็งแรง และสั่นน้อยๆ เสื้อซับในตัวแคบที่อยู่ใต้ผ้าคลุมทำให้เห็นทรวดทรงองเอวชัดเจน ร่างเล็กแต่อวบอิ่ม ภายใต้ดอกไม้ไฟเต็มท้องฟ้า นางดูคล้ายดอกไม้ราตรีที่ใกล้จะเบ่งบานเต็มที่
ซย่าโหวซื่อถิงเดินเบาๆ เข้าไปปะปนในฝูงชน แล้วยื่นมือเข้าจับมือนางขณะที่นางไม่รู้ตัว อาศัยผ้าคลุมผืนใหญ่บนร่างนางปกปิดไว้
นี่เป็นครั้งที่สองของคืนนี้ที่เขาจับมือตน อวิ๋นหว่านชิ่นยังไม่ทันโต้ตอบ เขาก็แนบชิดมาด้านหลัง แล้วก้มศีรษะลงกระซิบที่ข้างหูบางๆ ของนาง
“รู้หรือไม่ ข้าเขียนอะไรไว้ในกระทง” อวิ๋นหว่านชิ่นเบาใจลง พอจะรู้แล้วว่าอะไร
พอเขาเห็นนางไม่ตอบ ก็ฉวยโอกาสช่วงฟ้ามืด เลื่อนริมฝีปากเข้ามาใกล้ใบหูนาง แล้วประทับลงเบาๆ จากนั้นก็มีไออุ่นอ้อยอิ่ง “ข้าขอให้ลูกท่านหลานเธอเหล่านั้นเข้าไม่ถึงตัวเจ้า”
อวิ๋นหว่านชิ่นหูเย็นทันที แทบจะรู้สึกได้ถึงสัมผัสจากริมฝีปากของเขา กล้าเกินไปแล้ว! เขานึกว่าผู้คนรอบข้างเป็นผักกันหมดหรือไง ถึงได้จูบหูตนท่ามกลางผู้คนแบบนี้…
เหมือนเขารู้ว่านางคิดอะไรอยู่ “ทุกคนกำลังมองขึ้น ไม่มีใครมองลงหรอก!”
ปากของเขาพลันอ้าแล้วหุบ คราวนี้ยิ่งแล้วใหญ่ เลื่อนริมฝีปากลงมายังติ่งหูที่ขาวและเล็กของนางอย่างรวดเร็ว แล้วกัดเบาๆ เข้าทีหนึ่ง
เพราะที่ๆ อันตรายที่สุดคือที่ๆ ปลอดภัยที่สุด เขาจึงใช้สถานที่นี้แสดงความรัก? ตลอดทั้งตัวนางร้อนดั่งไฟเผา ไม่มีแรงไปชั่วขณะ จึงปล่อยให้เขาลูบๆ คลำๆ อยู่ด้านหลัง คิดจะฝ่าฝูงชนออกไป แต่ หันมองซ้ายขวา ก็ล้วนเต็มไปด้วยผู้คน หนีไปไหนไม่ได้…
และตอนนี้ เขาก็กระชากนางอย่างแรงจากด้านหลัง ใช้ความได้เปรียบจากผ้าคลุมผืนใหญ่อีกครั้ง โอบนางไว้ ปกปิดไม่ให้ผู้คนเห็นว่าเขากุมมือเล็กๆ ของนางมาบีบนวด พลางเปล่งเสียงที่คล้ายดังออกมาจากถ้ำลึกลับที่ไหนสักแห่ง
“นี่มันก้อนหินชัดๆ กุมนานขนาดนี้ น่าจะอุ่นได้แล้วนะ”
นางทั้งโกรธทั้งขำ เห็นชัดว่าเขาอุดอู้มานาน พอลับหลังคนถึงได้พูดและทำทุกสิ่งทุกอย่างออกมาหมด! ใครบอกว่าเขาเป็นพระที่สันโดษ นางเถียงคอเป็นเอ็น
อาการปวดกระดูกคลับคล้ายปะทุขึ้นอีก เขาพยายามสงบสติอารมณ์ไม่ให้หัวใจเต้นแรง คิดข่มการตอบสนองของร่างกายที่อ่อนแอนี้ไว้ แต่อวิ๋นหว่านชิ่นยังคงรู้สึกได้ถึงอาการสั่นน้อยๆ ของเขา
“ท่าน…อาการกำเริบอีกแล้วหรือ”
คำพูดนี้ทำให้หมดอารมณ์จริงๆ ซย่าโหวซื่อถิงไม่ค่อยพอใจ อย่างไรก็ไม่ยอมรับ
“ไม่นี่” ถ้าแค่โอบกอดนิดหน่อย อาการก็กำเริบ ตนยังภาคภูมิใจในตนเองได้อีกหรือ
“ท่านสามอย่าฝืนอีกเลย” อวิ๋นหว่านชิ่นขำ แล้วค่อยๆ บิดเอวหนี
คำพูดนี้ยิ่งทำให้เขาหงุดหงิดใจ จึงกระชับเอวนางให้แน่นขึ้น ตอนที่ได้ยินเสียงเล็กๆ ของนาง ในใจรู้สึกเหมือนถูกไฟเผา กระดูกก็ยิ่งปวดเข้าไปอีก พอคิดว่าหรือนางไม่ชอบที่เขาป่วย ก็พยายามข่มอาการไว้ ไม่กล้าขยับ กลัวนางจะจับได้อีก…นางนี่ ไวเหมือนกระต่ายจริงๆ
ดอกไม้ไฟพุ่งขึ้นฟ้า กระจายออก แล้วดับสนิท หมดแล้ว ผู้คนจึงพากันก้มศีรษะลง เขาค่อยปล่อยมือนาง
รอจนพวกอวิ๋นจิ่นจ้งกลับมา ก็เข้าสู่ยามวิกาลแล้ว ทุกคนจึงทำตามที่ซย่าโหวซื่อถิงบอก ฉวยโอกาสขณะที่ผู้คนยังไม่แยกย้ายดี กลับไปที่รถม้าก่อน แล้วออกรถ ตรงไปยังจวนรองเจ้ากรม
ในรถม้า สีหน้าซย่าโหวซื่อถิงกลับคืนสู่ปกติ เหมือนเมื่อครู่ไม่ได้ทำอะไรมาก่อน
คืนนี้อวิ๋นจิ่นจ้งสนุกมาก พอกลับเข้าไปในรถ และนั่งไปได้ไม่เท่าไหร่ ก็รู้สึกง่วงหงาวหาวนอน จึงเอนหลัง แล้วยื่นหน้าเข้าไปข้างหูพี่สาวแบบคนครึ่งหลับครึ่งตื่น พลางกระซิบ
“…วันนี้พี่ใช้ข้าเป็นข้ออ้าง นัดเที่ยวกับพี่พ่อบ้านใช่ไหม ครั้งหน้าไม่ได้แล้วนา”
ไม่รอให้นางเอ็ด อวิ๋นจิ่นจ้งก็อ้าปากหาว วางขนตาลง หลับตา เฝ้าพระอินทร์ไป
อวิ๋นหว่านชิ่นเกรงว่าน้องจะหนาว จึงดึงปมผูกผ้าคลุมบนร่างตนออก แล้วกางผ้าคลุม ห่มร่วมกันกับน้อง
ตอนกลับถึงประตูข้างจวนรองเจ้ากรม ก็ใกล้เที่ยงคืนแล้ว
เมี่ยวเอ๋อร์กระโดดลงจากรถไปดูลาดเลาก่อน แล้วจึงเปิดประตู หันมองไปรอบๆ พอเห็นว่าไม่มีใคร ค่อยกลับมาเรียกคุณหนูใหญ่กับคุณชายให้เข้าไป
อวิ๋นหว่านชิ่นปลุกน้อง อวิ๋นจิ่นจ้งขยี้ตาให้ตื่น แล้วกระโดดลงจากรถ ขณะอวิ๋นหว่านชิ่นกำลังจะลงตาม ก็ได้ยินเสียงของเขาลอยมา เนื่องจากตัวรถแคบ เสียงจึงชัดเป็นพิเศษ
“ข้าจะทูลขอเสด็จพ่อให้เร็วที่สุด เจ้าก็ต้องเตรียมตัวให้ดี”
น้ำเสียงใสๆ ฟังดูสบายๆ ไม่ช้าและไม่เร็วจนเกินไป คล้ายไม่รีบแต่อย่างใด ทว่าไฟในใจของเขานั้น ไหม้จนถึงศีรษะแล้ว พอๆ กับดอกไม้ไฟในคืนนี้ไม่มีผิด
อีกละ เมื่ออวิ๋นหว่านชิ่นมาถึงหน้าบ้านแล้ว ก็ไม่มีเวลาพูดมากกับเขาอีก จึงลงจากรถ ก้าวเข้าไปในบ้าน
หลังจากชายในรถส่งทั้งสองด้วยสายตาแล้ว ก็ออกคำสั่ง สารถีจึงบังคับรถม้าให้หันหลังกลับ แล้วด้านหลังของรถม้าก็ค่อยๆ ไกลออกจากประตูข้างของจวนรองเจ้ากรมไป
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว และแล้วก็ถึงวันฤกษ์งามยามดีที่สำนักดาราศาสตร์กำหนดให้เป็นวันวิวาห์ของเว่ยอ๋อง คนในวังมาที่จวนรองเจ้ากรมประกาศสมรสพระราชทาน คนของสำนักพระราชวังจดบันทึกลงในสมุดหยก หรือแผนภูมิครอบครัวราชวงศ์ พอทุกอย่างเรียบร้อย อวิ๋นหว่านถงก็ขึ้นเกี้ยว ไปยังจวนเว่ยอ๋อง
จากความผิดในคดีขุดเหมืองแร่เป็นการส่วนตัว การรับชายารองเข้าจวนในครั้งนี้ จึงถูกจัดขึ้นอย่างเรียบ
ง่ายกว่าของอ๋องท่านอื่นๆ เรียบและง่ายจนไม่เหมือนงานวิวาห์ของอ๋องก็ว่าได้ เพราะเว่ยอ๋องกำลังถูกกักบริเวณ จะจัดงานเอิกเกริกมากไม่ได้ เจ้าภาพจึงไม่กล้าเชิญขุนนางมามาก และแขกที่รับเชิญ ก็มาไม่ถึงครึ่งหนึ่ง งานเลี้ยงจึงเป็นไปอย่างเงียบเชียบ ถ้าไม่ใช่เพราะมเหสีรองเหวยส่งคนในวังของตนมาเสริมจำนวนหนึ่ง ก็ไม่รู้ว่างานเลี้ยงจะเงียบเหงาแค่ไหน แต่เว่ยอ๋องก็ไม่ถือสา ดื่มสุราเสร็จ ส่งแขกเรียบร้อย ก็รีบกลับไปหาเยี่ยหนานเฟิงที่เรือนรุ่ยเสวี่ยทางปีกตะวันตก
พ่อบ้านในจวนเห็นว่า พองานเลี้ยงเลิก ท่านอ๋องก็หายตัวไปทันที จึงตามหาไปทั่ว เมื่อได้ยินว่า คืนวันวิวาห์ ท่านอ๋องยังแจ้นไปหาตัวสร้างปัญหาอีก จึงรีบไปตามที่เรือนรุ่ยเสวี่ย และยกแม่น้ำทั้งห้าขึ้นมาพูดตักเตือนอยู่หน้าห้อง
“ชายารองอวิ๋นอย่างไรก็เป็นคนที่ไทเฮาเลือกให้ และฝ่าบาทก็ทรงพระราชทานสมรสให้ เช้าตรู่ของวันพรุ่งนี้ ในวังยังต้องส่งคนมารับผ้าขาวที่เปื้อนโลหิตอีก ท่านห้าขอรับ ขอให้ท่านเห็นแก่บุคคลที่สาม อย่างไรเสีย คืนนี้ก็ต้องเป็นเหมือนเมื่อก่อน ต้องเข้าห้องหอนา”
เว่ยอ๋องเมาหัวราน้ำ กำลังกอดพลอดรักอยู่กับเยี่ยหนานเฟิง
ต้องพูดถึงชายาเลื่องชื่อสองสามคนของเว่ยอ๋องก่อน ก็คือชายาบ่าวสองคน กับชายารองหนึ่งคนที่ถูกเขาทำร้ายจนเสียชีวิต ซึ่งในคืนเข้าห้องหอ เนื่องจากต้องการรั้งตัวพวกนางเอาไว้ เว่ยอ๋องจึงไปค้างคืนกับพวกนางอยู่หลายคืน แต่หมู่นี้เขาอารมณ์ไม่ดี ไม่อยากเอาตัวเองใส่พานไปให้ จึงเอ็ดใส่
“ข้าเป็นอ๋องผู้สูงส่ง อยากนอนกับใคร ไม่อยากนอนกับใคร ยังตัดสินใจเองไม่ได้รึไง คืนนี้ข้าไม่ไป!”
เยี่ยหนานเฟิงก็ไม่ใช่คนใจดีอะไร พอเห็นจวนอ๋องรับชายารองเข้ามา ก็กลัวว่าจะถูกแย่งตำแหน่งคนโปรด จึงกระซิบข้างหูเว่ยอ๋อง
“ท่านอ๋องเป็นคนมีโชคมีลาภเสมอมา แต่ครั้งนี้ พอรับคนสกุลอวิ๋นเข้าบ้าน ท่านอ๋องก็เคราะห์ซ้ำกรรมซัด ไม่รู้ว่าหญิงสาวนางนี้เป็นดาวพิฆาตท่านอ๋องหรือเปล่า!”
พอเว่ยอ๋องได้ยิน ก็ยิ่งไม่สบอารมณ์ ตวาดตอบ “ไปๆๆ! บอกว่าไม่ไปก็ไม่ไปสิ!”
พ่อบ้านทำอะไรไม่ได้ จึงได้แต่ถอยออกไปก่อน