บทที่ 125 การสู่ขอของตระกูลลู่

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

หนึ่งร้อยยี่สิบห้า

การสู่ขอของตระกูลลู่

เมื่อเสวี่ยเจียเยว่ได้ยินคำพูดที่จริงจังของเสวี่ยหยวนจิ้ง รวมทั้งสายตาที่จับจ้องมาอย่างอ่อนโยนและอ้อนวอน ใบหน้าของเธอพลันแดงเรื่อขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ หัวใจดวงนี้ก็เต้นรัวขึ้นมาทันที

เธอร้องไห้ก็แล้ว น้อยใจก็แล้ว แต่ยังไม่อาจรับเรื่องนี้ได้ ทว่าเมื่อได้เห็นท่าทางจริงจังของเสวี่ยหยวนจิ้งที่มีต่อเธอ…

เสวี่ยเจียเยว่ก้มหน้าลง นิ้วมือทั้งสองข้างพันเกี่ยวกันไปมา ชั่วขณะนั้นเธอเองก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดกับเสวี่ยหยวนจิ้งอย่างไรดี

ในขณะที่เธอกำลังลังเล จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นจากด้านนอก ตามด้วยเสียงพูดของคนคนหนึ่ง “ไม่ทราบว่าคุณชายเสวี่ยกับแม่นางเสวี่ยอยู่ที่เรือนหรือไม่”

เสวี่ยเจียเยว่มองผ่านช่องตรงรอยแตกของประตู ก็เห็นว่าเป็นแม่สื่อฉี

แม่สื่อที่มีเรือนอยู่ในบริเวณใกล้เคียงเธอล้วนรู้จักทุกคน เพราะช่วงที่ผ่านมานี้มักจะมีแม่สื่อมาเจรจากับเสวี่ยหยวนจิ้งอยู่หลายครั้ง

เขาสอบได้อันดับหนึ่งของสำนักศึกษาทั้งสองแห่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทั้งยังได้รับชัยชนะในการแข่งขันจีจวีเมื่อปีที่แล้ว ทำให้มีสตรีมากมายในเมืองผิงหยางอยากแต่งงานกับเขา ดังนั้นแม่สื่อจึงมาที่เรือนอยู่บ่อยครั้งเพื่อเจรจากับเสวี่ยหยวนจิ้ง หากเขาชอบสตรีที่ครอบครัวฝ่ายหญิงจ้างแม่สื่อมา จะได้จัดการเรื่องแต่งงานต่อไป แม้ว่าชายหนุ่มจะปฏิเสธอย่างเย็นชาทุกครั้ง แต่หลังจากนั้นไม่นานก็ยังมีแม่สื่อมาที่เรือนเช่นเดิม

เมื่อเห็นแม่สื่อฉี เสวี่ยเจียเยว่ก็คิดว่านางคงมาเจรจากับเสวี่ยหยวนจิ้งเช่นเคย พอคิดไปถึงนางเอกทั้งสิบสองคน เธอก็อดเดือดดาลขึ้นมาไม่ได้ ทว่ายังไม่สังเกตเห็นความหึงหวงของตน

เนื่องจากรู้สึกไม่พอใจเท่าไรนัก เธอจึงหันหน้าไปยิ้มอย่างเย็นชาให้เสวี่ยหยวนจิ้ง “เจ้าบอกว่าอยากแต่งงานกับข้าอย่างนั้นหรือ เจ้าดูนั่นสิ ตอนนี้มีคนมาเจรจาเรื่องแต่งงานกับเจ้าถึงหน้าประตูอีกแล้ว เจ้ายังไม่ออกไปดูอีกหรือว่าสตรีดีๆ จากเรือนใดที่รอให้เจ้าไปสู่ขอ”

เธอกล่าวจบก็เดินไปเปิดประตูลานเรือน จากนั้นจึงหมุนตัวเดินไปทางเรือนฝั่งตะวันออก แล้วหยิบกุญแจออกมาไขประตูเรือนของตน

แต่ถึงแม้ว่าเธอจะเข้าไปในเรือนแล้ว หูทั้งสองข้างก็ยังคงฟังการสนทนาของคนที่อยู่ด้านนอกอย่างเงียบๆ เพราะอยากรู้ว่าแม่สื่อฉีมาเจรจาทาบทามเสวี่ยหยวนจิ้งให้สตรีจากครอบครัวใด

เสวี่ยหยวนจิ้งเอ่ยถามแม่สื่อฉีด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่ามีธุระอันใด จากนั้นนางหัวเราะเสียงดัง มองซ้ายแลขวาอยู่ครู่หนึ่งก็ยังไม่เอ่ยถึงจุดประสงค์ที่มาในวันนี้ เอาแต่พูดเรื่อยเปื่อยไปสักพัก สุดท้ายจึงถูกเสวี่ยหยวนจิ้งขัดจังหวะอย่างตรงไปตรงมา และถามนางว่ามาที่นี่ด้วยเหตุอันใด

เมื่อเสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเช่นนั้น เธอก็โผล่ศีรษะออกไปมองอย่างอดไม่ได้

แม่สื่อฉียังคงหัวเราะออกมาเสียงดัง ก่อนจะสะบัดผ้าเช็ดหน้าสีแดงในมือไปมาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไอหยา ข้าอยากจะกล่าวแสดงความยินดีกับคุณชายเสวี่ย ที่ข้ามาในวันนี้เพราะมีคนไหว้วานข้าให้มาเจรจากับเจ้า แต่การแต่งงานที่ดี มีหลายคนอยากแต่งงานก็ทำไม่ได้”

เห็นได้ชัดว่านางมาเพื่อเจรจาเรื่องการแต่งงานกับเสวี่ยหยวนจิ้ง

เสวี่ยเจียเยว่ทนไม่ได้อีกต่อไป หลังเดินออกมาจากเรือนเธอก็ถามแม่สื่อฉีทันที “ท่านแม่สื่อฉี แม่นางจากครอบครัวใดไหว้วานท่านมาเจรจากับพี่ชายข้าหรือเจ้าคะ”

เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นแม่สื่อฉีมาที่นี่เขาก็ไม่มีความสุขแล้ว เดิมทีเขาไม่อยากเปิดประตูให้ด้วยซ้ำ เพราะขณะนี้เขาแสดงออกอย่างชัดเจนแล้วว่าคิดอย่างไรกับเสวี่ยเจียเยว่ แม้จะยังไม่รู้ว่าเด็กสาวคิดอย่างไรก็ตาม ทว่าในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด ชายหนุ่มก็คิดไม่ถึงเลยว่าเสวี่ยเจียเยว่จะเปิดประตูให้แม่สื่อฉี และเมื่อได้ยินเจตนาของนางที่มาเจรจาเรื่องการแต่งงานกับเขา เขากำลังจะเอ่ยปฏิเสธ จากนั้นค่อยส่งแม่สื่อฉีกลับไป เสวี่ยเจียเยว่กลับเดินออกมาถามเรื่องนี้ด้วยตัวเอง

เขารีบเดินไปหาเสวี่ยเจียเยว่ แล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เจ้าจะออกมาทำไม เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องถาม ข้าจะจัดการเอง”

เสวี่ยเจียเยว่เมินเฉยต่อเขา และยังจับจ้องไปที่แม่สื่อฉี “คือสตรีจากครอบครัวใดเจ้าคะ ใบหน้าของนางงดงามหรือไม่ แล้วจะเป็นการแต่งงานที่ดีอย่างไรเจ้าคะ”

แม่สื่อฉีหันไปมองพิจารณาเสวี่ยเจียเยว่ตั้งแต่ศีรษะจดเท้า เห็นเด็กสาวสวมเสื้อสาบเฉียงสีฟ้าอ่อนกับกระโปรงผ้าโปร่งสีขาว ร่างบอบบางยืนโดดเด่นราวกับความงามของดอกไห่ถังที่บานสะพรั่งในยามเช้าช่วงฤดูใบไม้ผลิ

นางเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “แม่นางเสวี่ย ข้าไม่ได้เห็นเจ้าตั้งนาน ยิ่งโตเจ้าก็ยิ่งงดงาม ได้ยินว่าเจ้าเปิดร้านตัดชุดของตัวเอง กิจการกำลังไปได้ดี สตรีทั้งเมืองผิงหยางต่างก็รู้จัก เจ้ามีความสามารถเช่นนี้ ทั้งยังงดงามขนาดนี้ มิน่าเล่า ถึงได้มีคนไหว้วานข้าให้มาสู่ขอเจ้า”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสวี่ยเจียเยว่ก็ตกตะลึงไปทันที

คนที่แม่สื่อฉีมาเจรจาเรื่องแต่งงานในวันนี้ไม่ใช่เสวี่ยหยวนจิ้ง แต่เป็นเธออย่างนั้นหรือ ถึงเวลาที่ต้องมีคนมาเจรจาสู่ขอเธอแล้วหรือ

เธอมองไปยังเสวี่ยหยวนจิ้งอย่างงุนงง เห็นสีหน้าของเขาเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก ทันใดนั้นสายตาดั่งคมมีดของเขาก็เหลือบมองไปที่แม่สื่อฉี

แม่สื่อฉีไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย นางยังคงกล่าวด้วยรอยยิ้มเช่นเคย “หากจะพูดถึงคนที่ต้องการสู่ขอนั้น เจ้าเองก็คุ้นเคยเป็นอย่างดี คือคนจากตระกูลลู่นั่นเอง เถ้าแก่ลู่ทำการค้าร่วมกับร้านของเจ้าใช่หรือไม่ ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ต้องเคยเห็นคุณชายลู่? แม่นางเสวี่ย ข้าจะบอกเจ้าว่าตระกูลลู่นั้นมีร้านค้าอยู่หลายแห่ง เงินทองก็มีอยู่นับไม่ถ้วน มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี อีกทั้งเถ้าแก่ลู่และภรรยาของเขายังเป็นคนมีน้ำใจ คนในครอบครัวก็ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย

“พวกเขามีลูกชายเพียงคนเดียวคือคุณชายลู่ หน้าตาของคุณชายผู้นั้นหล่อเหลาเอาการไม่น้อย เขาเรียนอยู่ในสำนักศึกษาไท่ชู และบอกว่าเป็นสหายกับพี่ชายเจ้าด้วย เขาเพิ่งสอบซิ่วฉายผ่าน เกรงว่าต่อไปก็คงสอบได้เป็นจวี่เหริน และไต่ไปถึงระดับจิ้นซื่อ สุดท้ายก็ได้ตำแหน่งขุนนางระดับสูง

“เมื่อวานนี้เถ้าแก่ลู่เชิญข้าไปพบ แล้วบอกเรื่องเหล่านี้แก่ข้า เมื่อข้าคิดๆ ดูแล้ว เจ้ากับคุณชายลู่เหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก ดังนั้นข้าถึงได้รีบมาหาเจ้า บอกเรื่องการแต่งงานที่ดีแก่เจ้า หากเป็นคนอื่นข้าคงไม่มาเพราะกลัวว่าจะไม่เหมาะสมกับเจ้า”

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง นางก็พูดอีกสองสามประโยค โดยย้ำว่าไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าความสุขของเสวี่ยเจียเยว่หลังจากแต่งงานเข้าตระกูลลู่ แล้วเกลี้ยกล่อมเด็กสาวว่าไม่ต้องลังเล จงยอมตกลงแต่งงานเสีย

ทว่าเสียงเย็นชากลับดังขึ้นขัดจังหวะ “พอได้แล้ว”

เสียงนั้นทำเอาแม่สื่อฉีตกใจกลัวจนตัวสั่นสะท้าน เมื่อมองตามเสียงนั้นไป ก็พบว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกำลังทำสีหน้าเย็นชาและจ้องมองนางเขม็ง

นางเคยมาเจรจาให้เสวี่ยหยวนจิ้งไปดูตัวสตรีในเมืองผิงหยางอยู่หลายครั้ง ถึงแม้ว่าชายหนุ่มจะปฏิเสธทุกครั้ง แต่สีหน้าของเขาก็ไม่เย็นชาขนาดนี้ เหตุใดวันนี้เมื่อนางมาเจรจาสู่ขอน้องสาวของเขา สีหน้าและท่าทางของเขาถึงได้ดูน่ากลัวยิ่งนัก

แม่สื่อฉีรู้สึกสงสัยและครุ่นคิดในใจ แต่ถึงอย่างไรนางก็มาที่นี่เพื่อเจรจาสู่ขอเสวี่ยเจียเยว่ ดังนั้นนางจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“คุณชายเสวี่ยไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานในครั้งนี้หรือ เพราะกลัวว่าน้องสาวของเจ้าจะลำบากเมื่อแต่งให้ตระกูลลู่หรือไม่ เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด คุณชายลู่นิสัยอ่อนโยนและมีความเมตตา เมื่อวานนี้ข้าได้ยินเจตนาที่คุณชายลู่กล่าวมา เขาชอบแม่นางเสวี่ยอย่างจริงใจ อยากแต่งงานกับนางจริงๆ เอ่อ… หลังจากที่เขาสอบผ่านซิ่วฉาย ก็ขอให้บิดาของเขาไหว้วานข้ามาสู่ขอแม่นางเสวี่ยทันที”

ยิ่งนางพูดมากเท่าไร สีหน้าของเสวี่ยหยวนจิ้งก็ยิ่งมืดมนลงเรื่อยๆ ราวกับว่าฝนกำลังจะตกลงมาก็ไม่ปาน

เหตุใดเขาจะไม่รู้เรื่องที่ลู่ลี่เซวียนชอบเสวี่ยเจียเยว่ อย่าว่าแต่ลู่ลี่เซวียน แม้กระทั่งตันหงอี้และเจี่ยจื้อเจ๋อ หากเสวี่ยเจียเยว่โตกว่านี้ เกรงว่าแม่สื่อคงมาเจรจาสู่ขอจนธรณีประตูแตกเลยกระมัง

และเมื่อครู่นี้เสวี่ยเจียเยว่ยังพูดว่าตันหงอี้สู่ขอตนแล้ว กระทั่งบอกว่าถ้าจะแต่งงานกับคุณชายผู้นั้นแล้วมีตรงไหนไม่ดี…

เขาจะไม่ยอมให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นเด็ดขาด ด้วยเหตุนี้เขาจึงมองไปที่แม่สื่อฉี และเอ่ยด้วยความเย็นชา

“ท่านกลับไปบอกตระกูลลู่ ว่าน้องสาวของข้ามีคู่หมายแล้ว”

แม่สื่อฉีตกใจมากเมื่อได้ยินเช่นนั้น เสวี่ยเจียเยว่เองก็เบิกตากว้างในทันที ก่อนจะหันไปมองเสวี่ยหยวนจิ้งด้วยคอที่แข็งทื่อ

“แม่นาง… แม่นางเสวี่ยมีคู่หมายแล้วอย่างนั้นหรือ” หลังจากแม่สื่อฉีหายตกใจแล้วจึงรีบเอ่ยถาม “เหตุใดข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน เรื่องนี้มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร”

“เมื่อครู่นี้”

แม่สื่อฉีกับเสวี่ยเจียเยว่ตกตะลึงไปพร้อมกันทันที

ในที่สุดแม่สื่อฉีก็จากไปด้วยสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก เสวี่ยหยวนจิ้งเดินไปปิดประตูลานเรือน เมื่อหันกลับมาก็พบเสวี่ยเจียเยว่ยืนมองเขาด้วยแววตาซับซ้อน

ในขณะที่เขากำลังจะก้าวเข้ามาหา เสวี่ยเจียเยว่กลับห้ามเอาไว้ “เจ้าอย่าเข้ามา”

เธอถูกเสวี่ยหยวนจิ้งบังคับจูบอยู่หลายครั้ง เมื่อเห็นเขากำลังจะเดินมาหา จึงรู้สึกว่าขาทั้งคู่เริ่มอ่อนแรงลง

เสวี่ยหยวนจิ้งหยุดชะงักทันที…

เขายังคงโกรธที่ตระกูลลู่ส่งแม่สื่อมาสู่ขอเสวี่ยเจียเยว่ถึงหน้าเรือน และตอนนี้ก็รู้สึกเจ็บปวดที่เด็กสาวต่อต้านเขาเช่นนี้ จึงเริ่มหวาดกลัวขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

“เหตุใดถึงไม่ให้ข้าเข้าไป” ชายหนุ่มมองเสวี่ยเจียเยว่พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เยว่เอ๋อร์ ข้ารักเจ้าจริงๆ ข้าอยากเป็นสามีของเจ้า”

เสวี่ยเจียเยว่ยอมรับว่าใบหน้าของเสวี่ยหยวนจิ้งโดดเด่นยิ่งนัก แม้เขาจะเย็นชากับคนทั้งเมืองผิงหยาง แต่ยังคงทำให้สตรีทั้งหลายที่ได้เห็นเขารู้สึกราวกับมีต้นรักผลิบานในใจ และถ้าเห็นเขามองมาด้วยแววตาอ่อนโยน ทั้งยังพูดคำหวานด้วยน้ำเสียงชวนหลงใหล คงไม่มีสตรีใดในใต้หล้านี้ต้านทานได้

แต่เธอแตกต่างกับคนเหล่านั้น เสวี่ยเจียเยว่เข้าใจว่าตนคิดกับเขาเหมือนพี่ชายมาโดยตลอด เธอภูมิใจที่มีพี่ชายโดดเด่นเช่นเขา แต่ไม่มีวันตกหลุมรักเขาเด็ดขาด

หลังจากถูกรบเร้าอยู่นาน ในที่สุดเสวี่ยเจียเยว่ก็โกรธและเอ่ยอีกครั้ง “แต่ในใจของข้านั้น ข้าคิดว่าเจ้าคือพี่ชายจริงๆ เจ้าจะมาบอกว่ารักข้าไม่ได้ หากอยากเป็นสามีข้า อยากให้ข้าคิดว่าเจ้าคือสามี ข้า… ข้าทำไม่ได้”

เสวี่ยหยวนจิ้งรู้สึกราวกับได้ยินเสียงลมหวีดหวิวในกลางดึก ทำให้ร่างกายของเขาเย็นเฉียบ หัวใจก็เย็นชาในทันใด

เขายังคงมองไปที่เสวี่ยเจียเยว่ แสงแดดในฤดูร้อนสาดกระทบลงบนร่างบอบบางผ่านช่องว่างระหว่างใบการบูร ส่องต้องใบหน้าที่สดใสมีเสน่ห์ แต่แววตาที่จ้องเขานั้นกลับมีความหวาดระแวงและตื่นกลัว ไม่มีความไว้ใจและอยากพึ่งพาเหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว

เสวี่ยเจียเยว่จะไม่ยิ้มให้เขาเหมือนที่เคยเป็นมาอีกแล้วอย่างนั้นหรือ จะไม่กอดแขนทำตัวใกล้ชิดและออดอ้อนเขาอีกแล้วใช่หรือไม่ หรือจะทำตัวห่างเหินหลังจากที่รู้ความในใจของเขา

เมื่อคิดดังนั้น เสวี่ยหยวนจิ้งรู้สึกว่าหัวใจของเขาหนักหน่วงราวกับมีหินผูกถ่วงเอาไว้ และกำลังจมลงสู่แม่น้ำลึกอย่างช้าๆ

หลังจากได้ยินคำสารภาพจากชายหนุ่มทั้งสองคน เสวี่ยเจียเยว่ไม่ลังเลที่จะปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมาเมื่ออยู่ต่อหน้าตันหงอี้ แต่กับเสวี่ยหยวนจิ้ง เธอไม่กล้าปฏิเสธตรงๆ และเมื่อเห็นดวงตาที่หลุบลง อีกทั้งขนตาที่พลิ้วไหว ความสงสารก็ผุดขึ้นมาในใจของเธอทันที

“ท่านพี่” เธอคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยความลำบากใจ โดยเรียกเขาด้วยถ้อยคำที่สนิทสนมเช่นเดิม “ต่อจากนี้ไปพวกเราจะทำอย่างไร หรือว่าให้ข้าออกไปเช่าเรือนอยู่คนเดียวดีหรือไม่ ท่านก็รู้ว่าตอนนี้เป็นเช่นไร ข้า… ข้าไม่อาจอยู่ร่วมเรือนกับท่านได้อีกแล้ว”

เสวี่ยหยวนจิ้งรู้สึกเจ็บปวดเมื่อได้ยินเช่นนั้น และมองเสวี่ยเจียเยว่โดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำ