ตอนที่ 233 ให้นางโผล่ออกมาเอง! + ตอนที่ 234 ติดกับเสียเอง!

เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า

ตอนที่ 233 ให้นางโผล่ออกมาเอง!

เจ้าตำหนักยมราชชำเลืองมองทั้งสองคน น้ำเสียงที่ทุ้มต่ำและมีแรงดึงดูดเปล่งออกจากปาก “ข้าไม่สนว่าพวกเจ้าใครจะหันมาชอบผู้ชายเพราะใคร ตอนนี้ จงไปตามหาคนให้ข้าซะ!”

สองคนได้ยินก็รีบถาม “นายท่านจะตามหาหนุ่มน้อยคนเมื่อครู่รึขอรับ?”

“ถูกต้อง” เจ้าตำหนักยมราชตอบรับเสียงเข้ม ชะงักไปเล็กน้อยสักพัก มองทั้งสองคนแวบหนึ่ง ถึงจะเอ่ยว่า “นางคือภูตหมอ”

“อะไรนะขอรับ?”

ทั้งสองคนตกใจ ส่งเสียงอุทานพร้อมกันโดยไม่นัดหมาย ภูตหมอรึ? หนุ่มน้อยชุดคลุมขาวผู้นั้นน่ะนะ? จริงหรือเท็จกันเนี่ย? แล้วทำไมนายท่านถึงมองออก?

“นายคงจำคนผิดแล้วกระมัง? หนุ่มน้อยชุดขาวคนนั้น เขา เขาจะเป็นภูตหมอไปได้อย่างไรขอรับ?”

ฮุยหลางฝืนใจเอ่ยถามไป จริงๆ มันก็ยากนักที่จะเชื่อ ว่าหนุ่มน้อยผู้ใบหน้าเสียโฉมกับเด็กหนุ่มชุดขาวรูปงามเลิศเลอคนก่อนหน้าจะเป็นคนคนเดียวกัน

สายตาเย็นเยือกของเจ้าตำหนักยมราชกวาดมามองเขา

อิ่งอีเห็นเช่นนี้ กล่าวขึ้นทันใด “ข้าน้อยจะไปตามหาเดี๋ยวนี้ขอรับ!” สิ้นสุดน้ำเสียง ก็ออกไปอย่างรวดเร็ว

“ข้าน้อยก็จะไปตามหาด้วยขอรับ ต้องหาให้เจอแน่นอน!” ฮุยหลางรีบร้อนบอก เร่งฝีเท้าจากไปโดยไม่กล้าถามอะไรอีก

เจ้าตำหนักยมราชยืนมือไพล่หลัง แววตาลึกล้ำมองไปยังฝูงชน นิ่งไปเล็กน้อยพักหนึ่ง ก่อนจะสาวก้าวเดินเข้าถนนใหญ่ แทรกตัวเข้าไปท่ามกลางผู้คน…

พวกเจ้าตำหนักยมราชเวลานี้ยังไม่รู้ ว่าคนที่พวกเขาตามหา กำลังนั่งอยู่ใต้โต๊ะในร้านค้าแผงลอยที่ห่างไปไกลไม่ถึงสองสามเมตร และได้ยินคำพูดพวกเขา

แปลกจริง เขาจำเธอได้ยังไงกันแน่เนี่ย?

เฟิ่งจิ่วลูบๆ หน้าตัวเอง ไม่เข้าใจเลย ชัดเจนว่าเขาไม่เคยเห็นรูปลักษณ์ที่ไร้รอยตำหนิของเธอ แล้วจะมองใบหน้าหลังคืนสภาพเช่นนี้ออกได้อย่างไรเล่า?

หลังนั่งอยู่ใต้โต๊ะในร้านไปนานสักพัก เธอถึงจะออกมาจากด้านใน มองซ้ายแลขวา ไปยังโรงเตี๊ยมอย่างรวดเร็ว

หามาทั้งคืน ฮุยหลางกับอิ่งอีก็ไม่อาจหาร่องรอยเฟิ่งจิ่วได้พบ อันที่จริง เมืองลิ่วเต้ามีคนอยู่หลายล้าน ในเมืองยังแบ่งเป็นหลายเขตมากมาย ทุกอาณาเขตอย่างน้อยก็มีเป็นแสนๆ คน จะตามหาเบาะแสคนคนหนึ่งท่ามกลางหลายแสนคนนี้ จะพูดง่ายๆ ได้อย่างไร?

เมื่อรอถึงวันรุ่งขึ้น ทั้งสองคนก็กลับมายังเรือนที่พำนัก รายงานกับนายท่านในห้องหลัก “นายท่าน ข้าน้อยคอยตามหาอยู่ทั้งคืน ล้วนไม่มีข่าวคราวของภูตหมอเลยขอรับ”

“ไม่ต้องหาแล้ว”

เสียงเจ้าตำหนักยมราชลอยออกมาจากในห้อง “ข้ามีวิธีทำให้นางโผล่ออกมาเอง”

ได้ยินคำพูดนี้ ฮุยหลางกับอิ่งอีก็มองหน้ากัน ให้ภูตหมอปรากฏออกมาเอง? เป็นไปไม่ได้กระมัง? เกรงว่าจะสายเกินไปเพราะเขาเอาแต่หลบพวกเขา แล้วจะโผล่หัวออกมาเองได้อย่างไรเล่า?

แต่ว่า นายท่านพวกเขาตลอดมาจะไม่ทำเรื่องที่ตัวเองไม่มั่นใจ หรือว่า จะมีวิธีอะไรที่ทำให้ภูตหมอโผล่ออกมาเองจริงๆ?

ส่วนเฟิ่งจิ่วเวลานี้ หลังจากเข้าไปฝึกวิชาในห้วงมิติตลอดทั้งคืนก็ออกมา ทั่วทั้งร่างกายจึงสดชื่นขึ้นมาชั่วขณะ

วรยุทธ์พลังวิญญาณถึงระดับยอดปรมาจารย์พลังวิญญาณแล้ว เธอต้องเตรียมตัวให้ดีเพื่อจะพุ่งไปถึงระดับสร้างรากฐาน แม้ยาบางชนิดจะช่วยให้บรรลุขั้นพลังได้ แต่การจะไปถึงระดับสร้างรากฐานยังจำเป็นต้องมียาสร้างฐานพลังถึงจะได้

แต่เม็ดยาชนิดนี้ของโลกนี้ เธอไม่เคยคลุกคลีด้วยมาก่อน อยากจะปรุงยาสร้างฐานพลัง ของใช้ที่จำเป็นก็มีไม่น้อยเลย

เดิมทีคิดว่าเมืองลิ่วเต้านี้เป็นเมืองหนึ่งที่รุ่งเรืองยิ่งนัก จะรวบรวมซื้อของใช้ปรุงยาที่นี่ก็ได้ แต่ตอนนี้ยังถูกเจ้าตำหนักยมราชเพ่งเล็งอยู่ ลองคิดไปก็รู้สึกหัวโตแล้ว

เจ้าตำหนักยมราชท่านนี้ ไยจึงเป็นเงาตามติดไม่คิดปล่อยเช่นนี้?

หลังเปลี่ยนสวมชุดแดงก็ออกมา เดินเข้าไปยังร้านค้าของชั้นดีแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า กระโจมสมบัติ

“คุณชาย เชิญด้านในขอรับ ดูได้ตามสบาย หากเจอของที่ชอบค่อยมาเจรจาราคากัน” เจ้าของร้านพูดยิ้มๆ อยู่ข้างๆ พาเฟิ่งจิ่วเข้าไปด้านใน

สายตาเธอมองผ่านในตู้ไปคร่าวๆ สักพัก เอ่ยถามว่า “เจ้าของร้าน ที่นี่พวกเจ้ามีเตาปรุงยาหรือไม่?”

………………………………………………….

ตอนที่ 234 ติดกับเสียเอง!

“เหอะๆ มีๆๆ ข้าจะหยิบมาให้คุณชายดูนะขอรับ”

เจ้าของร้านยิ้มตอบรับ หยิบกระถางสามขาใบเล็กจากด้านในตู้หน้าร้านมาจัดวางไว้ตรงหน้าเฟิ่งจิ่ว “เชิญคุณชายดู นี่คือกระถางปรุงยาที่เป็นอุปกรณ์วิญญาณระดับเก้า เหมาะสำหรับผู้ฝึกตนที่เพิ่งเริ่มเรียนปรุงยาเป็นที่สุด”

เฟิ่งจิ่วหยิบกระถางสามขาที่ดูเหมือนเตาเครื่องหอมใบนั้นขึ้นมาดู ถามว่า “ของเล่นพรรค์นี้ใช้ปรุงยาได้ด้วยรึ?”

ได้ยินคำพูดนี้ เจ้าของร้านก็อึ้งไป รอยยิ้มบนใบหน้าแข็งทื่อเล็กน้อย มองเฟิ่งจิ่วแวบหนึ่ง พูดยิ้มๆ ว่า “คุณชาย นี่เป็นอุปกรณ์วิญญาณระดับเก้า ขอแค่ปล่อยพลังวิญญาณเข้าไปก็สามารถใช้การได้ หลังปล่อยพลังเข้าไปกระถางเล็กๆ นี้จะใหญ่ขึ้น สามารถปรุงยาได้แน่นอนขอรับ”

“ระดับเก้า? เหมือนจะเป็นระดับต่ำสุดรึเปล่า? มีที่ดีกว่านี้หน่อยหรือไม่?”

“คุณชายลองดูชิ้นนี้ นี่เป็นเตาปรุงยาระดับเจ็ด ชิ้นนี้เป็นผลงานของปรมาจารย์ยอดนักหลอม ไม่ว่ารูปลักษณ์หรือคุณภาพล้วนเป็นสินค้าชั้นดี ยังมีชิ้นนี้อีก นี่คือกระถางมังกรคู่ เป็นเตาปรุงยาระดับหก และเป็นผลงานระดับยอดปรมาจารย์เช่นกัน คุณชายลองดูได้ว่าชอบชิ้นไหน”

เจ้าของร้านหยิบเตาปรุงยาใบเล็กๆ สองสามใบขึ้นมาวาง เสนอให้เฟิ่งจิ่วเลือก

เธอหยิบเตาปรุงยาใบนั้นขึ้นมาดู ถามว่า “ระดับหกนี่ราคาเท่าไหร่รึ?”

“เหอะๆ ชิ้นนี้เป็นอุปกรณ์วิญญาณระดับหก ราคาอยู่ที่แปดหมื่นแปดพันแปดร้อยแปดสิบแปดทอง หากคุณชายต้องการอย่างใจจริง ข้าก็ปัดเศษให้ได้ เหลือแค่แปดหมื่นแปดพันแปดร้อยแปดสิบทองขอรับ”

“แพงถึงเพียงนี้เชียว?”

เฟิ่งจิ่วมองเจ้าของร้านด้วยความตกตะลึง “เตาเครื่องหอมเล็กๆ เช่นนี้ราคาแปดหมื่นแปดพันแปดร้อยแปดสิบทอง? นี่มันขูดรีดกันชัดๆ!”

เจ้าของร้านได้ยินก็กระตุกมุมปาก “คุณชาย นี่ไม่ใช่เตาเครื่องหอม เป็นเตาปรุงยา และเป็นอุปกรณ์วิญญาณ ทองแปดหมื่นแปดพันแปดร้อยซื้อเตาปรุงยาระดับหกหนึ่งชิ้น ราคานี้ถือว่ายุติธรรมมากแล้วขอรับ”

เฟิ่งจิ่วส่ายหน้า “แพงเกินไป ข้าซื้อไม่ไหวหรอก! ก้อนเงินร้อยก้อนถึงจะเท่าหนึ่งทอง ราคาแปดหมื่นกว่าทองนี้ ต้องนับเป็นกี่ก้อนเงิน? ของชิ้นนี้ช่างผลาญเงินเหลือเกิน”

อันที่จริง เขาเห็นคุณชายชุดแดงผู้นี้ท่าทางไม่ธรรมดา หน้าตาเช่นคุณชายผู้สง่างามสูงศักดิ์ เดิมนึกว่าเป็นลูกชายวงศ์ตระกูลชนชั้นสูงที่ไม่เคยขาดเงิน ใครจะรู้…

เฟิ่งจิ่วหันสายตาไป เอ่ยถามทั้งหรี่ดวงตายิ้ม “เจ้าของร้าน ที่นี่เจ้ามีตำราหลอมอุปกรณ์ขายหรือไม่?”

ของชิ้นนี้แพงถึงเพียงนี้ หากหลอมเองได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องประหยัดเงินไปหนึ่งก้อน ตัวเองยังสามารถใช้การหลอมอุปกรณ์มาหาเงินได้อีกด้วย คิดๆ แล้วก็ไม่เลวเลย

เจ้าของร้านผงะไปสักพัก หลังมองเฟิ่งจิ่วแวบหนึ่ง ถึงจะกล่าวว่า “มีคนมาวางขายไว้ที่นี่เล่มหนึ่ง ราคาแค่หนึ่งร้อยทอง ท่านลองดูหน่อยเถอะ!” เขาหยิบตำราเก่าๆ เล่มหนึ่งออกจากตู้ยื่นมาข้างหน้า

เฟิ่งจิ่วรับมาพลิกอ่านคร่าวๆ พักหนึ่ง เห็นด้านในทุกหน้าล้วนมีการจดบันทึก จึงมองที่เจ้าของร้าน “เก่าขนาดนี้ก็หนึ่งร้อยทองรึ? ห้าสิบทองแล้วกัน ข้าซื้อ!”

เจ้าของร้านมุมปากกระตุก บอกว่า “ข้าว่าคุณชาย ท่านตัดราคาโหดร้ายเกินไปแล้วกระมัง? พอเอ่ยปากก็ตัดลงครึ่งราคา จะให้พวกข้าทำมาหากินเช่นไรเล่า? เช่นนี้เถอะ! หากท่านต้องการจริงๆ เอาไปแปดสิบทองละกัน ไม่ถึงแปดสิบข้าก็ไม่ขายแล้ว”

ได้ยินเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วแย้มยิ้ม ล้วงเงินออกมาซื้ออย่างเต็มใจ หลังเก็บตำราเล่มนั้นขึ้นมา ก็หันตัวเดินออกไป

ทว่า เพิ่งออกจากร้านมาก็เห็นเงาร่างอันคุ้นเคย เมื่อพบเงาร่างนั้น ดวงตาเธอเป็นประกาย เผยรอยยิ้มวิ่งเข้าไปหาคนคนนั้น ขณะเดียวกันก็ตะโกนยกเสียง

“ท่านอา!”

เมื่อหลิงโม่หานที่กำลังเดินหันหลังให้เฟิ่งจิ่วอยู่บนถนนใหญ่ได้ยินเสียงนี้ ดวงตาที่หรี่ลงก็ฉายประกาย มุมปากยกยิ้มขึ้นน้อยๆ อย่างไม่อาจสังเกตเห็นได้…

………………………………………………….