ตอนที่ 743-744

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 743 + 744 โดย Ink Stone_Romance

บทที่ 743 เป็นเขาผิดหรือ?

ตี้ฝูอีแย้มยิ้ม ทว่ารอยยิ้มนั้นกลับส่งไปไม่ถึงดวงตา “รักใคร่ผูกพันกันงั้นหรือ? หลงซือเย่ เจ้าคงไม่ลืมข้อตกลงที่ทำไว้กับข้ากระมัง?! ชั่วชีวิตไม่อาจแต่งนางเป็นภรรยาได้ นางสามารถไม่สนใจได้ แต่เจ้าก็ไม่สนใจเช่นกันหรือ?”

หลงซือเย่เงียบงัน

วาจานี้ของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายคือหลุมพรางขนาดใหญ่ คอยให้เขากระโดดลงไป!

หลงซือเย่ก็มิได้กินเจเช่นกัน เขาแย้มยิ้มอย่างรวดเร็วยิ่ง แววตามั่นคง “ผู้แซ่หลงรักษาสัตย์ว่าจะไม่ตบแต่งนาง แต่ก็ให้คำมั่นแก่นางไว้ ว่าหากมิอาจตบแต่งนางได้ก็จะไม่แต่งภรรยาไปชั่วชีวิต!”

“ชั่วชีวิต? ชั่วชีวิตของเจ้ายาวนานเท่าใดกันเล่า? หลงซือเย่ สมมุติว่าหากเจ้าครองคู่กับนางแล้วอีกหนึ่งเดือนให้หลังเจ้าต้องตาย แต่นางยังคงมีชีวิตอยู่ต่อไป ชีวิตของนาวของคงยืนยาว ตอนนี้เจ้ายังคิดจะอยู่กับนางอีกหรือไม่? ไม่เกรงว่าจะเป็นการทำร้ายนางหรือ?” คำถามของตี้ฝูอียิ่งถามยิ่งคมคาย และยิ่งพิกลขึ้น

หลงซือเย่สีหน้าอึมครึม ยามนี้เขาฝึกฝนวรยุทธ์ ในอนาคตยังมีอายุขัยอีกหลายร้อยปี!

“ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ผู้แซ่หลงรู้สึกว่าข้อสมมุตินี้ของท่านมิสมเหตุสมผล ขออภัยที่ผู้แซ่หลงมิอาจตอบได้” หลงซือเย่ไม่สบอารมณ์

“ข้ากล่าวว่าสมมุติว่าหาก” สายตาของตี้ฝูอีมองที่เขา “สมมุติว่าหากเจ้าด่วนตายไปเสียก่อน ทิ้งให้นางอยู่โดดเดี่ยวผู้เดียวเล่า?”

หลงซือเย่พูดไม่ออก

เขารู้สึกว่าคำถามนี้ของตี้ฝูอีช่างมีเจตนาก่อกวนโดยแท้ ผู้ใดจะทราบได้ว่าตนจะตายเวลาใด? นี่มิใช่เกิดสำลักจึงเลิกกินข้าวเสียดื้อๆ[1] หรอกหรือ?!

ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็เหลืออด ตอบคำถามป่วนประสาทข้อนี้ของตี้ฝูอีแทนหลงซือเย่ “ขอเพียงชมชอบคนผู้หนึ่งด้วยใจจริง ถึงแม้นจะได้อยู่กับเขาเพียงวันเดียวก็คุ้มค่าแล้ว!”

กล่าวประโยคนี้จบก็ดึงหลงซือเย่จากไป “เอาล่ะ พวกเราไปกันเถอะ ข้าเหนื่อยแล้ว”

เงาร่างคนทั้งสองค่อยๆ ห่างหายไปในราตรี

ตี้ฝูอียังคงนั่งอยู่ตรงนั้น มองเงาร่างของสองคนนั้นอย่างใจลอยอยู่บ้าง

เป็นเขาผิดหรือ?

รักคนผู้หนึ่งสุดท้ายแล้วปกป้องคุ้มครองนางอย่างเงียบๆ ถึงจะดีที่สุดใช่ไหม?

หรือขอเพียงได้สร้างความรักที่ลึกซึ้งตราตรึงสักคราก็พอ?

….

กู้ซีจิ่วนอนอยู่บนเตียงอีกครั้ง หลังจากหลงซือเย่มาส่งเธอแล้วก็จากไป เขาไม่ได้ถามมากความ ไม่ได้ว่าดึกดื่นค่อนคืนแล้วเหตุใดเธอถึงแล่นไปที่ริมสระนั้น…

กู้ซีจิ่วย่อมไม่อธิบายเช่นกัน เนื่องตนก็พูดไม่ออกว่าเพราะอะไร

ยามที่นอนอยู่บนเตียง เงาร่างตี้ฝูอีก็แวบขึ้นมาเบื้องหน้าเธออีกครั้ง อันที่จริงหลังจากขึ้นฝั่งมาตี้ฝูอีก็นั่งพิงโขดหินอยู่ตลอด ตอนที่หลงซือมาเขาก็ไม่ได้ลุกขึ้นเลย…

ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในสมอง ‘หรือว่าเขายังคงไม่มีเรี่ยวแรงจะเคลื่อนไหว?’

เช่นนั้นการที่ตนลากหลงซือเย่จากมา ทิ้งให้เขาอยู่ที่นั้นเพียงลำพังมิใช่ไร้น้ำใจเกินไปหน่อยหรือ?

ถึงอย่างไรที่นั่นก็อยู่ในหุบเขาลึก ซ้ำยังมีสัตว์ร้ายโผล่มาบ่อยๆ…

ไม่ถูกสิ! เขาสามารถรับรู้ได้ชัดเจนในยามที่หลงซือเย่มาถึง นั่นก็ยืนยันได้ว่าพลังยุทธ์ของเขายังอยู่ เช่นนั้นเหตุใดตอนที่อยู่ต่อหน้าเธอต้องการพึ่งพาดั่งไม่มีกระดูกคงเป็นการเล่นละครเสียแปดส่วน จงใจเอาเปรียบเธอสินะ?!

ก็ถูกแล้ว คนที่แข็งแกร่งปานนั้นจะเมาสุราจนพลังยุทธ์สูญหายไปได้อย่างไรกัน?

สมองตนช่างพิการเหลือเกินยามนั้นถึงราวกับน้ำเข้าสมอง สาละวนอยู่รอบกายเขาดั่งผึ้งงานตัวน้อย…

น่าชังนัก!

เป็นครั้งแรกที่กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าตนค่อนข้างโง่งม เซื่องซึมอยู่ครู่หนึ่ง ก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาห่ม นอนหลับเสีย!

….

ริมทะเลสาบ เนื่องจากไม่มีคนเติมฟืน กองไฟเบื้องหน้าจึงค่อยๆ มอดดับไป รอบข้างตกอยู่ในความมืดมิด

————————————————————————————-

บทที่ 744 สิ่งที่เป็นอยู่ยามนี้คงเป็นการชดใช้กรรมของเขากระมัง?

ตี้ฝูอีนั่งอยู่ตรงนั้นเพียงลำพัง เขายังคงพิงโขดหินอยู่เช่นเดิม มองดูดวงตาเขียวเรืองรองหลากหลายคู่ที่ปรากฏขึ้นในป่าที่อยู่ไม่ไกลนักอย่างสงบ…

เขาทราบว่านั่นคือพยัคฆ์ดาวคะนอง

พยัคฆ์คะนอง สัตว์ร้ายขั้นห้า มีคมเขี้ยวหนึ่งคู่ที่สามารถฉีกทึ้งได้ทุกสิ่ง ชอบเคลื่อนไหวเป็นฝูง พอหมายตาเหยือแล้วจะตามพัวพันชนิดที่ไม่ตายไม่เลิกรา

เขาคลำตรงเอวอยู่ครู่หนึ่ง หาป้ายหยกที่ใช้สื่อสารกับสี่ทูตไม่พบ คิดว่าตกอยู่ในสระเป็นแน่

นี่ช่างเป็นเรือนรั่วในช่วงฝนพร่ำโดยแท้ เขาถอนหายใจแผ่วๆ เกิดเป็นคนไม่ควรเอาแต่ใจเกินไปจริงๆ พอเอาแต่ใจก็จะเสียเปรียบได้ง่ายๆ

ระยะนี้เขาสิ้นเปลืองพลังวิญญาณหนักหนาเกินไป ว่ากันตาหลักแล้วสมควรงดสุรา ต้องงดสุราอย่างเด็ดขาดแล้วเข้าฌานสามวันสามคืนควบคู่กับการโคจรโอสถ พลังยุทธ์ก็ฟื้นฟูขึ้นกว่าครึ่งเท่านั้น

ทว่าตัวเขาพอไม่สบายใจขึ้นมาก็อยากดื่มสุรา ซ้ำยังดื่มสุราที่แรงที่สุดอีกด้วย

ดื่มจนเมามายโดยไม่รู้ตัว…

ยามนี้สุราที่เขาดื่มกลายเป็นพิษร้ายอย่างมิต้องสงสัยเลย ด้วยเหตุนี้หลังจากที่สร่างเมาจึงพบว่าพลังยุทธ์ในร่างตนหายไปหมดแล้ว…

ร่างกายอ่อนปวกเปียกปานก้อนแป้ง…

การนั่งพิงกู้ซีจิ่วในตอนนั้นมิใช่การเสแสร้ง

เพียงแต่ถึงแม้เขาจะสูญเสียพลังยุทธ์ แต่ประสิทธิภาพการฟังก็ยังยอดเยี่ยมจนน่าตะลึง เพียงพอจะรับรู้ถึงการมาของหลงซือเย่ได้ทันท่วงที

เขาไม่อยากให้หลงซือพบว่าเขาผิดปกติ อันที่จริงสภาวะเช่นนี้ของเขาไม่เหมาะให้ผู้ใดได้พบเห็น!

ดังนั้นเขาจึงพิงโขดหินสนทนากับพวกเขาอย่างเอื่อยเฉื่อยอยู่ตลอด เคราะห์ดีที่ปกติเขาก็ทำอะไรโดยยึดตัวเองเป็นหลักอยู่แล้ว ยามที่สนทนากับพวกหลงซือเย่นึกอยากจะนอนก็นอน อยากจะนั่งก็นั่ง ไม่แยแสเรื่องมารยาทอยู่แล้ว หลงซือเย่จึงไม่ความผิดปกติของเขา จวบจนจากไปพร้อมกู้ซีจิ่ว

หลังจากพวกเขาจากไป ตี้ฝูอีก็ยังนั่งอยู่ หยาดเหงื่อเย็นเฉียบชโลมใบหน้า

ฝืนหยิบโอสถออกมาจากมิติเก็บของ เพิ่งจะนั่งสมาธิโคจรพลังไปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยามพยัคฆ์คะนองก็ตีวงเข้ามาแล้ว…

ตี้ฝูอีพลันตวัดข้อมือ กระบี่สั้นเล่มหนึ่งโผล่พ้นฝัก ประกายกระบี่ปานสะเก็ดดาว ส่องสะท้อนวงหน้าเขา

เขาเริ่มวิเคราะห์อัตราการรอดชีวิตในครั้งนี้ของตนอย่างเยือกเย็น พยัคฆ์คะนองมีทั้งหมดสิบแปดตัว ด้วยพลังยุทธ์ของเขาในยามนี้ สามารถสังหารได้แปดตัวในหนึ่งชั่วลมหายใจ อีกสิบตัวที่เหลือจะพุ่งเข้าใส่เขา…

ถึงแม้สุดท้ายแล้วพลังวิญญาณที่คุ้มกายเขาจะปกป้องไม่ให้เขาถูกพยัคฆ์คะนองเหล่านี้ขยำกัดกิน แต่ก็มีความเป็นไปได้แปดเก้าส่วนที่จะพวกมันลากเข้าไปในส่วนลึกของหุบเขา…

เป็นครั้งแรกในรอบเนิ่นนานปีที่เขาทำให้ตนตกอยู่ในสภาพน่าเวทนาถึงเพียงนี้ เขาถือดีเกินไปจริงๆ คิดว่าตัวเองเป็นเทพแล้วจะไม่แยแสอะไรก็ได้

บางทีสิ่งที่เป็นอยู่ยามนี้คงเป็นการชดใช้กรรมของเขากระมัง?

เวลานี้เรียกฟ้าฟ้าไม่ยิน เรียกดินดินไม่ขาน ไม่มีใครมาช่วยเขาอีกแล้ว…

….

กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าตัวเองบ้าไปแล้วแน่ๆ!

บางทีตอนที่แช่อยู่ในสระน้ำคงเข้าสมองนานเกินไป

พูดไว้แล้วชัดๆ ว่าจะนอนหลับ แต่หลังจากนอนไปได้ครู่หนึ่งหัวใจก็ร้อนรนเหมือนไฟสุม นอนไม่หลับ เงาร่างตี้ฝูอีที่นั่งพิงโขดหินอย่างเฉื่อยชาแวบเข้ามาในสมองเป็นครั้งคราว

แม้กระทั่งตอนที่เขามอบอาภรณ์ไหมเงือกจันทราอะไรนั้นให้เธอก็แวบเข้ามาเช่นกัน เธอทันได้สัมผัสเพียงตอนที่ถูกเขาเผาไปแล้ว

พฤติกรรมล้างผลาญถึงเพียงนั้นคนผู้นี้ก็ยังกระทำออกมาได้

เมื่อนึกถึงอาภรณ์ชุดนั้นก็นึกถึงไฟกองนั้นขึ้นมาด้วย ดูเหมือนว่ายามที่เธอจากมา กองไฟนั้นก็ไม่มีฟืนแล้ว…

หากว่าไม่มีคนคอยเติม มากสุดกองไฟนั้นก็อยู่ต่อได้อีกครึ่งชั่วยามเท่านั้น

เมื่อกองไฟดับมอดลงสถานที่แห่งนั้นก็จะอันตรายแล้ว โดยเฉพาะในยามราตรี

คนผู้นั้นก็น่าจะจากไปอย่างรวดเร็วแล้วกระมัง?

มิเช่นนั้นเขาอยู่ที่นั่นคนเดียวเพื่อเป็นอาหารให้ยุงหรือ?

แต่ว่าถ้าหากเขาไม่มีแรงเคลื่อนไหวจะทำยังไง?

————————————————————————————-

[1]  เกิดสำลักจึงเลิกกินข้าวเสียดื้อๆ อุปมาถึง เกรงว่าจะเกิดปัญหาขึ้นจึงเลี่ยงไม่ทำเสีย