“ทำได้สิ!” ยายเฒ่าซีและคนอื่นๆ ตอบเป็นเสียงเดียว
เฒ่าหนวกคว้าไปยังหุบเหวแห่งเมืองไร้โอหัง และพลังวัตรของเขาก็หลั่งไหลออกมา เสาแมกม่าพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า เฒ่าหนวกใช้แมกม่าต่างหมึกและผืนปฐพีต่างกระดาษ บิดและตวัดพู่กันของเขาเพื่อวาดบนพื้นดิน
เขาใช้หางของหมาป่าไฟที่ฝึกปรือจนเข้าใกล้เขตขั้นเทวะเป็นขนพู่กัน และโครงกระดูกเทพเจ้าที่เขาพบเจอในซากโบราณแห่งแดนโบราณวินาศเป็นด้าม ฉินมู่มักจะเอามันมาเล่นตอนที่เขายังเล็ก และมักจะโดนเฒ่าหนวกเขกหัวเมื่อจับได้
หางจิ้งจอกไฟไม่อาจเสียหายทำลาย แม้เมื่อถูกแผดเผาด้วยเพลิงไฟ และกระดูกเทพเจ้าก็ทำให้เขาสามารถปลดปล่อยพลานุภาพได้ดั่งใจปรารถนา เขาสามารถวาดเขียนจนสาสมใจ!
เฒ่าหนวกนั้นมีวัฒนธรรมและเปี่ยมด้วยกิริยามารยาท และบางครั้งก็เคร่งครัดจนเกินไป เขามีการวางตัวอันเหนือธรรมดา เมื่อเขาร่ำรวยเขาก็เหมือนองค์ชายที่ท่องไปทั่วทุกแว่นแคว้นเพื่อความสำราญ กระนั้นเมื่อยามตกยากและไม่มีอะไรเจือจานท้อง เขาก็ไม่ตะโกนโหวกเหวกและนั่งอยู่ในมุมถนนเงียบๆ เพื่อขายภาพเขียน
ในตอนนี้ เมื่อเขาจับพู่กัน ปลายของมันก็พลันคลั่งพยศ ตัวเขาเองก็คลั่งพยศ เขามีจิตวิญญาณอันพิเศษจำเพาะของบัณฑิตที่เต็มไปด้วยอำเภอใจตน ความเสเพล และความไร้สิ่งกีดกั้นอันเป็นเอกลักษณ์ในตัวเขา!
“เฒ่าหนวก ให้ข้าช่วยเจ้า!”
ความห้าวหาญทะยานฟ้าระเบิดออกมาในกายของคนแล่เนื้ออย่างฉุดไม่อยู่เมื่อเขาเห็นปลายของพู่กันนั้นกำลังวาดภาพอันโหมไหม้ร้อนแรงในเพลิงไฟ ด้วยการสะบัดมีดของเขา เขาก็กวาดแผ่นดินให้เหี้ยนเตียน เพื่อให้เฒ่าหนวกสามารถวาดได้อย่างสาแก่ใจ
โดยใช้ปราณชีวิตเป็นเสา คนแล่เนื้อได้กระตุ้นเร้าแมกม่าอย่างต่อเนื่องจนมันแข็งตัวขึ้นเป็นหิน ระหว่างที่ทำเช่นนั้น เขาก็เอื้อน “หนึ่งพู่กันตวัดไปคล้ายมังกร กวีกลอนก็ไหลเช่นลำน้ำใหญ่ สำเร็จตนและฝีมืออันเกริกไกร ด้วยช่วงวัยอันสุกบานตระการชม! เข้าถวายรายงานแก่จักรพรรดิ ณ โถงกษัตริย์อันดาษดาผู้กล้าหาญ เลือกวีรชนเทิดมงกุฎอันละลาน ผู้ใดท่านมิต้องการหัวมังกร”
“ที่หมายมาดมิได้เป็นเช่นหมายมาด สรรค์สร้างงานอันองอาจเพื่ออนุสรณ์! ความทรงจำก่อนเก่าขุ่นตะกอน ภาพสวรรค์ย้อนไร้โอหังในบันดล สวมเสื้อเขียวผมขาวโพลนถอนหายใจ สร้างประตูให้แขกเหรื่อในอีกหน ค่อยกำนัลบทกวีและกาพย์กล ด้วยลมหนเซียนอมตะเป่ามหรรณพ!”
“คืนสู่พื้นพิภพจากฟากฟ้า ด้วยอักษราอันเพริศพรายไม่รู้จบ ด้วยพู่กันที่ตวัดสนามรบ ด้วยบัณฑิตแก่เฒ่าชะแรชรา!”
แรงบันดาลใจในการกวีก็ระเบิดออกมาในบทกวีที่มีความห้าวหาญอันแตกต่างออกไปในการบรรยายชีวิตทั้งชีวิตของเฒ่าหนวก จากรัชทายาทภาพสวรรค์ผู้มีทักษะฝีมืออันเหนือธรรมดาและมีหนังสือทั้งหมดในโลกหล้า เขาก็ได้กลายเป็นผู้ล่มประเทศให้ผู้คนล้มตาย เขาตกลงในสภาวะจนตรอกและต้องขายภาพวาดเพื่อประทังชีวิต บทกวีไม่เพียงแต่ทำให้ผู้คนรู้สึกเดือดพล่าน แต่ยังมีความเศร้าโศกของการที่คนผู้หนึ่งแก่ชราลงไป
“อบา!”
เฒ่าใบ้ยกนิ้วโป้งให้ และเสียงระเบิดกึกก้องก็ดังมาจากตันเถียนของเขา มันเสียงเหมือนดวงอาทิตย์มหึมากำลังปะทุเพลิงไฟ และเตาหลอมข้างหลังเขาก็พวยพุ่งออกมาราวกับภูเขาไฟ ถ่ายเทพลังอัคคีลงไปในแมกม่า
เพลิงเข้มข้นแผดเผา และคนแล่เนื้อก็ใช้ปราณชีวิตของเขาต่างแท่งไม้เพื่อคนแมกม่าไปมา แสงเพลิงสาดส่องบนใบหน้าและหน้าอกของเขา ย่างจนผิวหนังแดงไปหมด
เฒ่าหนวกหัวร่อด้วยเสียงอันดังราวกับว่าเขากำลังเมามายและปล่อยให้ตัวเองเสเพล เขาเดินโงนเงนไปรอบๆ และพู่กันมหึมาของเขาก็เริ่มจะมีเส้นทางที่แน่ชัดน้อยลงทุกที มันเคลื่อนไหวราวกับหงส์ร่อนมังกรรำ ราวกับแมลงปอโฉบแตะผิวน้ำ ราวกับนกนางแอ่นน้อยหัดบิน และก็เหมือนกับวัวเฒ่าที่กำลังไถกรุยผืนนา
ข้างหลังเขา จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาปรากฏและยกพู่กันขึ้นวาดไปพร้อมๆ กัน เขาทุ่มเทความพิถีพิถันทั้งหมดลงเพื่อวาดนิพนธ์และภูเขากับแม่น้ำ เพื่อให้พวกมันคลี่คลายออกมาอย่างอลังการ
ข้างๆ นั้น ฉินมู่ อธิการบดีป้าซาน ยายเฒ่าซี และคนอื่นๆ ตะลึงจนอ้าปากค้าง
พวกเขาไม่เคยคิดว่าเฒ่าหนวกที่เคร่งครัดและเงียบหงิมนั้นจะมีด้านอันคลั่งพยศและไร้พันธนาการเช่นนี้อยู่ในตัวเขา
ด้วยแมกม่าต่างหมึก และผืนปฐพีต่างกระดาษ เขาก็วาดพื้นที่สี่ห้าไร่ให้ลุกฉานด้วยเพลิงไฟในระยะเวลาอันสั้น ภาพวาดที่โหมไหม้อยู่ในเปลวเพลิงนี้เป็นภาพอันน่าทึ่งเสียจนแทบลืมหายใจ
ใครจะคิดว่าบัณฑิตเฒ่าจะมีความห้าวหาญอันไร้พันธนาการเช่นนี้อยู่!
เฒ่าหนวกวาดไปอย่างไม่หยุดหย่อน วาดฟ้าและดิน ท้องฟ้าเป็นสีขาว และผืนแผ่นดินเป็นสีเขียว เขาวาดภาพขุนเขาอันสูงตระหง่านและทวยเทพในทุกอิริยาบถ โดยไม่มีตนใดซ้ำกันเลย เขาวาดภาพทหารจำนวนนับไม่ถ้วนอันดูขึงขังและดุดัน พวกเขามีกล้ามเนื้อราวเหล็กกล้า และดาบกระบี่อันคมกริบวาววาม
เขาวาดภาพสนามรบ และเรือนกายอันแข็งแกร่งกำยำซึ่งอยู่ระหว่างการโผนทะยานขึ้นไป ฉินมู่และคนอื่นๆ มั่นใจว่าทวยเทพและกองทัพอันดุร้ายนั้นกำลังจะกระโดดออกมา!
แรงระเบิดกล้ามเนื้อของเงาร่างเหล่านั้นเมื่อพวกเขากวัดแกว่งมีด ฟ้าผ่าและฟ้าแลบที่กำลังจะพวยพุ่งลงมาจากชั้นเมฆ ฝนหนักที่กำลังจะกระหน่ำลงมา ลมเพชรหึงที่กำลังจะโหมกระพือ พายุหมุนที่กำลังจะอาละวาด ภูเขาที่กำลังจะพลังทลาย และทะเลพล่านที่ดูสมจริงอย่างที่สุด!
เฒ่าหนวกกำลังวาดโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลและดึงมายังโลกแห่งความเป็นจริง!
บทกวีของคนแล่เนื้อได้ทำให้แรงบันดาลใจของเขาระเบิดออก และมันก็โถมทะลักออกมาจากตัวเขา ความห้าวหาญทะยานฟ้าอันถูกจุดขึ้นมา พร้อมกับพลานุภาพแห่งการสร้างสรรค์ในหัวอก ทำให้เขาเสกสรรสิ่งต่างๆ ขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง เขาเปล่งวาจาโดยไร้ขีดจำกัด เพริดไปในจินตนาการของตน
ผ่านไปสักพัก เฒ่าบอดก็กล่าวอย่างกระวนกระวาย “กองทัพมารใกล้มาถึงที่นี่แล้ว! พวกเขาอยู่ห่างจากที่นี่ประมาณร้อยลี้!”
เฒ่าหนวกไม่ฟังและยังคงวาดต่อไป
เฒ่าบอดขมวดคิ้วและกล่าว “แปดสิบลี้!”
ฉินมู่เงยศีรษะขึ้นและเห็นปราณมารอันดำทมิฬที่นั่นอันม้วนแผ่ไปรอบๆ ราวกับหมอกดำ วงจรพยุหะปรากฏในดวงตาของเขา และหัวใจของเขาก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง เขาเห็นสัตว์ประหลาดมารตัวมหึมามากมาย กรูกันมาผ่านเทือกเขาราวกับน้ำหลาก เมื่อพวกมันวิ่งไป พวกมันก็กวัดแกว่งอาวุธวิญญาณแปลกประหลาดทุกชนิดและกรีดร้องมาตลอดทาง
เสื้อผ้าของพวกมันฉีกขาด และแทบจะไม่ปกปิดร่างกาย พวกมันดูไม่เหมือนเผ่ามารแห่งสวรรค์หลัวฝู แต่เหมือนผู้คนที่กำลังหนีตาย
พวกมันมีร่างกายใหญ่มหึมา และวิ่งตะบึงไปราวเหินบิน มีรูปลักษณ์แปลกประหลาดต่างๆ นานา ราวกับว่าถูกเย็บปะเข้าด้วยกันจากสิ่งมีชีวิตที่แตกต่าง กล้ามเนื้อและอวัยวะของพวกมันล้วนแต่บิดเบี้ยวพิกล ดูน่าสยดสยองยิ่งกว่าเผ่ามาร
สัตว์ประหลาดบางตัวก็มีหัวของสิ่งมีชีวิตต่างๆ ทุกชนิด และแขนของพวกมันก็ก่อขึ้นมาจากแขนจำนวนนับไม่ถ้วนที่บิดเข้าด้วยกัน สัตว์ประหลาดบางตัวก็มีแต่กระดูกขาว ที่น่าจะก่อขึ้นมาจากโครงกระดูกมากมาย และก็ยังมีตัวที่มีลูกตาทุกขนาดบนใบหน้าของมัน และบางตัวก็เหมือนตะขาบที่มีขานับไม่ถ้วน
อาวุธของพวกมันก็ดึกดำบรรพ์เป็นอย่างยิ่ง ตะบองกระดูกใหญ่ที่ยังมีเนื้อติดอยู่บนนั้น ดวงตาของพวกมันลุกวาวด้วยความบ้าเลือด และพวกมันก็ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่กีดขวาง
“พวกมันไม่ใช่เผ่ามาร แต่เป็นสัตว์ประหลาดจากแดนใต้พิภพ!”
ฉินมู่สะกดข่มความสะเทือนสะท้านในหัวใจ ที่พุ่งตรงมายังพวกเขาคือสัตว์ประหลาดอันถือกำเนิดขึ้นมาจากวิญญาณเร่ร่อนในแดนใต้พิภพอันดูดซับเอาปราณมารและสันดานมารเข้าไป!
แดนใต้พิภพมิได้อยู่ภายใต้การควบคุมของภูติบดีโดยสิ้นเชิง และครั้งหนึ่งฉินมู่ก็เคยตระเวนไปในนั้น แม้ว่าจะเป็นเวลาไม่นาน แต่เขาก็สังเกตพบว่าภูติบดีมิได้ให้ความสำคัญกับอิทธิพลอำนาจ
ที่ภูติบดีสนใจมีเพียงแค่กฎ กฎแห่งแดนใต้พิภพ
ตราบเท่าที่ใครไม่ละเมิดกฎแดนใต้พิภพ ก็น้อยนักที่เขาจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตในอาณาเขตของเขา
สัตว์ประหลาดใต้พิภพนี้เป็นผลของการที่ภูติบดีไม่สนใจ
ทันใดนั้น ลำแสงหนาเข้มของแสงมารก็นำพาแสงเพลิงสีดำทมิฬจากข้างหลังกองทัพมาร เสาไฟกวาดซัดไปข้างหน้าเพื่อปรับภูมิประเทศให้โล่งเตียน ละลายภูเขา ระเหยแม่น้ำ จุดไฟแก่ต้นไม้!
สายตาของฉินมู่เลยผ่านสัตว์ประหลาดเหล่านั้นไป และมองไปที่กองทัพข้างหลัง เขาเห็นมารเทวะที่ราวกับภูเขาไฟเดือดพล่านอันมีร่างกายสูงเยี่ยมและกำยำ พวกเขาเดินมาอย่างแช่มช้า แต่ว่าย่างก้าวหนึ่งไปได้ไกลมหาศาลขณะที่ว่าสัตว์ประหลาดใต้พิภพจะต้องวิ่งไปเป็นระยะเวลาหนึ่งถึงจะเดินทางไกลเท่าก้าวหนึ่งนี้ได้
“พวกเขาคือมารเทวะที่เกิดขึ้นจากความคิดชั่วร้ายและสันดานมารในแดนใต้พิภพ บรรพชนแห่งเผ่ามาร!”
ความคิดฉินมู่ปั่นป่วนไปหมด ทันใดนั้น เขาก็เห็นผู้ฝึกวิชาเทวะจำนวนไม่น้อยกำลังวิ่งหนีด้วยความเร่งร้อน เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังฝึกฝนอยู่ และไม่รู้ว่ากองทัพสัตว์ประหลาดใต้พิภพกำลังมา เมื่อพวกเขาสังเกตเห็น มันก็สายไปเสียแล้ว
ชิ้ง!
ลำแสงเพลิงดำกวาดผ่านพวกเขา และผู้ฝึกวิชาเทวะกว่าสิบคนก็ระเหิดหายไปทันที ไม่เหลือแม้แต่ซากสังขาร ผู้ฝึกชาเทวะคนอื่นๆ กระโดดหลบอย่างร้อนรน และหลีกเลี่ยงจากสายตาของมารเทวะตนนั้นอย่างเส้นยาแดงผ่าแปด แต่ในพริบตาถัดมาพวกเขาก็ถูกกองทัพสัตว์ประหลาดโถมใส่
ผู้ฝึกวิชาเทวะกลุ่มนั้นไม่อาจดิ้นรนต่อสู้ได้เลยสักนิด และก็หายวับไปโดยไร้ร่องรอย
“สี่สิบลี้!” เฒ่าบอดกล่าวอย่างกระสับกระส่ายด้วยเสียงอันดัง “เฒ่าหนวก เจ้าเสร็จหรือยัง สามสิบลี้! เตรียมต่อสู้!”
ขณะที่เขาพูดจบ เฒ่าหนวกก็พลันรั้งพู่กันกลับมา และตบลงไปบนภาพวาดอย่างรุนแรง ปลุกชีวิตให้แก่มัน เพลิงไฟพวยพุ่งข้ามภาพวาดผืนใหญ่อันกว้างกว่าสี่สิบไร่
เขาใช้พู่กันต่างทวน งัดดีดออกไปอย่างรุนแรง และภาพวาดก็พลันตั้งขึ้นมา จากนั้นก็เปล่งรัศมีอันยากจะบรรยาย
ภาพวาดหลอมรวมเข้ากับฟ้าและดิน หายวับไปจากตรงหน้าพวกเขา
ครืน ครืน
สายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงจากท้องฟ้า และเปลวอสุนีบาตก็กระโจนไปทั่วทุกแห่ง พวกเขาเงยหน้าขึ้นและเห็นเมฆดำคลี่คลุมนภากาศ เพลิงไฟโหมไหม้อยู่ในนั้น และมันก็ดุเดือดรุนแรงเกินจินตนาการ
พื้นที่อันเมฆมืดที่อุ้มเพลิงไฟเอาไว้แผ่ขยายออกไปกว้างใหญ่ขึ้นทุกทีๆ ทันใดนั้น ลมเพชรหึงก็โหมกระหน่ำ และพายุหมุนอันหนาใหญ่ไร้ปานเปรียบก็ทะลวงฉกลงมาจากนภากาศ มันมีหนึ่ง สอง สาม…
ในเสี้ยววินาที พายุหมุนเพลิงจำนวนนับไม่ถ้วนราวกับมังกรเทพสรรพชีวิต ห้อยหางของพวกมันลงมาและฉีกทึ้งผืนปฐพี! พวกมันแผดเผาทุกอย่างให้ลุกไหม้ พลางโจนทะยานไปข้างหน้าอย่างเกรี้ยวกราด!
ฟิ้ววว!
มันเริ่มโปรยปรายลงมา มิใช่หยาดฝนแต่มันคือแมกม่า ก้อนหินหลอมเหลวร่วงลงมาจากฟ้าราวกับหยาดฝนที่ถล่มลงใส่กองทัพสัตว์ประหลาดใต้พิภพ สร้างความโกลาหลไปทั่วทุกหน่วยกอง
พายุหมุนมากมายไร้ประมาณซัดตามเข้ามา และร่างอันถูกบิดทึ้งจนไม่เป็นสารรูปก็โปรยปรายไปทั่วพื้น พวกมันกระเด็นกระดอนไปรอบๆ ก่อนที่จะถูกกระชากขึ้นไปบนอากาศเพื่อบดขยี้ด้วยลมเพชรหึง หรือมิเช่นนั้นก็จะถูกแผดเผาจากอสุนีบาตอันร่วงลงจากฟากฟ้า
ทันใดนั้น เทพยดามากมายก็นำกำลังไพร่พลและทหารม้าอันแข็งแกร่งลงจากก้อนเมฆ จู่โจมลงมายังกองทัพบนภาคพื้น การฆ่าฟันเสียงกึกก้องจนเสียดหู
นั่นคือกองทัพเทพนับล้าน ที่พุ่งทะยานเข้าปะทะกับกองทัพสัตว์ประหลาดมารจนเสียงสั่นหวั่นไหว เศษเนื้อและแขนขาปลิวกระจายไปบนอากาศ ภาพนี้ทั้งนองเลือดและยิ่งใหญ่ตระการ
ฉินมู่ เฒ่าบอด และคนอื่นๆ มองไปด้วยสายตาว่างเปล่า ไม่จำเป็นต้องให้พวกเขาเข้าไปฆ่าฟัน ไม่จำเป็นต้องให้พวกเขาบุกตะลุยไปโดนไม่ห่วงชีวิต ทัพหน้าของเผ่ามารก็ถูกสกัดขัดขวางเอาไว้อย่างไม่น่าเชื่อ
ถูกสกัดขัดขวางด้วยบุคคลเดียว!
เฒ่าหนวกจับพู่กันตวัดพลิ้วตามใจเสรี เทพและมารและนายกองทั้งหลายก็กระโดดออกจากภาพวาดของเขา บุกตะลุยเข้าไปยังสนามรบ กล้าดีเดือดไม่กลัวตาย ลม ฝน ฟ้าแลบ และอสุนีบาตจากเบื้องบนอาละวาดและกวาดซัดอย่างไม่บันยะบันยัง แต่กลับไม่แตะต้องโดนกองทัพเทพเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย พวกมันมีแต่ร่วงลงไปใส่กองทัพเผ่ามาร
กองทัพเทพยดามาจากภาพวาด ดังนั้นลม ฝน ฟ้าแลบ และอสุนีบาตในภาพวาดจึงไม่กระทบพวกเขา
สัตว์ประหลาดใต้พิภพพวกนี้จะพุ่งเข้ามาในโลกแห่งภาพวาดของท่านปู่หนวกได้ไหมนะ
ฉินมู่หัวใจเคลื่อนวูบทันทีเมื่อเขาคิดถึงความเป็นไปได้ ภาพวาดของเฒ่าหนวกจะต้องมีขอบเขตเป็นแน่ แต่ขอบเขตนั้นอยู่ที่ไหน
เขามองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นร่องรอยของขอบเขต
มรรคาภาพวาดของเฒ่าหนวกได้รับการยกย่องเป็นอย่างสูง มันลึกล้ำเสียจนฉินมู่ได้ตั้งใจคิดที่จะเรียนรู้มันอีกครั้ง!
ราชครูสันตินิรันดร์กล่าวว่าท่านปู่หนวกสามารถต่อสู้กับกองทัพไพร่พลหาญกล้านับล้านคนได้ ถ้อยคำนี้มิได้เปล่ากลวงเลยแม้แต่น้อย!
แต่ทว่า นั่นคือการประเมินของราชครูสันตินิรันดร์หลังจากที่ประเทศภาพสวรรค์ถูกทำลายล้าง และทั้งประเทศก็กลายเป็นขุมนรกสิบแปดชั้น