ตอนที่ 132 กลุ่มคนที่ได้ประโยชน์กลับมาเต็มลำ

ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม

หลินจวิ้นจวิ้นร้องไห้ นางคิดว่าอันหลินต้องถูกเบื้องบนส่งมาทดสอบจิตใจของนางแน่นอน

แม้ว่า…นี่เป็นครั้งที่สองที่นางรู้สึกเช่นนี้

นางทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลของโบราณสถานแห่งนี้ วัตถุล้ำค่าที่จ่ายไปสามารถแจ้งเบิกที่หอสมบัติของสรวงสวรรค์ได้

ด้วยเหตุนี้การจ่ายด้วยวัตถุล้ำค่า ไม่สร้างความเสียหายแก่นางกับเจียงอันหลาน

ทว่า…เรื่องพวกนี้ไม่ใช่ประเด็นสำคัญเลย

สิ่งสำคัญคือนางอึดอัดใจเหลือเกิน อึดอัดจนไม่มีที่ให้ระบาย

ทั้งๆ ที่ที่นี่เป็นถิ่นของนาง นางควรจะประทานรางวัลแก่ทุกคนอย่างเย่อหยิ่งแท้ๆ

ทว่าตอนนี้…นางกลับกลายเป็นคนยากไร้ที่ไม่มีแม้แต่ปัญญาจ่ายเงิน!

นางยังจะมีหน้าเขียนเช็ค แลกกับข้อมูลอีกหรือ

คงถูกอันหลินเหยียดหยามกระมัง…

ไม่ ถูกเหยียดหยามไปแล้วแน่ๆ!

ต่อหน้าชายคนที่เคยหัวเราะเยาะนาง นางแพ้พ่ายอีกแล้ว แพ้อย่างไม่มีชิ้นดี…

บอกตามตรง เจียงอันหลานและพวกอันหลินถูกหลินจวิ้นจวิ้นที่จู่ๆ ก็ปล่อยโฮออกมา ทำเอาตกใจจนทำอะไรไม่ถูก

หลินจวิ้นจวิ้นเช็ดน้ำตาตรงหางตา โยนบัตรสีขาวใบหนึ่งให้อันหลินแล้วพูดว่า “เจ้าเก็บนี่ไว้ ต่อไปข้าค่อยมาขอข้อมูลกับเจ้าภายหลัง”

“เจียงอันหลาน เจ้าพาพวกเขาไปเอาวัตถุล้ำค่าในคลังสมบัติก่อน”

พูดจบ นางก็เดินกลับกระท่อมเล็กๆ ของตนอย่างหมดอาลัยตายอยาก ไม่มีแม้แต่กะจิตกะใจจะส่งแขกแล้ว

เจียงอันหลานได้ยินก็พยักหน้าจริงจัง

อันที่จริง เขาเพียงแค่พาพวกเขามาถึงหน้าประตูคลังสมบัติ จากนั้นยื่นกุญแจให้พวกเขาก็พอ

อย่างไรเสีย ของในคลังสมบัติก็เป็นของพวกเขาทั้งหมด…

ด้วยเหตุนี้ พวกอันหลินต่างก็ออกจากยอดเขาเมฆาด้วยอารมณ์ที่ดีมากทีเดียว

พวกเขานั่งอยู่บนหลังมังกรตัวเขื่องยาวสิบจั้ง พุ่งทะยานลงจากท้องฟ้า จากนั้นก็ทะลุผืนทะเลสาบ เข้าสู่ถ้ำแห่งหนึ่ง

ภายในถ้ำมีแสงไฟสีขาวนวล และมีกุ้งยักษ์ถือหอกสองมือยืนเฝ้าอยู่รอบทิศ

อันหลินมองอย่างประหลาดใจ เขาเพิ่งเคยเห็นกุ้งยักษ์แบบนี้เป็นครั้งแรก ภายใต้เปลือกแข็ง มีเนื้อสีขาวสลับสีแดง แลดูน่ากินมากทีเดียว

กุ้งยักษ์ถูกสายตาแฝงเจตนาไม่ดีจ้องมองจนรู้สึกอึดอัด เผลอยกฝีเท้าถอยห่างจากเจ้าตะกละคนนั้นอย่างไม่รู้ตัว

เจียงอันหลานหยุดตรงหน้าประตูทองแดงบานหนึ่งแล้วเปิดมัน

สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาคือหินวิญญาณกองเป็นภูเขา ยาวิเศษที่ส่องแสงระยิบระยับ วัตถุล้ำค่านานาชนิด วัสดุหลอมศาสตรา รวมถึงอาวุธวิญญาณที่กระจายพลังอันยิ่งใหญ่

เจียงอันหลานมองสมบัติเหล่านี้อย่างเหม่อลอย นานกว่าจะตื่นจากภวังค์

เขามองอีกครั้งหนึ่งด้วยความอาลัย ราวกับรำลึกถึงเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นก็พูดว่า “ของข้างในนี้ เป็นของพวกเจ้าทั้งหมด”

พูดจบเขาก็ออกไปทันที เพราะมองคนอื่นหยิบฉวยเอาวัตถุล้ำค่าของเขาไปชิ้นแล้วชิ้นเล่าตาละห้อยไม่ได้ หัวใจของเขารับไม่ไหว

เหล่าสมาชิกมองสมบัติเต็มห้องด้วยใจที่หวั่นไหว

ในตอนนั้นเอง อันหลินกลับยิ้มน้อยๆ “พวกเจ้าเลือกก่อน เลือกเสร็จแล้วข้าค่อยหยิบ”

ทุกคนได้ฟังก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที เริ่มเลือกสรรภายในคลังสมบัติ

พวกเขาไม่ลืมว่าตัวเองควรหยิบวัตถุล้ำค่าขั้นไหนชิ้นไหน โดยปกติแล้วของเหล่านี้ล้วนมีป้ายกำกับ ช่วยให้พวกเขาแยกแยะได้

เหมียวเถียนหยิบกรีชจันทราอาวุธวิญญาณขั้นต้น ซุนเซิ่งเหลียนหยิบยาวิเศษขั้นสามและกระบี่หยกหิมะอาวุธวิญญาณขั้นต้น จงหย่งเหยียนหยิบยาวิเศษขั้นสอง เจ้าอัปลักษณ์หยิบชุดเกราะผลึกนิลอาวุธวิญญาณคุ้มกันขั้นต้น เสี่ยวหงหยิบยาวิเศษขั้นสองกับกระบี่วรุณเหมันต์อาวุธวิญญาณขั้นต้น

หลังเสี่ยวหงหยิบของเสร็จ เก็บใส่แหวนมิติที่อันหลินให้มัน จากนั้นก็หดตัวกลับกระเป๋าเช่นเดิม

ต่อมา อันหลินกวาดอาวุธวิญญาณขั้นสูงหนึ่งชิ้น อาวุธวิญญาณขั้นกลางสองชิ้น อาวุธวิญญาณขั้นต้นสิบชิ้น ยาวิเศษคุณภาพสูงสิบกว่าเม็ด วัสดุหลอมศาสตรากองใหญ่รวมถึงหินวิญญาณสามแสนกว่าก้อนใส่แหวนมิติทั้งหมด

ฉากนี้ทำเอาสมาชิกทุกคนกลืนน้ำลายเอื๊อก

หลังเก็บของเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็ออกจากคลังสมบัติ

เจียงอันหลานเห็นสีหน้าพึงพอใจของพวกอันหลิน หัวใจก็ปวดหนึบ แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่พวกเขาสมควรได้รับ ส่งพวกเขาออกจากถ้ำด้วยจิตใจที่สับสนวุ่นวาย

เมื่อกลับมายังริมทะเลสาบเมฆขาว ทุกคนก็บอกลาเจียงอันหลาน ก้าวเข้าสู่การเดินทางอีกครั้ง

จงหย่งเหยียนโบกพัดอย่างผ่อนคลาย “ไม่รู้ว่าพวกเจ้ารู้สึกไหมว่า ตั้งแต่พวกเราคลุกคลีกับพี่อัน เรียกได้ว่าพบเจอสิ่งอัศจรรย์ไม่หยุดหย่อนเลย!”

“นั่นน่ะสิ” ใบหน้าจิ้มลิ้มของเหมียวเถียนเปี่ยมด้วยความเบิกบานใจ นับนิ้วพลางพูดว่า “อันดับแรกคือผลเซียน จากนั้นก็การสืบทอดสายเลือด สุดท้ายมีวัตถุล้ำค่าให้เลือก…นี่ยังไม่ถึงสิบวันด้วยซ้ำ พวกเราก็พบเจอเรื่องอัศจรรย์มากมายปานนี้แล้ว!”

“สิ่งมหัศจรรย์ในระยะนี้ เยอะกว่าที่ข้าพบเจอมาตลอดสิบกว่าปีเสียอีก” ซุนเซิ่งเหลียนยิ้มบางๆ ลมโชยผ่านผมงามสลวยของนาง แลดูงดงามเย้ายวน

ลั่วจื่อผิงยิ้มกว้าง “พูดได้แค่ว่าสมกับเป็นพี่อัน สมญานามอันดับหนึ่งแห่งรั้วสำนักนั้นคู่ควรแล้ว!”

เหล่าสมาชิกยกย่องเชิดชูอันหลินจนแทบจะลอยขึ้นฟ้าแล้ว ต่อให้เขาหน้าด้าน ก็รู้สึกเขินอายขึ้นมาแล้วเหมือนกัน

ขณะนั้นเอง เจ้าอัปลักษณ์เดินมา ยกมือขึ้นกอดไหล่เขา “พี่อัน ตอนนี้ข้าเริ่มเข้าใจแล้วว่า ทำไมเจ้าถึงพูดว่าออกผจญภัย เมื่อคว้าโอกาสได้แล้ว การเพิ่มความสามารถจะรวดเร็วอย่างยิ่ง”

“รับการสืบทอดจากเทพแห่งความมืด ตอนนี้ข้ามีเค้าลางว่าจะทลายขั้นแล้ว ขอบใจมาก!”

อันหลินได้ฟังก็ปลาบปลื้มยิ่งนัก “เจ้าจะเกรงใจข้าทำไม พวกเราเป็นเพื่อนกันนะ! ยินดีด้วย ถึงตอนนั้นเมื่อบรรลุสู่ระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นปลาย กลุ่มของพวกเราก็จะผ่อนคลายกว่าเดิม”

บัดนี้เจ้าอัปลักษณ์สวมชุดเกราะผลึกนิลแล้ว แลดูองอาจอหังการขึ้นมากโข

เมื่อได้ยินคำพูดของอันหลิน เขาก็ซาบซึ้งใจจนเบี่ยงหน้าไปทางอื่น ดวงตาดุจโคมไฟมีน้ำตาคลอหน่วย

จู่ๆ อันหลินก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เอ่ยปากถามว่า “จริงสิ เจ้าอัปลักษณ์ เจ้าว่าหากมนุษย์มีขุมพลังสัตว์จะบำเพ็ญเพียรอย่างไร”

เจ้าอัปลักษณ์ได้ยินก็ชะงัก “มนุษย์จะมีขุมพลังสัตว์ได้อย่างไร”

“นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ สำคัญที่หากว่ามีแล้วควรจะบำเพ็ญเพียรอย่างไร” อันหลินพูดอย่างจริงจัง

เจ้าอัปลักษณ์เกาหัว พูดด้วยความลังเลว่า “เช่นนั้นก็บำเพ็ญเพียรด้วยวิธีของสัตว์ภูตอย่างพวกข้าสิ แต่มนุษย์ที่มีขุมพลังสัตว์…คงจะไม่เรียกว่ามนุษย์หรอกกระมัง น่าจะเรียกว่าสัตว์ภูต!”

อันหลินได้ยินก็ปวดใจ สัตว์ภูตอันหลินงั้นเหรอ

เจ้าอัปลักษณ์พูดต่อว่า “วิธีการบำเพ็ญเพียรของสัตว์ภูตไม่เหมือนมนุษย์ การเพิ่มพลังยุทธ์จะอาศัยการสฤษฏ์ปราณ ฝึกกาย ฝึกจิต ทำได้สามวิธี”

“การสฤษฏ์ปราณก็คือ ซึมซับพลังปราณฟ้าดินทุกวัน ให้พลังปราณไหลเวียนในร่างกาย ชะล้างขุมพลังสัตว์ภายในจุดตันเถียนไม่หยุด”

“การฝึกกายก็คือ การฝึก การต่อสู้ในชีวิตประจำวัน หรือใช้แร่ธรรมชาติ ยาวิเศษทำให้ร่างกายแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง”

“การฝึกจิตก็คือ การสัมผัสธรรมชาติ จิตวิญญาณของทุกสรรพสิ่ง ขุดค้นจิตของตัวเอง ศึกษาเขตแดนของตัวเอง แต่โดยปกติแล้วเป็นสิ่งที่จะทำได้เมื่อเข้าสู่ระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นปลาย”

อันหลินพยักหน้ารัวๆ ขณะที่ฟังเจ้าอัปลักษณ์พูด

ดูเหมือนว่าวิธีการบำเพ็ญเพียรของสัตว์ภูตจะง่ายกว่าของมนุษย์ไม่น้อยเลย

แต่นี่ก็เป็นเรื่องปกติ เพราะปกติแล้วสัตว์ภูตมักจะใช้ชีวิตอยู่ในป่าลึก ไม่มีวิธีการบำเพ็ญเพียรที่เป็นระบบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จำต้องบำเพ็ญเพียรด้วยการหยั่งรู้ของตัวเอง ฉะนั้นวิธีการเพิ่มพลังยุทธ์ของพวกมันจึงแตกต่างกับมนุษย์เป็นอย่างมาก

ถ้าสฤษฏ์ปราณ อันหลินเริ่มทำได้ตั้งแต่ตอนนี้แล้ว

การฝึกกาย เศรษฐีอันต้องกลัวว่าจะไม่มีแร่ธรรมชาติด้วยเหรอ

ส่วนการฝึกจิต…ห่างไกลเกินไป ยังไม่คิดถึงมันดีกว่า!

เมื่อได้ฟังคำพูดของเจ้าอัปลักษณ์ อันหลินก็เข้าใจทิศทางการบำเพ็ญเพียรของตัวเองแล้ว ความงงงวยในใจลดน้อยลงไปบ้าง

สัตว์ภูตอันหลินแล้วอย่างไร ขอแค่ยอดเยี่ยมก็พอแล้ว!

 ……………….