บทที่ 129 ชุมนุมชาวยุทธ์[รีไรท์]

จักรพรรดิเซียนหวนคืน (仙帝归来)

บทที่ 129 ชุมนุมชาวยุทธ์[รีไรท์]

ฉู่ชวิ๋นถามมังกรเขียวว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในช่วง 3 เดือนที่เขาไม่อยู่

มังกรเขียวบอกว่าเนื่องจากการลงมือในครั้งนั้นของฉู่ชวิ๋นเป็นข่าวใหญ่โต ทุกคนจึงให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่ง

โดยเฉพาะในโลกยุทธภพ มีคนเล่าลือว่าการที่ฉู่ชวิ๋นอยู่ดี ๆ ก็เก่งกาจขึ้นมานั้น เป็นเพราะมีคัมภีร์ความลับฟ้าอยู่ในการครอบครอง ในตอนนี้จึงมีหลายฝ่ายหมายทําร้ายคนใกล้ตัวของเขา เพื่ออยากจะแย่งชิงคัมภีร์ความลับฟ้าไปครอบครอง

ฉู่ชวิ๋นแววตาปรากฏความเย็นชาขึ้นมาทันที มีคนอยากจะฆ่าคนรอบตัวของเขา นี่คือเรื่องที่ให้อภัยไม่ได้

อีกอย่าง ราชาปีศาจคนปัจจุบันเขาไม่ได้อยู่ในวันที่ฉู่ชวิ๋นฆ่าล้างสำนัก เขาสาบานเอาไว้แล้วว่าต่อให้ฆ่าฉู่ชวิ๋นได้ คนใกล้ชิดของเขาก็จะต้องตกตายไปตามกัน

แม้แต่คนในโลกมนุษย์ก็เตรียมตัวเคลื่อนไหวแล้ว

ฉู่ชวิ๋นยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยแต่ดวงตาของเขากำลังวางแผนอย่างชัดเจน

เขาขอให้มังกรเขียวช่วยจองตั๋วเครื่องบินเพื่อกลับไปยังเมืองกู่เจียง ในระหว่างนี้ ฉู่ชวิ๋นขอให้มังกรเขียวปิดบังเรื่องที่เขารอดชีวิตเอาไว้ก่อน ต้องทำแบบนี้เท่านั้น เขาถึงจะฆ่าพวกราชาปีศาจและพวกที่ทรยศได้หมดสิ้น

มังกรเขียวตกตะลึงไปไม่น้อย รู้ดีแล้วว่าจะต้องเกิดเหตุนองเลือดขึ้นแน่นอน

“ความตายเป็นบทลงโทษที่สาสมสำหรับคนทรยศ” นี่คือคำที่หลงอ๋าวกล่าว ถ้าฉู่ชวิ๋นไม่ไปปรากฏตัว ชายชราก็คิดจะลงมือด้วยตัวเองอยู่แล้ว

คราวนี้ฉู่ชวิ๋นโกรธจริง ๆ เขากวาดล้างสำนักปีศาจและชโลมภูเขาเฟิงหลินไปด้วยเลือดสด ๆ แต่คนพวกนั้นก็ยังกล้ามาแทงข้างหลังเขา แบบนี้นับว่ารนหาที่ตายจริง ๆ

อย่างไรก็ตาม มังกรเขียวก็ได้เตือนฉู่ชวิ๋นว่าไม่ควรประมาทคนเหล่านี้มากเกินไป เนื่องจากแต่ละคนมาจากสำนักที่มีอายุหลายร้อยปีในยุทธภพทั้งสิ้น

ในช่วงเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ เมืองกู่เจียงกลายเป็นเมืองที่วุ่นวายขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

คฤหาสน์บนภูเขาเฉียนหลงคลาคล่ำไปด้วยกลุ่มคนจำนวนมาก แต่พวกเขาก็หยุดยืนอยู่แค่หน้าคฤหาสน์ ไม่กล้าเดินเข้าไปใกล้มากไปกว่านั้น เนื่องจากบริเวณรอบ ๆ คฤหาสน์มีม่านพลังครอบคลุมเอาไว้นั่นเอง

“ม่านพลังค่ายกลแบบนี้ น่ากลัวเกินไปแล้ว” ใครบางคนพูดขึ้น

“ดูเหมือนว่าฉู่ชวิ๋นจะมีคัมภีร์ความลับฟ้าอยู่ในมือจริง ๆ สินะ”

“ฉันต้องเอาคัมภีร์ความลับฟ้ามาให้ได้…” ใครอีกคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยดวงตาร้อนผ่าว

กลุ่มคนส่งเสียงอื้ออึง พวกเขาไม่ได้มาจากสำนักเดียว แต่เป็นคนที่มาจากหลายสำนักด้วยกัน จึงพูดได้ไม่ผิดว่านี่เป็นการชุมนุมชาวยุทธ์ครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง

“คัมภีร์เล่มนั้นต้องเป็นของข้า ใครกล้าขโมยมันไป ต้องผ่านศพข้าไปก่อน” ชายหนุ่มผู้หนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงวางท่าใหญ่โต เขามีนามว่าหยางเฟ่ย มีฐานะเป็นเจ้าสำนักความหวังใหม่ ถึงแม้ว่าจะอยู่ขั้นนักสู้พลังชีพจร แต่ก็มีขั้นปรมาจารย์อาวุโสติดตามอยู่ข้างหลังถึง 2 คน

“ทำเป็นพูดดี ลองเจอกระบี่ทองคำสักหน่อยไหมล่ะ เดี๋ยวจะรู้ว่าความตายจริง ๆ มันเป็นยังไง” ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งที่สะพายกระบี่ยาว 2 เมตรพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

ชายหนุ่มคนนี้เป็นเจ้าสำนักกระบี่ทองคำ มีนามว่าเฉียงไท่ อยู่ขั้นนักสู้พลังชีพจรระดับ 1 ด้านหลังของเขาติดตามมาด้วยขั้นปรมาจารย์อีก 3 คน

“เฉียงไท่ แกอยากตายนักใช่ไหม?” หยางเฟ่ยกล่าวอย่างร้ายกาจ

“แกจะทำอะไรฉันได้” เฉียงไท่ไม่ได้เกรงกลัวหยางเฟ่ยแม้แต่นิดเดียว ตวัดกระบี่เป็นแนวขวางพร้อมต่อสู้

ดวงตาของหยางเฟ่ยปรากฏความขุ่นเคืองขึ้นมาแล้ว เฉียงไท่คงไม่กล้าทำตัวแข็งข้อแบบนี้ ถ้ามันไม่ได้รู้ว่าผู้อาวุโสสามคนของสำนักความหวังใหม่ได้เสียชีวิตไปในภูเขาที่เมืองหยุนหยาน ส่งผลให้ตอนนี้สำนักความหวังใหม่มีความแข็งแกร่งลดน้อยลงไปมาก

“เงียบไปทั้งคู่นั่นแหละ ของวิเศษต้องคู่กับคนพิเศษเท่านั้น มันจะเลือกเจ้านายของมันเอง มาดูกันเถอะว่าใครจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดกันแน่” ข้างกายของหยางเฟ่ย คือชายหนุ่มหน้าขาวปากกว้างมีนามว่าเกาเล่ย เขามาจากหุบเขาราชาพิษ บนร่างกายของเขาเต็มไปด้วยพิษร้ายที่น่าสะพรึงกลัว

หลังจากเกาเล่ยพูดออกมา หยางเฟ่ยและเฉียงไท่ก็สงบปากลงทันที เกาเล่ยมีความร้ายกาจมากที่สุดในกลุ่มพวกเขา จึงไม่ใช่คนที่ควรมีเรื่องขัดใจด้วยเป็นอย่างยิ่ง

“มีคนฝ่าม่านพลังเข้าไปแล้ว” ใครบางคนตะโกนขึ้น

เมื่อทุกคนหันไปมอง ก็เห็นว่ามีใครคนหนึ่งได้แอบเล็ดลอดเข้าไปหลังม่านพลังได้สำเร็จแล้ว

หลังจากที่ทะลุเข้าไปหลังม่านพลัง ชายคนนั้นก็ทำหน้าตาเหมือนพบเจอสิ่งที่น่าหวาดกลัวสุดขีด เขาวิ่งหนีเหมือนคนเสียสติและวิ่งต่อไปไม่หยุดจนกระทั่งสะดุดล้มกลิ้งลง

ทันใดนั้นเอง ประตูคฤหาสน์ก็เปิดออก โม่ซิงเหอเดินออกมาสะบัดฝ่ามือใส่ชายผู้นั้นอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด ร่างของชายผู้นั้นลอยทะลุกลับออกไปจากม่านพลัง เสียชีวิตไปในทันที

พลั่ก!

ร่างคนลอยกระเด็นออกไป ส่งผลให้เศษดินกระจาย

ทุกคนตกตะลึง โม่ซิงเหออำมหิตมาก ฆ่าคนโดยไม่พูดอะไรสักคำ

“ใครกล้าเข้ามา จะต้องตายสถานเดียว!” โม่ซิงเหอพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“อย่ามาพูดจาวางท่า เก่งจริงก็ออกมาสู้กันเลยสิ” ผู้อาวุโสคนหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว

“สามหาว แน่จริงก็ออกมาสู้กันตรงนี้” ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งกล่าวเสริม

“อย่าทำตัวเป็นเต่าหดหัว เก่งจริงก็ออกมา ฉันจะสู้กับแกเอง” ชายหนุ่มในวัย 30 กว่าคนหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ถึงแม้ว่าเขาจะอายุยังน้อย แต่ก็บรรลุขั้นนักสู้พลังชีพจรระดับ 9 เรียบร้อยแล้ว เช่นเดียวกับโม่ซิงเหอ ซึ่งถือว่าหาได้ยากมากสำหรับกลุ่มคนอายุเท่านี้ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ไม่ได้สังกัดอยู่สำนักใหญ่โอกาสที่ฝีมือจะก้าวหน้าก็มีน้อยกว่าคนอื่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

คนเราเมื่อถูกท้าทายขนาดนี้ก็ต้องออกมาสู้ ในตอนนี้มีจอมยุทธ์หลายคนที่ออกมาท้าทายอย่างต่อเนื่อง

เพราะว่าถ้าโม่ซิงเหอหลงกลออกมานอกม่านพลัง เขาก็จะถูกจัดการได้อย่างง่ายดาย

โม่ซิงเหอมีแววตาเย็นชาขณะที่พูดออกมาว่า “ถ้านายท่านอยู่ในนี้ ยังจะกล้าพูดแบบนั้นอยู่อีกไหม?”

เกิดความเงียบตามมาอึดใจใหญ่ ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา ทุกคนได้แต่คิดว่า ถ้าฉู่ชวิ๋นยังอยู่ พวกเขาจะกล้าไหม? ตามข้อมูลที่พวกเขาได้รับรู้มา วันนั้นฉู่ชวิ๋นบุกเข้าไปในประตูราชาปีศาจเพียงคนเดียว ทุกที่มีแต่หัวคนกลิ้งไปมา บันไดหินถูกชุบย้อมด้วยเลือด สุดท้ายฉู่ชวิ๋นเสียชีวิตไปพร้อมกับราชาปีศาจคนเก่าตอนที่กวาดล้างสำนักราชาปีศาจ ฉู่ชวิ๋นถือเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งที่สามารถกวาดล้างสำนักราชาปีศาจได้ด้วยตัวเองเพียงคนเดียว ถ้าเกิดพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับฉู่ชวิ๋นขึ้นมา เห็นทีคงมีแต่ความตายเท่านั้นที่รออยู่

“จะเก่งแค่ไหนกันเชียว? ก็ตายแล้วนี่” ชายคนหนึ่งดูถูก เขาสวมใส่เสื้อคลุมแบบนักพรตลัทธิเต๋า ใบหน้ามืดมนและชั่วร้าย เขามาจากสำนักผีที่มีความสัมพันธ์อันดีงามกับสำนักราชาปีศาจและจากข้อมูลที่ได้มา ดูเหมือนว่าศิษย์ของเขาเต๋าผู้ชั่วร้ายจะถูกฉู่ชวิ๋นฆ่าตาย

ตอนนั้นเอง รถยนต์หลายคันได้แล่นเข้ามาจอด และมีคนหลายคนลงมาจากรถ

“ให้ตายเถอะ ราชาปีศาจมาแล้ว” ใครบางคนอุทานขึ้นมาเสียงดัง

ผู้ที่เดินนำมาข้างหน้าสวมใส่เสื้อคลุมสีดำและมีใบหน้าซีดขาว เขามีอายุ 50 ปี จมูกงุ้ม ดวงตาดำขลับ นี่คือเจ้าสำนักราชาปีศาจคนปัจจุบัน

ทุกคนหลีกทางให้โดยอัตโนมัติ ราชาปีศาจมีฝีมือขั้นปรมาจารย์ระดับ 5 ถือเป็นผู้ฝึกตนที่หาตัวจับยาก เพียงแค่เดินผ่านก็ทำให้ผู้คนตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวได้แล้ว ไม่ว่าเป็นใครก็ทราบดีว่าราชาปีศาจกับฉู่ชวิ๋นเป็นศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกัน

ใบหน้าของราชาปีศาจปราศจากอารมณ์ความรู้สึก ด้านหลังเขาติดตามมาด้วยคนอีกกลุ่มใหญ่ ในคนกลุ่มนั้นปะปนด้วยผู้อาวุโสอีกสามคน ส่วนคนที่เหลือก็เป็นขั้นนักสู้เส้นชีพจรที่มีฝีมือหาตัวจับยาก นับเป็นกองกำลังที่น่ากลัวจริง ๆ

บางคนทำหน้าไม่ชอบใจ เนื่องจากระดับฝีมือสูงสุดของตนเองที่ถูกส่งมาอยู่ที่ขั้นปรมาจารย์ระดับ 3 แต่เมื่อราชาปีศาจปรากฏตัวขึ้นมาแบบนี้ พวกเขาจะเอาอะไรไปสู้ได้?

“น้องราชาปีศาจ มาถึงแล้วหรือ?” ชายชราในชุดเสื้อคลุมนักพรตทักทาย

ราชาปีศาจไม่คิดเลยว่าจะได้พบกับชายชราคนนี้ที่นี่ หลังจากตั้งสติได้ก็กล่าวว่า “ไม่นึกเลยว่าพี่หยินจงจะมาเหมือนกัน”

หยินจงยิ้ม แล้วพูดว่า “น้องราชาปีศาจน่าจะรู้นะว่าฉันคงพลาดเรื่องนี้ไปไม่ได้ อีกอย่าง ฉู่ชวิ๋นฆ่าลูกศิษย์ของฉันไป ฉันต้องมาคิดบัญชีแค้นกับมันสักหน่อย”

ดวงตาของราชาปีศาจเป็นประกายเย็นชา หยินจงกำลังบอกเป็นนัยว่าสิ่งที่เขาต้องการก็คือคัมภีร์ความลับฟ้า

แต่อย่างไรก็ตาม ราชาปีศาจไม่อยากมีเรื่องกับหยินจงเพราะอีกฝ่ายเองก็อยู่ขั้นปรมาจารย์ระดับ 5 เช่นกัน ฝีมือร้ายกาจจัดการได้ไม่ง่าย แต่เขามาที่นี่เพื่อฆ่าทุกคนที่เกี่ยวข้องกับฉู่ชวิ๋นเท่านั้น ราชาปีศาจจึงพูดออกไปว่า “พี่หยินจง ถึงแม้ว่าคัมภีร์ความลับฟ้าของฉู่ชวิ๋นจะเป็นของคุณ แต่ในอนาคตผมคงต้องขอหยิบยืมบ้างนะ แล้วเดี๋ยววันนี้ผมจะช่วยฆ่าทุกคนให้คุณเอง”

“ตกลง” หยินจงยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาว “น้องราชาปีศาจไม่ต้องห่วง ถ้าวันนี้ถึงคราวจำเป็น เดี๋ยวฉันจะช่วยล้างแค้นให้อีกแรงเอง”

ราชาปีศาจรู้ดีว่าหยินจงมาจากสำนักที่ขึ้นชื่อเรื่องการทรมานผู้คน และเขาตั้งใจจะจับคนสนิทของฉู่ชวิ๋นมาทรมานให้เหมือนกับตกนรกทั้งเป็น

“ขอบคุณมากครับ พี่หยินจง” ราชาปีศาจยิ้มแย้มออกมาแล้ว

กลุ่มคนที่เหลืออยู่เกิดความไม่พอใจขึ้นมาทันที ราชาปีศาจกับหยินจงพูดเองเออเองกันอยู่สองคนเรื่องคัมภีร์ความลับฟ้า แบบนี้เท่ากับเห็นคนอื่นเป็นหัวหลักหัวตอหรือไง?

เริ่มมีบางคนเริ่มติดต่อสำนักและนิกายของตัวเอง เพื่อให้ส่งขั้นปรมาจารย์มาเพิ่ม