หลัวหลานดูเสี่ยวอวี้กับเริ่นเสี่ยวซู่ทำความสะอาดแผลให้ผู้มีพลังพิเศษที่บาดเจ็บหมดสติอยู่ เขาพูดเตือนแล้วเตือนอีกว่า “ระวังๆ นะ อย่าทำเขาตายล่ะ”
หลัวหลานยิ่งคิดยิ่งตื่นเต้น หลังจากผู้มีพลังพิเศษผู้นี้ตื่น เขาก็จะพูดให้ซาบซึ้งเสียหน่อย แบบนั้นผู้มีพลังพิเศษผู้นี้จะกลายมาเป็นผู้คุ้มกันให้เขาเหมือนที่ชิ่งเจิ่นน้องชายเขามีหรือเปล่านะ
คิดแล้วหลัวหลานก็เหลือบมองไปที่เฉินอู๋ตี๋ ถ้าผู้มีพลังพิเศษคนนี้แข็งแกร่งกว่าเฉินอู๋ตี๋จะดีมากเลย เริ่นเสี่ยวซู่จะได้อิจฉาเขา!
หลัวหลานยังหงุดหงิดอยู่เลยที่เฉินอู๋ตี๋ไม่ยอมมาอยู่ด้วย…
เสี่ยวอวี้ไปหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดหน้าเปื้อนเลือดของผู้มีพลังพิเศษ เธอร้องอย่างประหลาดใจ “เป็นผู้หญิงนี่ อายุอานามน่าจะราวๆ ยี่สิบเจ็ด”
หลัวหลานตาทอประกาย “จริงเหรอ”
พอเขาเข้าไปสำรวจใกล้ๆ ก็เห็นว่าเป็นผู้หญิงจริงๆ ด้วย!
เฉินอู๋ตี้เดินเข้ามาเช่นกัน “อาจารย์ เหมือนนางคือม้ามังกรขาว…”
หลัวหลานกระวนกระวาย “จะไปกราบคนอื่นเป็นอาจารย์ก็ช่างเถอะ แต่อย่าติ๊ต่างคนอื่นไปร่วมสำนักด้วยสิโว้ย!”
เอาจริงๆ หลัวหลานละกลัวนักว่าหลังเธอได้สติแล้วจะตามเฉินอู๋ตี๋ไปอัญเชิญพระไตรปิฎกที่สวรรค์ประจิม…
แบบนั้นการลงทุนตั้งมากเพื่อช่วยเหลือเธอก็เจ๊งนะสิ!
ยังดีที่พอเฉินอู๋ตี๋ตั้งใจสำรวจเธอแล้ว เขาก็พูด “ไม่สิ ข้าเข้าใจผิดไป นางอายุมากกว่าม้ามังกรขาว”
ได้ยินเฉินอู๋ตี๋พูดแบบนั้น หลัวหลานถึงวางใจได้บ้าง เขาหัวเราะ “ดีแล้วที่เธอไม่ใช่ ไม่นึกเลยนะเนี่ยว่านายจะเรื่องมากเรื่องอายุแบบนี้”
ทันใดนั้นหลัวหลานก็รู้ตัว บ้าไปแล้วเหรอ ไปเชื่อคำพูดของเฉินอู๋ตี๋ทำไมเนี่ย!
พอเริ่นเสี่ยวซู่เห็นว่าเธอเป็นผู้หญิง ก็หลบออกมาให้เสี่ยวอวี้เป็นคนทายาแทน
เสี่ยวอวี้ไล่ทุกคน “จะทายาให้เธอแล้ว ผู้ชายห้ามมองนะ”
แต่ผู้มีพลังพิเศษก็ได้สติขึ้นมาแล้ว พอเห็นมีคนกำลังมุงเธออยู่ และสะดุ้งเฮือกถามออก “พวกคุณเป็นใคร”
หลัวหลานรีบโพล่งก่อนใคร “ฉันเป็นคนช่วยเธอมาจากบริษัทหัวจ่ง”
เธอมองหลัวหลาน “คุณน่ะเหรอ ไม่น่ามั้ง”
“ทำไมจะไม่น่า!” หลัวหลานแทบอยากพลิกโต๊ะ “ทำไมฉันไม่เหมือนคนที่ช่วยชีวิตเธอ! ฉันเนี่ยแหละเป็นคนช่วยชีวิตเธอมาจากพวกบริษัทหัวจ่ง!”
เธอยืนขึ้นและจะเดินออกไปข้างนอกโดยไม่พูดแม้แต่คำขอบคุณ แต่เธอเคลื่อนตัวยังไม่ถึงสองก้าวด้วยซ้ำก็ล้มลง ถึงยาดำจะช่วยบรรดาความเจ็บปวดได้อย่างรวดเร็ว แต่อาการบาดเจ็บที่เธอได้รับไม่ได้รักษาง่ายขนาดนั้น
เสี่ยวอวี้เข้าไปพยุง พร้อมพูดปลอบ “อาการบาดเจ็บยังไม่หายดี อย่าเพิ่งขยับดีกว่า”
ทว่าเธอก็หลั่งน้ำตาออกมา “พี่ชายของฉันยังอยู่ในมือของบริษัทหัวจ่ง”
หลัวหลานนิ่งไป ผู้มีพลังพิเศษอีกคนคือพี่ชายเธอ? แสดงว่าผู้มีพลังพิเศษทั้งสองคนเป็นครอบครัวเดียวกัน?
และก็ทำให้เริ่นเสี่ยวซู่เข้าใจด้วยว่าทำเธอถึงอยากไปช่วยคน
ถังโจวที่อยู่ด้านข้างพูดเสียงนิ่ง “เขาน่าจะไม่รอดแล้วละ ระหว่างที่เธอแบกพี่ชายหนี เธอถูกอาร์พีจียิงใส่จนแยกจากพี่ชาย พวกเราไปทันแค่ช่วยเธอ แต่พี่ชายเธอไม่ได้โชคดีขนาดนั้น แถมบริษัทหัวจ่งตามล่าตัวอย่างเลือดมานานแล้ว เขาไม่ปล่อยให้ผู้บริจาคเลือดรอดไปได้หรอก”
เริ่นเสี่ยวซู่เงียบไป ตอนได้ยินชื่อบริษัทหัวจ่งครั้งแรก เขานึกว่าภารกิจของบริษัทหัวจ่งเป็นการรักษาความโชติช่วงของอารยธรรมเพื่อให้มนุษยชาติอยู่รอดสืบต่อไปเสียอีก ไม่คิดเลยว่าบริษัทหัวจ่งจะใช้ทุกวิธีทางเพื่อให้ได้เลือดของผู้มีพลังพิเศษแบบนี้ แสดงว่าคนอย่างหยางเสียวจิ่นที่เป็นศัตรูกับบริษัทหัวจ่งนั้นอยู่ฝ่ายดีสินะ? ไม่น่าใช่หรอก ก็เขารู้สึกว่าเธอดูไม่ใช่คนดีเลยนี่หน่า
พูดตามตรง จะนิยาม ‘คนดี’ หรือ ‘คนเลว’ นั้นยากมาก ความซับซ้อนของมนุษย์มากเกินกว่าจะแบ่งแค่ดีเลว
เขาโพล่งถาม “เจ้าอ้วนหลัว นายช่วยเธอมาจากบริษัทหัวจ่งจริงๆ เหรอ อย่าลากเราเข้าไปเรื่องนี้นะ”
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า นายไม่โดนพัวพันไปด้วยหรอก” หลัวหลานแหว “ฉันไม่ให้นายช่วยคนเปล่าๆ หรอก พรุ่งนี้เช้าเดี๋ยวถังโจวเอาเงินสามหมื่นหยวนมาให้”
สติของผู้มีพลังพิเศษสาวค่อยๆ กลับเข้าร่าง เธอรู้ดีแล้วตัวเองไม่มีทางช่วยเหลือพี่ชายได้อีกต่อไป ที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือหาที่ซ่อนตัวและหาโอกาสล้างแค้น
หลัวหลานย่อตัวนั่งข้างเธอแล้วพูด “ทำไมไม่เข้าร่วมกับพวกเราล่ะ พวกเราเองก็มีเรื่องกับบริษัทหัวจ่งอยู่ ก่อนหน้านี้ก็เพิ่งฆ่าพวกเขาไปร้อยกว่าคน” หลัวหลานเริ่มล่อลวงอีกรอบ เธอก็เป็นผู้มีพลังพิเศษเลยนะ แถมยังเป็นผู้หญิงอีก…
แต่เธอกลับจ้องหลัวหลานตาขวาง “ฉันว่านายเองก็ไม่ใช่คนดีเหมือนกัน!”
หลัวหลานหัวร้อนขึ้นมา “ไม่สำนึกบุญคุณเลย ฉันเป็นคนช่วยเธอมาจริงๆ นะ!”
ผู้มีพลังพิเศษยันตัวขึ้นมาและโค้งตัวให้พวกเริ่นเสี่ยวซู่ เธอพูด “ขอบคุณพวกคุณมาก ฉันชื่อตงฟู่หนาน ในอนาคตถ้ามีโอกาส ฉันจะตอบแทนบุญคุณแน่ ตอนนี้ฉันอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นจะทำให้พวกคุณลำบากเปล่าๆ”
[ได้รับคำขอบคุณจากตงฟู่หนาน +1!]
หลัวหลานพูดอย่างปวดใจ “ทำไม!”
ทำไมเธอถึงขอบคุณพวกเริ่นเสี่ยวซู่ ทั้งๆ ที่เขาเป็นคนช่วยเธอไว้แท้ๆ
ถังโจวกระซิบ “เจ้านายครับ ผมว่าหน้าตาท่านไม่เหมือนคนดีมั้ง”
หลัวหลานหันไปมองถังโจว สายตาเลื่อนลอยไป “เพื่อนยาก ช่วงนี้เพื่อนดูหนังหนาชอบกลนะ!”
หลัวหลานพูดจบตงฟู่หนานก็สลบไปอีกครั้ง
“พวกเราเอาไงต่อ” เสี่ยวอวี้หันมองเริ่นเสี่ยวซู่
เริ่นเสี่ยวซู่พูดอย่างชืดชา “หลัวหลาน รีบพาเธอไปได้แล้ว”
เริ่นเสี่ยวซู่สงสัยว่าตงฟู่หนานอาจจะแสร้งสลบเพราะอยากอยู่กับเขาต่อ แต่อย่างน้อยเธอก็ขอบคุณจากน้ำใสใจจริง
“ให้เธออยู่กับพวกนายไปก่อน เดี๋ยวฉันจ่ายให้” หลัวหลานพูด “ช่วยฉันดูแลเธอก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะส่งเงินมา”
“ตามนั้น” เริ่นเสี่ยวซู่ “พี่เสี่ยวอวี้ เดี๋ยวพี่พาเธอไปพักที่ห้องพี่นะ ส่วนเฉินอู๋ตี๋ นายยื่นเฝ้าหน้าห้องพี่เสี่ยวอวี้ไว้ ห้ามให้ผู้หญิงคนนี้ไปก่อนหลัวหลานจ่ายเงิน”
“รับคำสั่งท่านอาจารย์” เฉินอู๋ตี๋พูด
เจอการจัดการเป็นชุดๆ เช่นนี้ ทำเอาหลัวหลานตาค้างไปเลย
คืนนั้น หลัวหลานรอจนถึงเที่ยงคืนถึงค่อยลอบออกจากร้านไป ขณะเดียวกันเริ่นเสี่ยวซู่นั้นไม่ได้หลับเลยแม้แต่งีบเดียวเผื่อรับมือเหตุไม่คาดฝัน พอเช้าก็พาเหยียนลิ่วหยวนกับหวังต้าหลงไปโรงเรียน
พอมาถึงประตูโรงเรียน ก็เจอเข้ากับหยางเสียวจิ่นพอดี เหยียนลิ่วหยวนทักทายเธออย่างสุภาพเป็นมิตร “สวัสดีครับพี่”
หยางเสียวจิ่นพูดอย่างยินดี “สวัสดีจ้ะ พรุ่งนี้เดี๋ยวเอาของกินอร่อยๆ ฝากพี่ชายเธอไปให้นะ”
“ครับ” เหยียนลิ่วหยวนพยักหน้ารับ
แต่เริ่นเสี่ยวซู่ดูพวกเขาทักทายกันแล้วรู้สึกตงิดๆ มาก ไหงสองคนนี้สนิทกันจังล่ะเนี่ย!
จากนั้นหยางเสียวจิ่นก็ถาม “เริ่นเสี่ยวซู่ เมื่อวานให้ครูเจียงไปสอนวิธีขี่จักรยานไม่ใช่เหรอ ทำไมวันนี้ไม่ขี่มาล่ะ เรียนไม่รอดเหรอไง”
“ฮ่าๆๆๆ คนอย่างฉันจะเรียนเรื่องกล้วยๆ แบบนั้นไม่ได้ได้ไง” เริ่นเสี่ยวซู่หัวเราะ
“แล้วทำไมไม่ขี่มา” หยางเสียวจิ่นถาม
เริ่นเสี่ยวซู่คิดพักหนึ่ง ก่อนจะพูด “ส่งจักรยานไปซ่อมบำรุง”
หยางเสียวจิ่น “???”